LOGIN[KHAO-PUN’s Talks]
“สักครู่นะคะ”
คำพูดของครูทำให้ฉันใจสั่น รีบเดินกลับเข้าไปในร้านคว้ากระเป๋าสะพายก่อนจะหันไปสั่งน้องสองคน ซึ่งกำลังนั่งจัดดอกไม้ตามออเดอร์ลูกค้า
“หกโมงเย็นปิดร้านกลับบ้านเลยนะ พี่ไปโรงเรียนก่อน”
เด็กสองคนพยักหน้าพร้อมกันและยกมือไหว้ ฉันจึงเร่งฝีเท้าเดินไปที่จุดจอดรถข้างร้านทันที ระหว่างนั้นก็ยกมือถือขึ้นสนทนากับครูประจำชั้นต่อ
“ค่ะครู ปั้นกำลังจะไปโรงเรียนนะคะ ประมาณสิบนาทีค่ะ”
(ได้ค่ะ มาที่ห้องครูใหญ่เลยนะคะ)
“แล้วไข่หวานบอกครูหรือเปล่าคะ ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น?”
ฉันถามด้วยความร้อนใจ เปิดสปีกเกอร์โฟนวางลงหน้าคอนโซลและถอยรถไปด้วย ฉันตั้งใจจะไม่เป็นแม่ที่ปกป้องลูกจนไม่ลืมหูลืมตา
โอเค…ไข่หวานซน แสบ และค่อนข้างฉลาดเกินวัยไปมาก ลูกสาวฉันมักจะอาละวาดดีดดิ้นเวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจ แต่ไม่ใช่พวกที่ทำร้ายคนอื่นก่อนแน่นอน
(คือ...น้องไข่หวานบอกว่า โกรธที่โดนเพื่อนล้อว่าพ่อไม่อยู่ในวันเกิดค่ะ)
ฮะ? เรื่องแค่นี้ต้องเอามาล้อกันด้วยเหรอ แล้วนี่ลูกไปโกรธอะไรเขาขนาดนั้นเนี่ย หลังจากวางสายครูก็รีบบึ่งรถไปหาลูกที่โรงเรียน สิบนาทีจากร้านไปโรงเรียนวันนี้ยาวนานมากสำหรับใจคนเป็นแม่
ประตูบานเลื่อนถูกเปิดออก และเห็นลูกสาวนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ครูประจำชั้น เยื้องกันเป็นเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับไข่หวานกำลังนั่งซบอกแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น บนหัวมีผ้าก๊อซแปะกลางหน้าผาก
“ไข่หวานขา~”
“จุนแม่~ ฮึก! กะ ไก่หวานไม่ได้ตั้งใจ”
ปากเล็กๆ ของลูกอ้าปากฟ้องพร้อมกับน้ำตาใสๆ ค่อยๆ ร่วงเผาะออกมา ฉันรีบเข้าไปอุ้มลูกสาวมานั่งบนตัก ก่อนจะยกมือไหว้ครูใหญ่กับผู้ปกครองฝั่งนั้น
แน่นอนว่าพ่อกับแม่เด็กไม่รับไหว้ -_-;
“เรื่องมันเป็นมายังไงคะ”
ฉันหันไปถามครูประจำชั้นและครูใหญ่ มือก็ลูบศีรษะทุยเล็กปลอบไปด้วย
“คือแอนได้ยินเสียงน้องโยชิร้องไห้ดังมาจากบันไดทางขึ้นห้องสมุด พอวิ่งไปดูก็เห็นว่าแกเอามือกุมหัวนอนกันพื้นเลือดอาบ เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นน้องไข่หวานยืนตัวสั่นอยู่ชั้นพักบันไดด้านบน”
“ลูกคุณผลักลูกฉันตกบันได ดีแค่ไหนที่แข้งขาไม่หัก!” แม่ของน้องโยชิโวยวายเสียงเข้ม ตาแข็งดุมายังลูกฉันจนต้องเบี่ยงศีรษะลูกสาวให้หลบสายตา
“ค่ะ ขอโทษแทนน้องด้วยนะคะ เรื่องค่ารักษาฉันจะจัดการให้ทั้งหมดจนกว่าน้องโยชิจะหายดี” ลูกเราทำลูกเขาก็ก็ต้องรับผิดชอบตามนั้น “ไข่หวานขอโทษโยชิหรือยังคะ?”
ประโยคท้ายฉันก้มคุยกับลูก
ไข่หวานส่ายหน้า มือน้อยๆ ขยุ้มเสื้อฉันจนยังไม่ยอมขอโทษท่าเดียว
“ฮะ ฮึก ยะ โยชิว่าไก่หวานก่อน ไก่หวานคุยกับเอมี่เรื่องวันเกิด แล้วโยชิก็มาล้อ ฮึก! ล้อตั้งแต่อยู่ในห้องสมุดจนถึงชั้นวางรองเท้าเยย T^T”
ลูกฟ้องจบก็หลับตาบีบน้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“งั้นน้องโยชิกับไข่หวานก็ขอโทษกัน แล้วคุณแม่จะซื้อไอติมให้ทั้งคู่เลย โอเคไหมคะ?”
ครูใหญ่กับครูประจำชั้นพยักหน้า แต่แม่ของเด็กอีกคนสะบัดหน้าไม่ยอมทันที
“ลูกฉันไม่ผิด เด็กมันยังเล็ก...ก็แค่พูดล้อเล่นกันไม่ได้ทำอะไรให้เจ็บตัว แต่ลูกคุณทำร้ายร่างกายลูกชายฉัน นอกจากค่ารักษาพยาบาลฉันจะเรียกค่าทำขวัญด้วย”
อ้าว…
ฉันหันไปมองพ่อของน้องโยชิของความช่วยเหลือ เผื่อจะเกลี้ยกล่อมเมียตัวเองได้
แต่ผู้ชายคนนั้นกลับนั่งนิ่ง แถมยังหันหน้าหนีไม่สบตา
“ค่ะ ถ้าโยชิไม่ขอโทษไข่หวาน งั้นก็จบที่ค่ารักษาพยาบาลกับค่าทำขวัญ ไม่ต้องมีใครขอโทษใคร”
ฉันไม่ต่อความยาวสาวความยืด ยื่นนามบัตรส่วนตัวที่มีทั้งเบอร์โทรศัพท์และอีเมลให้เสร็จสรรพ
“ส่งค่ารักษามาทางเมลนี้ได้เลยนะคะ ส่วนค่าทำขวัญฉันจะให้ทนายจัดการให้”
พูดจบก็อุ้มลูกลุกขึ้น กดใบหน้าลงแทนการกล่าวลาครูประจำชั้นและคู่กรณี
“มีแม่สอนลูกให้ไร้ความรับผิดชอบแบบนี้นี่เอง ลูกถึงได้กลายเป็นเด็กมีปัญหา”
กึก!
คำพูดของแม่เด็กอีกคนทำให้ฉันลดมือลงจากมือจับประตูบานเลื่อน หันไปมองสายตาเกรี้ยวกราดกับอาการเบ้ปากคว่ำก่อนจะส่งยิ้มออกไปให้
“การที่ลูกของคุณใช้คำพูดทำให้ลูกสาวฉันเสียใจจนบันดาลโทสะก็ถือเป็นความผิดเหมือนกัน คุณเองก็ไม่อยากให้ลูกคุณเจ็บตัว ฉันเองก็ไม่ชอบให้ลูกฉันร้องไห้เหมือนกัน”
“โยชิก็แค่พูดเล่น ลูกคุณโกรธแล้วทำร้ายลูกฉันเองต่างหาก”
“เหอะ! เพราะมีแม่แบบคุณไง ลูกถึงได้เป็นเด็กปากหมาไม่รู้จักถนอมน้ำใจคนอื่น จริงๆ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยนะที่เด็กทะเลาะกัน แต่มันไม่จบเพราะผู้ใหญ่ไง”
แทนที่จะต่างฝ่ายต่างขอโทษ ให้เด็กสองคนยังเป็นเพื่อนกันได้
“ฮึก! โยชิว่าไก่หวานก่อน พาโลตัสกับเบคแฮมมาล้อว่าที่จุนพ่อไม่มาวันเกิดไก่หวานเพราะว่าไม่รักไก่หวาน ฮะ ฮึก!” นิ้วน้อยๆ ของลูกชี้ไปที่หน้าเด็กผู้ชายคนนั้นพลางกัดฟันแน่น “ไก่หวานให้ก๋อโต้ดก็วิ่งหนี พอจับได้ก็หยิกไก่หวาน T^T”
แขนอีกข้างถูกยกขึ้นมาฟ้องเป็นหลักฐาน แม้จะไม่เห็นรอยบุ๋มของเล็บที่จิกบนลงผิวลูกแล้ว แต่ยังเหลือรอยแดงกับรอยถลอก
“คุณพ่อกลับจากฮ่องกงพรุ่งนี้นะคะ บอกว่าจะพาไข่หวานไปเป่าเค้กที่ร้านประจำด้วย” ฉันโอ๋ลูกพร้อมใช้ผ้าเช็ดหน้าของแกเช็ดหน้าให้
“งะ งั้นปีนี้ไก่หวานจะเกิดวันพรุ่งนี้ T^T”
“โอเคค่ะ งั้นวันนี้เราไปซื้อชุดสวยๆ ใส่คู่กันเนาะ คุณแม่ให้ไข่หวานเลือกชุดให้คุณพ่อเลย~”
ใบหน้าเล็กๆ พยักหน้า น้ำตาที่หยดแหมะก็ค่อยๆ แห้งเหือดลง
“ทีนี้ก็เท่ากับว่าทำร้ายร่างกายกันทั้งสองฝ่ายนะคะ” ฉันเลิกคิ้วมองไปที่ครอบครัวคู่กรณีและส่งยิ้มให้อย่างกวนประสาท
ฉันไม่หลวมตัวขอโทษอีกและไม่ให้ลูกขอโทษใครแล้ว ถ้าพ่อแม่ของเด็กอีกคนจะสันดานแบบนี้น่ะนะ -_-^
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับชายวัยกลางคนเปิดประตูเดินเข้ามายืนข้างฉัน
พินเนกไทสีทองตัว V อันนั้น…
‘V Group’
“สวัสดีครับ ผมเป็นทนายความที่ได้รับการมอบหมายจากคุณวัชริศร์ อัศวยุทธานนท์ ให้มาดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญของคู่กรณีครับ”
นามบัตรถูกยื่นให้ครูประจำชั้น ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะหันมาโค้งคำนับให้ฉัน
“นายฝากบอกให้นายหญิงพาคุณหนูกลับไปพักผ่อนครับ ปล่อยให้ทางนี้ผมจัดการเอง”
“พี่เวย์รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะ? ได้ยังไง?”
ทนายเงียบเหมือนผู้ชายสองคนที่ร้านกาแฟเป๊ะ
เหอะ! เอาเถอะ ตอนนี้ฉันก็อยากพาลูกออกจากตรงนี้เหมือนกัน
“งั้นปั้นฝากด้วยนะคะ”
คุณทนายก้มหน้ารับคำสั่ง ส่วนฉันก็พาลูกไปที่รถ จับลูกนั่งคาร์ซีตและตัวเองขึ้นมานั่งที่เบาะคนขับแต่ยังไม่ได้ออกรถแต่อย่างใด
ฉันหันไปคุยกับลูกสาว ที่กำลังนั่งร้องไห้กอดตุ๊กตาไก่สีเหลืองแน่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไข่หวานทำผิดที่ผลักเพื่อนตกบันไดนะคะ” ลูกมองหน้าฉันนิ่ง พยักหน้ารับช้าๆ “แต่โยชิก็ผิดที่ล้อเลียนและหยิกไข่หวาน”
(-_-) (_ _) (-_-)
ทีงี้พยักหน้าไวกว่าประโยคเมื่อกี้อีกนะ -_-;
“ถ้าวันไหนไข่หวานให้อภัยโยชิได้ ให้เดินไปขอโทษนะคะ ต่อให้โยชิจะไม่ให้อภัยหรือไม่ขอโทษไข่หวานก็ตาม”
“ค่ะ ไก่หวานขอโต้ดค่ะ” มือป้อมๆ ของลูกยกขึ้นมาประนมไหว้อย่างสำนึกผิด ก่อนที่ปากเล็กจะถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา “จุนพ่อจะโกรธไก่หวานไหมคะ?”
“ต้องรอถามคุณพ่อพรุ่งนี้นะคะ”
เท่านั้นแหละ หน้าเล็กๆ ก็มุ่ยขึ้นมาทันที
“ทีจุนพ่อไม่อยู่บ้านไก่หวานยังไม่โกรธเลย ถ้าจุนพ่อโกรธไก่หวานจุนแม่โกรธจุนพ่อเยยนะคะ”
“คุณแม่ต้องโกรธคุณพ่อด้วยเหรอคะ?”
“อื้อ…ไม่ต้องชงโกโก้ให้จุนพ่อกิน”
สีหน้าจริงจังของลูกสาวทำให้ฉันหัวเราะ พยักหน้าให้ไข่หวานอย่างขอไปที
“งั้นวันนี้เราไปชอปปิงเสร็จแล้ว ไปกินข้าวอบสับปะรดต่อดีไหมคะ”
“ไปค่ะ ^^”
════☆♡☆════
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปี 2019 ใครจะคิดว่าเวกัสจะเป็นคนสปอยล์แฟนตัวเองขนาดนี้ เพียงแค่เธอเอ่ยเล่นๆ ว่าอยากมางานครบรอบสามสิบปีของเครื่องประดับแบรนด์อเมทิสต์เป็นของขวัญรับปริญญา อาทิตย์ต่อมาเขาก็ลากเธอขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมายืนอยู่ในสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประมูลเครื่องประดับและอัญมณีในค่ำคืนนี้ ยอมรับว่าแสงสีส้มของเมืองปารีสตัดกับความมืดของท้องฟ้าทำให้ข้าวปั้นรู้สึกมีความสุขมาก คนตัวเล็กสวมชุดเดรสสีดำขนาดพอดีตัวกับรองเท้าบูทส้นเข็มที่แฟนหนุ่มจัดหาให้ มือเล็กคล้องแขนเขาเดินชมภาพสินค้าที่ถูกจัดแสงถ่ายแขวนตามข้างผนัง ไม่ต่างจากงานแสดงนิทรรศการภาพถ่ายเครื่องประดับด้วยความตื่นเต้น บ่อยครั้งที่มีชาวต่างชาติเดินเข้ามาทักทายเวกัสด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เธอฟังไม่ออก แต่เดาได้ว่าน่าจะเป็นการคุยเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของแฟนหนุ่ม ซึ่งเธอตั้งใจว่าจะไม่ก้าวก่ายหรือถามให้เขาอึดอัดใจ “ปั้นชอบชิ้นไหนที่สุดในงานวันนี้?” ข้าวปั้นไม่กล้าตอบ กลัวใจว่าเขาจะควักเงินซื้อให้ แม้จะอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก แต่แฟนอเมทิสต์อย่างเธอรู้ดีว่าม
ความสัมพันธ์ระหว่างเวกัสและข้าวปั้นพัฒนาแบบก้าวกระโดด นับจากวันนั้นที่ทั้งคู่ศึกษาดูใจกัน ผ่านไปสี่เดือนทั้งสองก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ เวกัสยังเข้านอกออกในบ้านของแฟนสาวเป็นกิจจะลักษณะ แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับพ่อของข้าวปั้น แต่กับผู้เป็นแม่ เวกัสแทบจะกลายเป็นลูกชายคนโตของบ้านไปแล้ว ระยะหลังข้าวปั้นรู้สึกว่าพ่อตนเองกำลังมีความเครียดบางอย่างจากการทำงาน หลายครั้งที่เธอพบว่าพ่อเมากลับมาที่บ้าน ทั้งที่ปกติรองผู้กำกับขจรเดชไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะนอกเวลาหรือในเวลา ในขณะที่ข้าวปั้นกำลังจูงมือแฟนหนุ่มของตนเองเดินชอปปิงที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียน เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นจนต้องหยุดเดินและกดรับกลางคัน “พ่อโทรมาค่ะ ^^” เธอบอกแฟนตนเองว่าใครที่โทรเข้ามาเวลานี้ ข้าวปั้นมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่มีเรื่องปิดบังปกปิดสร้างความไม่สบายใจให้อีกฝ่าย มีอะไรก็เอามาเล่าให้ฟังหมด ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้เวกัสสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน “ค่ะพ่อ” (ไอ้ปั้น! วันนี้ไม่ต้อง
ผ่านไปได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ เวกัสเข้านอกออกในบ้านเธอเป็นว่าเล่น ทั้งยังช่วยเธอทำวิจัยจนข้าวปั้นแทบจะเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ให้สาแก่ใจกับความเป็นพ่อพระของอีกฝ่าย และแม้รถของข้าวปั้นจะซ่อมเสร็จและออกจากศูนย์เรียบร้อย รุ่นพี่หนุ่มก็ยังขอเป็นคนไปรับไปส่งเธอด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนเย็นเขาต้องมาฝากท้องที่บ้านนี้ประจำจึงอยากให้ข้าวปั้นมาด้วยกันจะได้ประหยัดพลังงาน หล่อไม่พอ รักษ์โลกอีก... แต่เพราะวันนี้พ่อไปเข้าเวรดึก ส่วนแม่ก็ไปช่วยงานศพของคนรู้จัก ดังนั้นที่บ้านจึงไม่มีคนอยู่รอให้รีบกลับไป ข้าวปั้นจึงถือโอกาสชวนคนตัวโตไปฝากท้องที่ผัดไทยกระทะร้อนหลังมหาวิทยาลัยก่อนกลับ ซึ่งเวกัสก็ตามใจรุ่นน้องสาวดังเช่นทุกครั้ง แม้บรรยากาศในช่วงเย็นจะเต็มไปด้วยบรรดานักศึกษามาเดินหาของกินหลังมหาวิทยาลัยกันขวักไขว่ และร้านก็เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาจนส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไปทั้งร้าน แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกรำคาญหรือเบื่อแม้แต่น้อย เวกัสชวนคุยฆ่าเวลาเก่ง เริ่มต้นด้วยการคุยดินฟ้าอากาศ จนมาจบที่ซีรีส์เรื่องที่คนตัวเล็กกำลังติดงอมแงมได้ลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อ “ปั
หลังจากรับประทานมื้อเย็นเรียบร้อย ข้าวปั้นก็รีบปลีกตัวขึ้นมาอาบน้ำและลงมือปั่นงานวิจัยตนเองต่อ ข้าวปั้นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้อุปสรรคเพียงเท่านี้ส่งผลต่อการเรียนจบของตนเอง ติ๊ด! เสียงแจ้งเตือนดังมาจากเครื่องโน้ตบุ๊กสีเงิน ทำเอาคนที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตกใจจนสมาธิกระเจิง แถบแสดงค่าแบตเตอรี่ระบุว่าเหลือพลังงานเพียงสิบสามเปอร์เซ็นต์ ทำให้ข้าวปั้นลุกลี้ลุกลนหาสายชาร์จเพื่อนำมาเสียบกับตัวเครื่อง ไม่มี... จะว่าไปในกระเป๋าเป้ที่ได้มาก็มีเพียงโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่องเท่านั้น หรือพี่เวกัสจะลืมใส่สายชาร์จมาด้วย หญิงสาวชำเลืองสายตามองหน้าจอก็พบว่าตอนนี้คือเวลาเกือบตีสอง เธอทำงานจนลืมง่วงไปเลย โทรศัพท์ส่วนตัวกับนามบัตรที่เขาให้มาเมื่อตอนเย็นถูกนำมากำเอาไว้แน่น ลังเลว่าควรโทรไปหาในยามวิกาลเช่นนี้หรือไม่ แต่หากมัวแต่รักษามารยาท กว่าจะได้สายชาร์จก็อาจจะเป็นวันมะรืน สุดท้ายเจ้าของมือเรียวจึงตัดใจกดเบอร์ตามหน้าบัตร ก่อนจะกดโทรออก...════♡════ -Khaopun Calling- เสียงเรียกเข้าดังเป็นหนที่ส
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย และคณะที่ข้าวปั้นเรียนอยู่เป็นหนึ่งในห้าคณะที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก ดังนั้นเหล่าศิษยานุศิษย์จึงรวมใจกันมางานรำลึกที่คณะจนไม่เหลือที่ให้นักศึกษาปัจจุบันที่จ่ายค่าเทอมได้ใช้สถานที่จอดรถ จุดฝากรถราคาหลักสิบจึงเป็นทางเลือก เพราะอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัยเพียงแค่ข้ามถนน แม้จะไม่มีหลักคาไว้กันแดดกันฝนให้รถก็ไม่เป็นไร รถเธอแข็งแรง แต่แล้วข้าวปั้นก็เห็นข้อเสียของมันหลังจากกลับมาที่รถ “ฉิบหาย!” ใครจะคิดว่าคนสวยๆ แบบเธอจะสบถคำหยาบในที่สาธารณะได้ แต่ฉิบหายจริงๆ เพราะกระจกทึบประตูฝั่งคนขับถูกเปิดทิ้งไว้จนเกือบสุด เธอไม่ได้ลืมมันแน่ๆ เพราะปกติเปิดแอร์ขับรถ คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความตื่นตกใจ สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือโน้ตบุ๊กราคาหลักหมื่นหายไปจากเบาะข้างคนขับ “กรี๊ดดดด~!!!” เท่านั้นแหละนักศึกษาสาวแผดร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความโมโหทันที ในนั้นมีวิจัยที่ใช้ทำเป็นตัวจบอยู่ แถมกำหนดส่งคือเทอมนี้! เธอทุ่มเทชีวิตและเวลานอนในการอ่านหนังสือเกือบ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าวปั้นใช้เวลาหลังเลิกเรียน หมดไปกับการตามหารุ่นพี่นักศึกษาปริญญาโทคนนั้นเพื่อคืนเงิน แม้จำนวนเงินจะเป็นเพียงสามร้อยกว่าบาท แต่เธอถือคติยืมเขามาก็ต้องคืน โชคร้ายมากที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาสักนิด แต่เขาหล่อและเป็นใบหน้าที่เธอลืมไม่ลง ต่อให้เห็นแค่เงาก็มั่นใจว่าจำเขาได้ “ไอ้ปั้น แกแน่ใจนะว่ารุ่นพี่คนนั้นแกเป็นคน” ลูกตาลเพื่อนสนิทเอ่ยถามด้วยความระแวง เนื่องจากตัวเธอเองก็ติดสอยห้อยตามช่วยเพื่อนตามหาผู้ชายที่มีลักษณะตามที่เพื่อนกล่าวอ้างมาเกือบสัปดาห์เช่นกัน อยู่มหาวิทยาลัยนี้มาจะสี่ปีเต็มยังไม่เคยเห็นผู้ชายร่วมคณะคนไหนจะตัวสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเลย แถมยังมาบอกว่าตัวหอม ผิวขาว แขนมีเส้นเลือดเซ็กซีๆ “คนสิ ผีอะไรจ่ายเงินได้” “อ้าว! แกไม่เคยฟังรายการพี่แจ็คเหรอ พี่เอาเงินจ่ายหนี้ ผีเอาเงินจ่ายค่าแท็กซี่” “ถ้าผีจะสภาพคล่องทางการเงินดีขนาดนั้น ฉันก็อยากเป็นผีบ้างเหมือนกัน” ข้าวปั้นเถียงเพื่อนด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนอีกฝ่ายกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญ “อย่าม




![สิงขร [มาเฟียร้ายรัก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


