LOGIN“ขอโทษค่ะ”
สัญชาตญาณสั่งให้รีบพลั้งโพล่งเพราะหล่อนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่กลับต้องชะงักกลางคันหลังเงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของแผงอกแกร่งถูกชนเข้าอย่างจัง เขาคือบุคคลแสนคุ้นเคย แฝงอยู่ในพื้นที่ความทรงจำมากกว่างานที่ทำซะอีก
“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..”
หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันได้ฟังคำพูด และไม่ทันได้ห้ามเพื่อนชายที่กำลังดึงให้ห่างไปจากจุดนั้น
“ดะ เดี๋ยว”
แน่นอนความไม่ดูจังหวะ ทำให้เธอหงุดหงิด คิ้วคู่ขมวดชนกัน หันค้อนขวับฝ่ายชายทันทีที่มาถึง
ในขณะนักรบไม่ได้ทุกข์ร้อน แค่เลิกคิ้วสูง สีหน้ามึนงง
“อะไร?”
“แกนะแก..” ต่างจากคนตัวเล็กที่ชี้หน้าอยากจะด่ากราด ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด “จุ้นจ้านจริงๆ”
“ฮะ?”
“รีบอยู่ได้ ”
มองเข้าไปในร้าน ที่คนอื่นนั่งอยู่ ซึ่งพวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอย่างออกรส กว่าจะหันมาเห็นทั้งคู่ก็ตอนที่เดินเข้าไปแล้ว
"อ่าว"
"ดูสิ ใช่เขาจะสนใจเรา"
“เดี๋ยวนะ เธอโมโหอะไรเนี่ย”
“โมโหดิ ก็แก!”
“หืม? ฉัน? ฉันทำไม?”
“เออ ช่างมันเถอะ”
ขนาดมาถึงยังฉุนไม่หาย แต่เมื่อไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จึงทำได้แค่โบกมือ แล้วเดินนำเข้าไปหาผู้คนตรงโต๊ะนั้น
“อะไรของเธอวะ”
โซน VIP บรรยากาศแตกต่างกันมากกับพื้นที่ข้างนอก ข้างในแสงไฟน้อยกว่าเป็นไหนๆ แถมไม่แสบตากับแสงเลเซอร์ยิงผสานกันหลากหลายเส้นด้วย เทียบกันไม่ได้กับเสียงเพลงแนวEDM กับข้างในที่เป็นแนวคลาสสิค ข้างนอกเน้นสนุกเฮฮา ในขณะโซนนี้เน้นผ่อนคลาย สบายๆมากกว่า
“โอโหกว่าจะมาถึงกัน”
“รถติดครับพี่”
มาถึงเสียงแหลมของกีรติก็บ่นอุบทันที ทั้งคู่พากันนั่งลงพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้ หันไปอวยพรวันเกิดหัวหน้าอีกคน
“สุขสันต์วันเกิดพี่มล ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ”
“ถาก็เหมือนกับรบค่ะพี่ มีความสุขมากๆนะคะ”
เจ้าของวันเกิดยิ้มกว้าง หล่อนเป็นผู้หญิงที่จัดว่าหน้าเด็กคนหนึ่ง หากเปรียบกับผู้หญิงทั่วไปในวัยสี่สิบ และยังรักสนุก เที่ยวกลางคืนประหนึ่งสาวแรกรุ่นเนื่องจากไม่มีพันธะครอบครัว
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากนั้นบางอย่างที่เรียกว่าของขวัญก็ถูกนำมายื่นให้ด้วยมือของเมย์ เพื่อนร่วมงานในแผนกที่ไม่ค่อยกินเส้นกับอินถาสักเท่าไหร่
“นี่เป็นของขวัญจากพวกเราค่ะหัวหน้า”
“ว้าว รู้ใจนะเนี่ย รู้ได้ไงว่าหัวหน้าชอบ ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวขึงตา ด้วยความตกใจเผลอหันมองกีรติ แต่ฝ่ายนั้นกลับทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนักรบที่เอาแต่ยิ้มแห้ง
หากไม่ติดว่านั่งกันอยู่หลายคน โดยไม่ได้มีแค่นักรบที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว เธอจะยอมเสียมารยาทถามว่า จริงหรือ? ที่บอกว่าชอบ และดีใจที่ลูกน้องซื้อให้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง และมีไม่กี่ใบหรอกเหรอ
พระเจ้า!
มันต้องเอาหน้ากันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แล้วพวกผู้ชายไม่คิดจะคัดค้านบ้างรึไง ให้ตายเถอะ!
“เอาล่ะทุกคน ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ มื้อนี้หัวหน้าเลี้ยงเอง ใครจะเปิดกี่ขวดก็...ลงบิลหัวหน้าได้เลย ไม่อั้นจ้ะ”
“เฮ!!”
รึอาจจะเพื่อสิ่งนี้ แค่อยากสนุกแบบบุฟเฟต์โดยไม่ต้องจ่ายเอง
ช่างมันเถอะ!
อินถาถึงกับหมดสนุกประหนึ่งได้หายไปจากตรงนี้ มีเพียงกายหยาบที่นั่งเสนอหน้า ส่วนวิญญาณโบกแท็กซี่หนีกลับบ้านไปแล้ว ก้มหน้าก้มตาไม่อยากจะเสวนากับใคร รู้สึกเรื่องที่พวกเขายกมาคุยกันมันไม่สนุก โดยเฉพาะการประจบสอพลอ ซึ่งดูท่าทางเมฑิกาฝ่ายขายจะถนัดมากกว่า ยิ่งมีคนซัพพอร์ตทางคำพูดอย่างกีรติแล้วก็ยิ่งเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย การฆ่าเวลาของอินถาจึงกลายเป็นการกระดกเหล้าในแก้ว บรั่นดีสีอำพันที่ลดลงทีละนิด ทีละนิด แล้วถูกเติมใหม่ด้วยพนักงานอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มเมา
นักรบที่นั่งอยู่ข้างกันเป็นคนสังเกต เขาเริ่มรู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผ่านแววตาหวานฉ่ำของเพื่อนสาว
“พอๆ”
จำต้องแย่งแก้วเหล้าในมือ ขณะเพิ่งจะเติมใหม่ไปหมาด แล้วกำลังจ่อตรงริมฝีปากพอดิบพอดี
“ฮืม~” เจ้าตัวตะปบคว้าหวังแย่งคืนพร้อมแยกเขี้ยว “อะไรของแกเนี่ย”
“ใจเย็นๆดิ เจ้าของวันเกิดเขายังไม่หนักขนาดนี้เลย นะ”
อินถาไม่ได้คออ่อน แต่ที่เมาเร็วขนาดนี้เพราะดื่มเข้าไปเยอะ ทั้งที่ท้องว่างไม่ได้ทานอะไรมาก่อน
“ไม่หนักตรงไหน ดูดิ พวกเขาก็เมานั้นน่ะ”
เธอโวยวายชี้หน้าทุกคนไม่สนว่าเป็นเจ้านาย นักรบลนลานแทบจะหักนิ้วเรียว จังหวะปลายนิ้วหันทิศไปทางหัวหน้าใหญ่
“แกเมาแล้วถา ลุกไปล้างหน้ากันดีกว่า”
“เรื่องอะไรต้องลุก ไม่เห็นจะเมาตรงไหนเลย ดูดิฉันยังเห็นหน้ายัยเมย์ชัดเจน คนอะไรขี้ประจบชะมัด อุ๊บ!”
“ลุก! ลุกเดี๋ยวนี้ ไปล้างหน้ากัน”
ชายหนุ่มพูดกัดฟันขณะยิ้ม ถึงเวลาจะต้องบังคับ เพื่อนสนิทก็ต้องทำ นาทีนี้ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้ลากอินถาจนตัวลอยได้ ไม่สนเสียงโวยวายและการดิ้น สัญชาตญาณบอกเขา ให้คนตัวเล็กข่วนจนเลือดซิบยังดีกว่าไปห้ามตอนตบกัน เผลอๆรอยแผลเป็นที่ได้มาไม่ใช่แค่รอยข่วน
“ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย”
“ไป เข้าไป ไปล้างหน้า”
ร่างบางถูกดันตัวให้เดินเองก็ตอนถึงหน้าห้องน้ำหญิง เป็นจุดสงวนที่ผู้ชายอย่างเขาไม่สามารถเข้าได้ ไม่พอยังยื่นหน้าให้อีก จังหวะหญิงสาวง้างกำปั้นเตรียมจะปล่อยหมัดใส่ แต่กลับเซถอยหลังเกือบจะล้มจนต้องหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ ไม่เตรียมตัว ไม่ดูสังขารตัวเองเลย”
ส่ายหัวมองตามสาวเจ้า ขณะยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี
หน้ากระจกใสหมดจดบ่งบอกถึงความสะอาดที่แม่บ้านใช้ใจทำ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำม่านตาของอินถาพร่ามัว หญิงสาวแทบมองไม่เห็นใบหน้าของตัวเองในระยะห่างปกติ แต่จะต้องยื่นเข้าไปเกือบชิดกับกระจกและเพ่งเล็งแบบใช้สมาธิถึงจะมองเห็นได้ชัด
“บ้าจริง”
ฝ่ามือร้อนฉ่าทาบหน้าแดงก่ำ กว่าจะได้สติก็ตอนน้ำเย็นฉ่ำลูบแก้ม
“เสร็จรึยัง”
เสียงถามของนักรบดังมาถึงข้างใน ร่างบางตรงหน้ากระจกชะงัก เกือบลืมไปไม่ได้เดินมาคนเดียว
“ยัง” เธอตะโกนกลับ หันมองผู้หญิงข้างกันหลังเดินมาล้างมือพลางยิ้มเจื่อน พยักหน้าให้เป็นการทักทาย แล้วตะโกนกลับไปอีกครั้ง “ไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันกลับเอง”
“ไหวนะ”
“เออ ไปเถอะๆ”
“โอเค”
ยิ้มเจื่อนผ่านกระจกให้กับหล่อนอีกครั้งตอนหล่อนออกไป หุบยิ้มทันควันก็ตอนละสายตากลับมามองหน้าตัวเองใหม่ พลางกัดฟันกรอด
“ขายหน้าชะมัด”
เรียกสติกลับมาจัดการตัวเองต่อ เมื่อล้างหน้าจนหมดจดไม่หลงเหลือเครื่องสำอางแล้วก็ถอนลมหายใจแรงประหนึ่งเรียกกำลังเสริมเป็นตัวช่วยพยุงอีกที ใช้เวลาอยู่นานพอควรกว่าจะเดินออกจากห้องน้ำมาได้
แต่แล้ว..
บริเวณหน้าห้องน้ำผู้ชายก่อนจะถึงโค้งที่จะต้องเดินผ่านกลับทำให้เท้าชะงักหยุด
“ก็ได้ครับ ค้างคอนโดผมก็ได้ แต่เช้าคุณจะต้องกลับเอง ผมจะไม่ไปส่ง”
เพราะเสียงทุ้มที่ได้ยิน เสียงคุ้นเหมือนเสียงของใครบางคน
“บ้าน่า..”
อินถาพึมพำด้วยความตื่นเต้น ชะโงกหน้าออกไปดูพอเห็นแผ่นหลังก็ยิ่งทำให้ตกใจเข้าไปใหญ่ ทั้งที่เมาแทบจะยืนไม่ไหว ยังอุตส่าห์หลบมุมแอบฟังเขา
ดวงตาของเธอดูเลิกลักอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามใช้ความคิด ระหว่างเดินกลับไปยังห้องน้ำรอให้เขาไปก่อน กับเดินผ่านไปทำเป็นไม่รู้จักกัน เลือกอะไรดี ทว่าเพราะมัวแต่ประหม่า จึงไม่ทันได้สังเกต เขานั้นกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หลังหันกลับมาเห็นเงาของคนยืนอยู่
แน่นอนจังหวะเดินมาใกล้แล้วทั้งคู่สบตากันคือจังหวะนรก
“ซวยแล้ว จะหาว่าแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์หรือเปล่าเนี่ย..”
อินถาพึมพำ ก้มลงมองพื้นโดยอัตโนมัติ กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวไปเลย
“แค่นี้ก่อนนะ”
ที่น่าตื่นเต้นไปมากกว่านั้น คือเขาถึงกับยอมวางสายที่แนบหู สาวเจ้าหายใจไม่ทั่วท้อง ตอนเห็นปลายรองเท้าหนังหุ้มสีดำด้าน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
โน้มหน้าลงมาถาม เสียงแหบพร่าอยู่ห่างกันแค่นิดเดียว
หลายวันต่อมาหลังเสร็จสิ้นงานศพของสามี และไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยว อินถาและครอบครัวก็พากันกลับบ้านของตัวเอง เธอเลือกที่จะอยู่กับผู้เป็นแม่ เพื่อที่การเป็นอยู่หลังจากนี้ของเธอกับลูก อย่างน้อยพื้นเพของที่นี่ก็ยังฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ได้ดีกว่าที่นั่น ที่ที่เห็นถนนบางเส้น สถานที่บางแห่ง เมื่อเห็นแล้วจะต้องทำให้เธอร้องไห้เรียกได้ว่าอยู่ในระยะทำใจที่แท้จริง หญิงสาวประมาณเวลาไม่ได้จะหายขาดเมื่อไหร่ แต่จะเข้มแข็งให้มากที่สุด เพื่อลูกของเธอ พอๆกับคนรอบข้าง พวกเขาเองก็คาดคะเนไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็จะอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน คอยให้กำลังใจ และเติมเต็มความอบอุ่นซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เรียกได้ว่าผู้รับอาจจะต้องสำลักเข้าสักวัน เนื่องจากหยิบยื่นมากเกินไปวันเวลาผ่านไป เป็นวัน เป็นเดือนและปี เธอก็ยังคงเดินย่ำอยู่กับที่ ยังรู้สึกเหมือนเรื่องที่เสียใจเพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน ยังคงร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึง ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาและบุคลิกท่าทาง เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะจดจำเขาได้ ราวกับเขาอยู่ใกล้ไม่ไปไหน เป็นของขวัญรอให้เปิดกล่องใหม่ ที่กล่องนั้นก็คือลูก เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น แต่
โสมสุดาถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นท่าทางนั้นของลูกสาว หล่อนกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ด้วยสมองอันอื้ออึง เกี่ยวกับพฤติกรรมคนตรงหน้าเทียบกับข่าวในจอทีวีที่สามีกำลังดูอยู่ ในขณะเดียวกันเรียกร้องความสนใจให้สามีหล่อนหันมาด้วย เขากดปิดทีวีด้วยรีโมททันที ก่อนเดินเร็วมาประคองเธอ“เกิดอะไรขึ้น?”เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ สายตากวาดมองหาลูก ทันทีที่เด็กน้อยถึงตัวสาวเจ้าก็โอบไว้แน่นยิ่งเจ็บปวดไปมากกว่านั้นก็ตอนที่มองหน้าลูก เห็นสีหน้าของตัวเองในม่านตาสนิมกำลังงุนงง และไร้เดียงสา ทว่าคงไม่เท่ากับตายายของเขาทั้งคู่ ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากผู้เป็นลูก ทั้งคู่ถึงกับมองหน้ากันด้วยความตกใจ“พ่อของหนูไม่อยู่แล้วลูก..”ด้านของนักรบ หลังสืบมาได้ว่าศพของราล์ฟถูกนำไปทำพีธีกรรมตามศาสนาและลอยอังคาร จึงส่งรูปบรรยากาศบอกเพื่อนสาวที่กำลังเดินทางจากต่างประเทศมาพร้อมลูกน้อยวัยขวบเศษ โดยเขาอาสารอรับพวกเขาที่สนามบิน และแน่นอนกับความโศกเศร้ามาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นบรรยากาศในรถจึงเงียบเชียบ แม้แต่เขายังไม่กล้าเล่นกับหลานหลังชำเลืองมองหน้าแม่ที่กำลังนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลอาบ
หลุดออกมาจากห้องนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายหนุ่มจะต้องทำใจแข็งแค่ไหนคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้สัญญาณเตือนบอกถึงการเคลื่อนไหวของศัตรู ที่อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ หากเขาประมาทเลินเล่อจนเกินไป นั่นเพราะจะไม่มีทางรู้ได้เลยพวกมันไปที่ไหน หากแต่จะต้องปลอดภัยไว้ก่อนฉะนั้นการออกห่างจากลูกเมียเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะหากผิดพลาด นั่นหมายความถึงแก่ชีวิต!ราล์ฟเดินห่างออกมาจากที่อยู่อาศัยของเธอไกลพอควร เขาหยุดอยู่ที่สะพานสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ และเมื่อก้มลงไปเห็นผิวน้ำยามกระทบแสงไฟบนท้องถนน เกิดสะท้อนแสงราวกับกากเพชร กลับพบว่าความเศร้าโศกเมื่อครู่ได้ติดตามมาด้วย และเพิ่มปริมาณอีกเท่าทวีคูณ ชนิดที่เรื่องราวสามารถฉายซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง แบบไม่ติดขัดสักนิดภายในม่านตาของเขาเต็มไปด้วยภาพของลูกน้อย ทารกเพศชายที่หลับใหลอยู่ในเปล ช่างถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิด โดยไม่ต้องคิดตรวจดีเอ็นเอให้เสียเวลา เขาคือพ่อของเด็กคนนั้น และอีกไม่นานก็จะต้องกำพร้ามือสากกำราวเหล็กไว้แน่น ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่าง จนด้านชาไปทั้งตัว ไม่มีหนทางใหม่ และไร้ซึ่งทางออก แม้ตอนนี้อยากจะย้อนเวลากลับไปแค่ไหนก็ตาม คนอย่างเขาที่ไม่ใช่บ
กระจกบานใสหนาที่กั้นกลางระหว่างคนทั้งสองไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกเลย สัญชาตญาณแรกแห่งวินาทีที่เจอกันเข็มเวลาเหมือนหยุดเดิน ไม่คิดไม่ฝันคนตรงหน้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขามาได้อย่างไร? นั่นเป็นคำถามเดียววนเวียนในหัวเธอ“ระ ราล์ฟ..”เสียงใสครางชื่อ เจ้าของยืนขนานกันอีกฝั่ง เขาจ้องมองเธอในลักษณะท่าโน้มตัวลงมา ก่อนริมฝีปากจะค่อยๆคลี่ยิ้มให้อาจฝันไป..และเหมือนการกระทำของเธอจะน่าขำขับสำหรับเขา ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม หลังเธอหยิกแก้มตัวเองยืดออกอย่างบ้าคลั่งก๊อกๆเขาเคาะ ใช้ข้อนิ้วชี้กระทบกระจกสองสามที เป็นการช่วยให้เธอตื่น และยอมรับมันว่าภาพที่เห็นเป็นความจริง พลางชี้นิ้วไปทางประตูเป็นการแสดงทีท่าขอให้เธอเปิด“คุณ..”ซึ่งไม่นานเกินรอ เขายิ้มอีกครั้งหลังประตูถูกดึงเข้าไปพร้อมเสียงเรียกขานที่ไม่ได้ยินมานาน แม้ว่าจะได้มาด้วยเสียงสั่นเครือ กลับดังกังวานอยู่ในโซนสมอง หัวใจพองโตราวกับต้นไม้ที่ผ่านช่วงหน้าแล้งมาเจอฝนตกหมับ!ราล์ฟไม่รอรี ให้ประโยคต่อไปได้เอื้อนเอ่ย เขารวบร่างบางมากอด รัดกุมกระชับไว้แน่น....แน่นอนดวงตาที่กำลังขึงกว้าง บวกความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ ตอบสนองบางอย่าง
อีกหลายเดือนต่อมาระยะเวลาและกำลังใจของคนรอบข้าง บรรเทาอาการซึมเศร้าหลังคลอดของอินถาลงได้บ้าง บวกกับลูกของเธออยู่ในช่วงวัยเดินเตาะแตะและหัดพูดพอดี ความน่ารักและน่าเอ็นดูจึงค่อยๆละลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ให้เจือจางหายไปวันนี้เป็นวันคริสต์มาส ครอบครัวของเธอเลือกที่จะเฉลิมฉลองแบบเล็กๆภายในบ้าน อาหารเต็มโต๊ะกว่าปกติพาคนทั้งหมดตื่นเต้นไม่น้อย แต่คงไม่เยอะไปกว่าพ่อเลี้ยงของเธอที่ดูตื่นเต้นกว่าผู้ใดในงาน คืนนี้ภารกิจสำคัญของเขาคือการอุ้มเจ้าหนูเอื้อมไปหยิบดาวบนยอดต้นคริสต์มาส แน่นอนเขาฝึกท่อนแขนให้มีความกำยำและทรงพลังเป็นอย่างดี อุตส่าห์ไม่ยกของหนักร่วมเป็นเดือนๆก็เพื่อวันนี้ โดยเลือกที่จะออกำลังกายเบาๆ ยืดเส้นยืดสายแทน“เอาล่ะโรแวน พร้อมหรือยัง”“พร้อมฮะ”เสียงหวานของเด็กน้อยที่เพิ่งจะผ่านวัยทารกพูดขึ้น เรียกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากคนรอบข้างไม่น้อย อินถาเองก็ยิ้มตอบในทุกครั้งที่ลูกหันมามอง ประหนึ่งต้องการให้ผู้เป็นแม่ดูเขาและเชยชม“ว้าววว”“เก่งมากค่ะลูก”“สุดยอดไปเลยหลานยาย”เสียงดีใจและปรบมือดังขึ้นทันทีที่เขาทำได้ หญิงสาวหัวเราะระรื่นให้ลูกชายก่อนจะทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ที่นั่งเมื่อเขาล
เสียงจอแจที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คนดังกระจายไปทั่วพื้นที่ เป็นเรื่องปกติของผู้คนในละแวกนี้ไปแล้วร่างสูงในลักษณะแต่งตัวมิดชิดก้มหน้าก้มตาเดินผ่านผู้คนซึ่งนั่งอยู่เป็นจุดและกลุ่มก้อนไปอย่างเงียบๆ โชคดีตรงพื้นที่นั้นเป็นสาธารณะเปิดให้คนเดินผ่านไม่ซ้ำหน้าสักคน จึงไม่มีใครสนใจเขาเท่าไหร่นัก คงมองว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาซื้อบริการ“ถอยไปสิวะ เกะกะอยู่ได้!”บ่อยครั้งกับการปะทะกับคนเมา แล้วเกือบพลั้งทำร้ายเขา แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในความคิด เขามักใช้กลบเกลื่อนความเหงาระหว่างเดินไปตามทางเดินไม่นานชะลอช้าและหยุดเมื่อถึงที่หมาย คือบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้หลังหนึ่งตรงหน้า เขากวาดมองอยู่สักพักพร้อมพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป แวบแรกที่เห็นทำให้ต้องแปลกใจไม่น้อย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีอยู่จริง แบบบรรยากาศต่างลิบคนละอย่างกับข้างนอก“มาหาใครเหรอครับ”เสียงเด็กคนหนึ่งทักถาม ดวงตาใสแป๋วทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ เพราะมันเหมือนกับดวงตาของใครคนหนึ่ง เขากลั้นหายใจ กว่าจะกลับมาเป็นปกติได้เกือบได้เขินอายต่อหน้าเด็กคนนั้น ทว่าแค่ดวงตาแดงก่ำใช่ว่าจะปกปิดความรู้สึกภายในทั้งหมดราล์ฟยิ้มมุม







