“ขอโทษค่ะ”
สัญชาตญาณสั่งให้รีบพลั้งโพล่งเพราะหล่อนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่กลับต้องชะงักกลางคันหลังเงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของแผงอกแกร่งถูกชนเข้าอย่างจัง เขาคือบุคคลแสนคุ้นเคย แฝงอยู่ในพื้นที่ความทรงจำมากกว่างานที่ทำซะอีก
“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..”
หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันได้ฟังคำพูด และไม่ทันได้ห้ามเพื่อนชายที่กำลังดึงให้ห่างไปจากจุดนั้น
“ดะ เดี๋ยว”
แน่นอนความไม่ดูจังหวะ ทำให้เธอหงุดหงิด คิ้วคู่ขมวดชนกัน หันค้อนขวับฝ่ายชายทันทีที่มาถึง
ในขณะนักรบไม่ได้ทุกข์ร้อน แค่เลิกคิ้วสูง สีหน้ามึนงง
“อะไร?”
“แกนะแก..” ต่างจากคนตัวเล็กที่ชี้หน้าอยากจะด่ากราด ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด “จุ้นจ้านจริงๆ”
“ฮะ?”
“รีบอยู่ได้ ”
มองเข้าไปในร้าน ที่คนอื่นนั่งอยู่ ซึ่งพวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอย่างออกรส กว่าจะหันมาเห็นทั้งคู่ก็ตอนที่เดินเข้าไปแล้ว
"อ่าว"
"ดูสิ ใช่เขาจะสนใจเรา"
“เดี๋ยวนะ เธอโมโหอะไรเนี่ย”
“โมโหดิ ก็แก!”
“หืม? ฉัน? ฉันทำไม?”
“เออ ช่างมันเถอะ”
ขนาดมาถึงยังฉุนไม่หาย แต่เมื่อไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จึงทำได้แค่โบกมือ แล้วเดินนำเข้าไปหาผู้คนตรงโต๊ะนั้น
“อะไรของเธอวะ”
โซน VIP บรรยากาศแตกต่างกันมากกับพื้นที่ข้างนอก ข้างในแสงไฟน้อยกว่าเป็นไหนๆ แถมไม่แสบตากับแสงเลเซอร์ยิงผสานกันหลากหลายเส้นด้วย เทียบกันไม่ได้กับเสียงเพลงแนวEDM กับข้างในที่เป็นแนวคลาสสิค ข้างนอกเน้นสนุกเฮฮา ในขณะโซนนี้เน้นผ่อนคลาย สบายๆมากกว่า
“โอโหกว่าจะมาถึงกัน”
“รถติดครับพี่”
มาถึงเสียงแหลมของกีรติก็บ่นอุบทันที ทั้งคู่พากันนั่งลงพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้ หันไปอวยพรวันเกิดหัวหน้าอีกคน
“สุขสันต์วันเกิดพี่มล ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ”
“ถาก็เหมือนกับรบค่ะพี่ มีความสุขมากๆนะคะ”
เจ้าของวันเกิดยิ้มกว้าง หล่อนเป็นผู้หญิงที่จัดว่าหน้าเด็กคนหนึ่ง หากเปรียบกับผู้หญิงทั่วไปในวัยสี่สิบ และยังรักสนุก เที่ยวกลางคืนประหนึ่งสาวแรกรุ่นเนื่องจากไม่มีพันธะครอบครัว
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากนั้นบางอย่างที่เรียกว่าของขวัญก็ถูกนำมายื่นให้ด้วยมือของเมย์ เพื่อนร่วมงานในแผนกที่ไม่ค่อยกินเส้นกับอินถาสักเท่าไหร่
“นี่เป็นของขวัญจากพวกเราค่ะหัวหน้า”
“ว้าว รู้ใจนะเนี่ย รู้ได้ไงว่าหัวหน้าชอบ ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวขึงตา ด้วยความตกใจเผลอหันมองกีรติ แต่ฝ่ายนั้นกลับทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนักรบที่เอาแต่ยิ้มแห้ง
หากไม่ติดว่านั่งกันอยู่หลายคน โดยไม่ได้มีแค่นักรบที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว เธอจะยอมเสียมารยาทถามว่า จริงหรือ? ที่บอกว่าชอบ และดีใจที่ลูกน้องซื้อให้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง และมีไม่กี่ใบหรอกเหรอ
พระเจ้า!
มันต้องเอาหน้ากันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แล้วพวกผู้ชายไม่คิดจะคัดค้านบ้างรึไง ให้ตายเถอะ!
“เอาล่ะทุกคน ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ มื้อนี้หัวหน้าเลี้ยงเอง ใครจะเปิดกี่ขวดก็...ลงบิลหัวหน้าได้เลย ไม่อั้นจ้ะ”
“เฮ!!”
รึอาจจะเพื่อสิ่งนี้ แค่อยากสนุกแบบบุฟเฟต์โดยไม่ต้องจ่ายเอง
ช่างมันเถอะ!
อินถาถึงกับหมดสนุกประหนึ่งได้หายไปจากตรงนี้ มีเพียงกายหยาบที่นั่งเสนอหน้า ส่วนวิญญาณโบกแท็กซี่หนีกลับบ้านไปแล้ว ก้มหน้าก้มตาไม่อยากจะเสวนากับใคร รู้สึกเรื่องที่พวกเขายกมาคุยกันมันไม่สนุก โดยเฉพาะการประจบสอพลอ ซึ่งดูท่าทางเมฑิกาฝ่ายขายจะถนัดมากกว่า ยิ่งมีคนซัพพอร์ตทางคำพูดอย่างกีรติแล้วก็ยิ่งเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย การฆ่าเวลาของอินถาจึงกลายเป็นการกระดกเหล้าในแก้ว บรั่นดีสีอำพันที่ลดลงทีละนิด ทีละนิด แล้วถูกเติมใหม่ด้วยพนักงานอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มเมา
นักรบที่นั่งอยู่ข้างกันเป็นคนสังเกต เขาเริ่มรู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผ่านแววตาหวานฉ่ำของเพื่อนสาว
“พอๆ”
จำต้องแย่งแก้วเหล้าในมือ ขณะเพิ่งจะเติมใหม่ไปหมาด แล้วกำลังจ่อตรงริมฝีปากพอดิบพอดี
“ฮืม~” เจ้าตัวตะปบคว้าหวังแย่งคืนพร้อมแยกเขี้ยว “อะไรของแกเนี่ย”
“ใจเย็นๆดิ เจ้าของวันเกิดเขายังไม่หนักขนาดนี้เลย นะ”
อินถาไม่ได้คออ่อน แต่ที่เมาเร็วขนาดนี้เพราะดื่มเข้าไปเยอะ ทั้งที่ท้องว่างไม่ได้ทานอะไรมาก่อน
“ไม่หนักตรงไหน ดูดิ พวกเขาก็เมานั้นน่ะ”
เธอโวยวายชี้หน้าทุกคนไม่สนว่าเป็นเจ้านาย นักรบลนลานแทบจะหักนิ้วเรียว จังหวะปลายนิ้วหันทิศไปทางหัวหน้าใหญ่
“แกเมาแล้วถา ลุกไปล้างหน้ากันดีกว่า”
“เรื่องอะไรต้องลุก ไม่เห็นจะเมาตรงไหนเลย ดูดิฉันยังเห็นหน้ายัยเมย์ชัดเจน คนอะไรขี้ประจบชะมัด อุ๊บ!”
“ลุก! ลุกเดี๋ยวนี้ ไปล้างหน้ากัน”
ชายหนุ่มพูดกัดฟันขณะยิ้ม ถึงเวลาจะต้องบังคับ เพื่อนสนิทก็ต้องทำ นาทีนี้ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้ลากอินถาจนตัวลอยได้ ไม่สนเสียงโวยวายและการดิ้น สัญชาตญาณบอกเขา ให้คนตัวเล็กข่วนจนเลือดซิบยังดีกว่าไปห้ามตอนตบกัน เผลอๆรอยแผลเป็นที่ได้มาไม่ใช่แค่รอยข่วน
“ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย”
“ไป เข้าไป ไปล้างหน้า”
ร่างบางถูกดันตัวให้เดินเองก็ตอนถึงหน้าห้องน้ำหญิง เป็นจุดสงวนที่ผู้ชายอย่างเขาไม่สามารถเข้าได้ ไม่พอยังยื่นหน้าให้อีก จังหวะหญิงสาวง้างกำปั้นเตรียมจะปล่อยหมัดใส่ แต่กลับเซถอยหลังเกือบจะล้มจนต้องหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ ไม่เตรียมตัว ไม่ดูสังขารตัวเองเลย”
ส่ายหัวมองตามสาวเจ้า ขณะยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี
หน้ากระจกใสหมดจดบ่งบอกถึงความสะอาดที่แม่บ้านใช้ใจทำ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำม่านตาของอินถาพร่ามัว หญิงสาวแทบมองไม่เห็นใบหน้าของตัวเองในระยะห่างปกติ แต่จะต้องยื่นเข้าไปเกือบชิดกับกระจกและเพ่งเล็งแบบใช้สมาธิถึงจะมองเห็นได้ชัด
“บ้าจริง”
ฝ่ามือร้อนฉ่าทาบหน้าแดงก่ำ กว่าจะได้สติก็ตอนน้ำเย็นฉ่ำลูบแก้ม
“เสร็จรึยัง”
เสียงถามของนักรบดังมาถึงข้างใน ร่างบางตรงหน้ากระจกชะงัก เกือบลืมไปไม่ได้เดินมาคนเดียว
“ยัง” เธอตะโกนกลับ หันมองผู้หญิงข้างกันหลังเดินมาล้างมือพลางยิ้มเจื่อน พยักหน้าให้เป็นการทักทาย แล้วตะโกนกลับไปอีกครั้ง “ไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันกลับเอง”
“ไหวนะ”
“เออ ไปเถอะๆ”
“โอเค”
ยิ้มเจื่อนผ่านกระจกให้กับหล่อนอีกครั้งตอนหล่อนออกไป หุบยิ้มทันควันก็ตอนละสายตากลับมามองหน้าตัวเองใหม่ พลางกัดฟันกรอด
“ขายหน้าชะมัด”
เรียกสติกลับมาจัดการตัวเองต่อ เมื่อล้างหน้าจนหมดจดไม่หลงเหลือเครื่องสำอางแล้วก็ถอนลมหายใจแรงประหนึ่งเรียกกำลังเสริมเป็นตัวช่วยพยุงอีกที ใช้เวลาอยู่นานพอควรกว่าจะเดินออกจากห้องน้ำมาได้
แต่แล้ว..
บริเวณหน้าห้องน้ำผู้ชายก่อนจะถึงโค้งที่จะต้องเดินผ่านกลับทำให้เท้าชะงักหยุด
“ก็ได้ครับ ค้างคอนโดผมก็ได้ แต่เช้าคุณจะต้องกลับเอง ผมจะไม่ไปส่ง”
เพราะเสียงทุ้มที่ได้ยิน เสียงคุ้นเหมือนเสียงของใครบางคน
“บ้าน่า..”
อินถาพึมพำด้วยความตื่นเต้น ชะโงกหน้าออกไปดูพอเห็นแผ่นหลังก็ยิ่งทำให้ตกใจเข้าไปใหญ่ ทั้งที่เมาแทบจะยืนไม่ไหว ยังอุตส่าห์หลบมุมแอบฟังเขา
ดวงตาของเธอดูเลิกลักอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามใช้ความคิด ระหว่างเดินกลับไปยังห้องน้ำรอให้เขาไปก่อน กับเดินผ่านไปทำเป็นไม่รู้จักกัน เลือกอะไรดี ทว่าเพราะมัวแต่ประหม่า จึงไม่ทันได้สังเกต เขานั้นกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หลังหันกลับมาเห็นเงาของคนยืนอยู่
แน่นอนจังหวะเดินมาใกล้แล้วทั้งคู่สบตากันคือจังหวะนรก
“ซวยแล้ว จะหาว่าแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์หรือเปล่าเนี่ย..”
อินถาพึมพำ ก้มลงมองพื้นโดยอัตโนมัติ กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวไปเลย
“แค่นี้ก่อนนะ”
ที่น่าตื่นเต้นไปมากกว่านั้น คือเขาถึงกับยอมวางสายที่แนบหู สาวเจ้าหายใจไม่ทั่วท้อง ตอนเห็นปลายรองเท้าหนังหุ้มสีดำด้าน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
โน้มหน้าลงมาถาม เสียงแหบพร่าอยู่ห่างกันแค่นิดเดียว
“อ๋อ..”อินถาลากเสียงยานคาง หันไปมองเจ้าของชื่อที่แฟนหนุ่มแนะนำ จงใจยียวนกวนประสาท ก่อนจะโน้มตัวลงโค้งคำนับ“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่จินดา หนู..อินถา แฟนพี่ราล์ฟนะคะพี่”ฝ่ายชายถึงกับทำปากอมลมขณะยืดอก พลางหันไปทางอื่น รู้สึกร้อนวูบวาบทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเด็กผู้หญิงตรงหน้ามีดีอะไร ทำไมถึงเลือกที่จะปกป้องด้วยการเงียบ ปล่อยให้เธอจิกกัดอีกฝ่าย“จริงเหรอ ราล์ฟไม่เห็นเคยพูดเรื่องนี้เลย พี่ก็นึกว่าโสดอยู่ซะอีก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้องอิน”“อินถาค่ะ ชื่อมีสองพยางค์”ถ้าไม่นับว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังเคร่งเครียดอยู่ละก็ เขาคงขำไปแล้ว ขำให้กับความก๋ากั่นของเธอเขาเองรับรู้ถึงความอึดอัดของจินดา แต่ช่วยไม่ได้หล่อนอยากวอนหาเรื่องเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้คุยกันเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องสถานะ และความสัมพันธ์ที่ใคร่จะเปลี่ยนแปลงไปอนาคตจินดาเองก็ลากเสียง แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่เธอจะเอาเรื่อง คนข้างๆต่างหากที่จะต้องรับผิดชอบ หญิงสาวปรายตาหันไปมองพร้อมกอดอกราล์ฟถึงกับถอนหายใจ“โอเค..”พยักหน้าเป็นอันเข้าใจในความต้องการ ก่อนจะจูงมือบาง พาเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่คิดจะเอ่ยลาจินดาสักคำ ชายหนุ
“มากับไอ้ราล์ฟมันหรือ”ดวงตาพร่ามัวขึงขึ้นและเปลี่ยนเป็นชัดแจ๋วในเวลาต่อมา หลังต้องใช้ม่านตาเพ่งเล็งคนตรงหน้า ชายปริศนาที่เธอไม่รู้จัก“คะ?”“เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสินะ" เธอไม่รู้ประโยคที่เขาพูดหมายถึงอะไร อีกนัยคือเสียงดนตรีดังซะจนฟังไม่ถนัด แต่ก็พออ่านปากออกและเข้าใจได้ "ผมเป็นเพื่อนมันฮะ”สาวเจ้าพยักหน้า ดูจากการแต่งตัวก็น่าจะใช่ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร“สวัสดีค่ะ”“รอมันอยู่ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ อีกเดี๋ยวคงมา เขาบอกแบบนั้น”“ราล์ฟงานเข้าแบบนี้จะนานนะ อย่ารอมันเลย”คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหา มองคนตรงหน้าผ่านกระจกแว่นกรองแสงที่ใส่ พลางขยับให้เข้าที่หลังประหม่าจนขาแว่นกระโดด“อย่ารอ? อ่อไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมากับเขา”“มากับมัน?" การถามย้ำ ทำให้เธอเริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันปนไม่น่าไว้ใจสุด "อยู่ด้วยกันจริงๆสินะ ไอ้ที่บอกว่าย้ายออกแล้ว จริงๆคือย้ายไปอยู่ห้องเธอ?”“เดี๋ยวค่ะ ฉันไม่รู้คุณหมายถึงอะไร แต่คุณไม่ควรมาพูดกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแบบนี้นะคะ”ดวงตาทรงพระจันทร์เสี้ยวหรี่เข้าหากันเป็นวงรี พร้อมแสงประกายเจิดจรัสขณะมองเธออยู่ เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ถึงขนาดทำอังครชะงักค้างกลางคันได้ ยาม
ติ๊ด!เสียงเครื่องสแกนดังก่อนประตูถูกผลักเข้า ดวงตาเฉี่ยวรีปะทะกับกลมโตแต่เศร้ามอง ราวกับคนไม่ได้นอนมาหลายคืน พลางเลิกคิ้ว เลือกที่จะปิดประตูแล้วเดินเข้ามาก่อนจะตั้งคำถาม“ทำไมขอบตาดำแบบนั้นละคะ”คนมาใหม่ทำตัวไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่เป็นต้นเหตุเพราะเขานั้นหายไปทั้งวันทั้งคืน“นอนไม่ค่อยหลับค่ะ”เธอตอบ ไม่ได้มองหน้า ยังคงจ้องมองจอโทรศัพท์ตัวเองทำทีไม่สนใจ ทั้งที่น้ำเสียงในประโยคไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งชายหนุ่มเองก็รู้ สาวเจ้าโกรธเขาเรื่องกลับบ้านไม่ตรงเวลาเขายิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู สูดลมหายใจเข้าปอดสุดลึก มือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินมาหยุดฝั่งตรงข้าม ก่อนจะโน้มตัวลงใบหน้าอยู่ระดับเดียว ที่ห่างกันสองคืบ“เนี่ย ปากกับจมูกมันจะชนกันแล้วค่ะ”แหย่เธอพร้อมยักคิ้วอินถาละสายตาจากสิ่งที่ถือขึ้นมามองเขา สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที“ไม่ต้องเลย”“โอ๋~ ก็พี่บอกหนูแล้วไงคะ ว่าพี่ติดประชุม”“ประชุมอะไรตอนดึก รุ่งสาง เช้าตรู่..”เธอแวดใส่ ชายหนุ่มหลุดเสียงขำ“ไม่เอาน่า อย่าเป็นอย่างนี้ดิ ก็นี่ไงพี่กลับมาแล้วไง ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”“หาย หายไปทำงาน หนึ่งวันหนึ่งคืน..”“โอเค..” แขนแกร่งยกขึ้นราวกับยกธงขาว พร้อมพยักหน้
จินดาหน้าชา ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มอ้าขึ้นอัตโนมัติ และขยับภายหลังโดยไม่มีเสียง หล่อนคงตกใจหนักซะจนลืมพูด หรือไม่สมองก็ขาวโพลนหยุดทำงานชั่วคราวหมายความว่าไง?การเลื่อนสถานะจากบุคคลที่เคยถูกหลอก เข้าหาเพื่อหวังผลประโยชน์ กลายเป็นคนพิเศษในเวลาต่อมา ต่อจากนี้จะไม่ได้มีแค่หล่อนเพียงคนเดียวแล้ว แต่จะมีอีกบุคคลปริศนาหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะหลงรักซะมากกว่าจะทำยังไงดี..สาวเจ้าขบริมฝีปากตัวเอง รู้สึกถึงกลิ่นคาวรสชาติปะแล่มของเลือด แต่ความเจ็บปวดตรงนี้ยังเทียบไม่เท่ากับหัวใจเสียงถามตัวเองกึกก้องไปทั่วทั้งหัว“แล้วยังไง ยูจะไปจากไอเหรอ”ราล์ฟเงียบ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความเมตตา ต่างกันกลับถัดไปฝั่งตรงข้ามมากกว่า ราวกับเขาเตรียมการเอาไว้แล้วชายหนุ่มส่ายศีรษะ“ยังไม่ได้พูดสักคำ”“ถ้างั้น?”“ยูอยู่ได้ไหมล่ะ”“ฮะ..”ความรู้สึกราวตะคริวกินอก เพิ่มเติมเป็นใบหน้าชาวาบและหูดับ หัวใจเต้นแรงเร็วเสี่ยงทะลุออกมาดิ้นพล่าน มือบางผสานกุมกันเอาไว้“ถ้ายูอยู่ได้ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม”ดวงตาเคยสดใสเต็มไปด้วยหยดน้ำตา อันที่จริงหล่อนทราบดีคนตรงหน้าโคตรเห็นแก่ตัว ไม่เคยสนใจ ไม่เคยมองเห็นหัวใครหน้าไหน ทว่าไม
บ้านหลังหนึ่ง สร้างด้วยช่างฝีมือดี ตั้งตระหง่านอยู่บนเขตนอกชานเมือง ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และพืชเขียวขจี ราวกับอาณาเขตนั้นจงใจถูกจัดแต่งโดยเจ้าของบ้านที่รักอิสระทว่าไม่ใช่ ไม่เลย..เพราะนั่นคือตรงกันข้ามหล่อนมักจะอ้างว้างทุกครั้งยามต้องอยู่คนเดียว และยิ้มดีอกดีใจก็ตอนประตูรั้วค่อยๆเลื่อนเปิด ตอนรถหรูคันหนึ่งเคลื่อนผ่านเข้ามา ใช่เลยเป็นเขาคนที่รออยู่“มาแล้วเหรอ”เสียงหวานถามทันทีที่เห็นร่างสูงหลุดวงกบประตูเข้ามา“เป็นไงบ้าง”เสียงแหบพร่าถามกลับ ไม่ได้มองหล่อนเต็มตาสักเท่าไหร่ เลือกที่จะเดินไปทิ้งตัวลงบนฟูกพร้อมพ่นลมหายใจเขาคงเหนื่อยมาก มากซะจนไม่มีอารมณ์จะมองตากันดวงตากลมโตของจินดาขึงกว้างขึ้นเล็กน้อย หล่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจัดว่ารู้จักเขาดีมากกว่าใครอื่น ถึงได้รู้อารมณ์ที่แสดงออกมาตอนนี้นั้นยากจะควบคุมของเขา หากพูดผิดหูไปเพียงนิดเดียว อาจจะโดนตะเพิด และทำเขาหายไปจากบ้านหลังนี้ได้ จึงเลือกที่จะกลืนน้ำลายดับความน้อยใจลงก่อน ถึงจะเอาตัวเข้าไปใกล้“อะไรเย็นๆหน่อยไหม”แม้ว่าจินดาจะจัดไปทางคนเจ้าอารมณ์ ชอบเหวี่ยงชอบวีน แต่หล่อนก็อยู่เป็น เลือกที่จะใช้ท่าทางและคำพูดได้ดีและถู
นับตั้งแต่นั้น ความระแวงก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ ภายในห้องใหญ่แต่เบาเสียง ชนิดไร้ซึ่งการหยอกล้อระหว่างคนสองคน และกำลังเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ ที่อาจทำให้เกิดการสั่นคลอนได้ราล์ฟกลับบ้านดึกทุกวัน บางครั้งอินถาหลับไปแล้ว กว่าจะเห็นเขานอนอยู่ข้างๆก็ตอนเช้าตรู่ความตึงเครียดจึงเริ่มมีอิทธิพล สาวเจ้าในวันทำงานไร้รอยยิ้มและวันผ่อนคลายเหมือนเช่นเคย จนนักรบเพื่อนร่วมงานทันสังเกต และเริ่มสงสัยจริงจังก็ตอนอยู่กันตามลำพังในร้านกาแฟของบริษัท“มีปัญหากันใช่ไหม”“อืม”“ตั้งแต่เมื่อไหร่”“สักพักละ”“ตั้งแต่ตอนนั้นเหรอ”“อืม”คนถูกถามเอาแต่พยักหน้า ขณะสายตาหลุบต่ำจ้องเพียงแก้วกาแฟที่เพิ่งจะลดลงไปไม่ถึงคืบ เพียงเพราะมันขมกว่าวันปกติจนกลืนไม่ลงชายหนุ่มถอนลมหายใจพรืด ฉุดมือนั้นไว้และบังคับให้แก้วลดลง เพื่อจะเห็นสีหน้าบูดบึ้งอย่างชัดเจน“อิน..”“หืม?”“รบหวังดีนะ”ประโยคบอกเล่า ให้ความรู้สึกถึงคนพูดไม่สู้ดีนัก ทำคนฟังชะงักกึก ยอมที่จะละทิ้งความตะขิดตะขวงใจไว้เบื้องหลัง ความประหม่าถูกทาบทับลดระดับลง หลงเหลือความซึ้งใจให้พึงระลึกแทน“เรารู้” หญิงสาวพยักหน้า ช้อนตาขึ้น “แยกแยะได้แหละน่า มันไม่เกี่ยวกับร