LOGINร่างสูงยังคงก้าวเดินออกไปช้าๆ และนั่นทำให้โจวจินเซวียนก้าวตามเขาไปอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและกำลังไปที่แห่งใด
กระนั้นนางกลับรู้สึกว่าอยู่กับเขานางคงปลอดภัยกว่าอยู่ที่ศาลเจ้าร้างที่เต็มไปด้วยศพคนตาย หรืออีกทางเลือกหากนางเดินทางคนเดียวนั่นยิ่งอันตรายกว่า...
เดินเท้าตั้งแต่เช้าตรู่กระทั่งตะวันบ่ายคล้อย โจวจินเซวียนเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนก้าวเท้าไม่ออก เท้าของนางเจ็บจนชาแทบไม่มีความรู้สึก แผ่นหลังของบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าทิ้งห่างไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงเรียกเขา เนื่องจากกลัวว่าเขาจะปฏิเสธที่จะให้นางร่วมทาง หญิงสาวจึงได้แต่เร่งฝีเท้าตามเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งในที่สุดนางก็ตามเขาไม่ทัน
โจวจินเซวียนเคว้งคว้างเพียงลำพัง ท่ามกลางเสียงของสายลมพัดยอดไม้และเสียงเหล่าสกุณาที่กำลังบินกลับรัง ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้มเป็นสัญญาณสุดท้ายว่ากำลังจะค่ำลง นางเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจช้าๆ จนไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ น้ำตาที่เพียรห้ามไม่ให้หลั่งริน
ความอ่อนแอที่เพียรกดข่ม บัดนี้ทุกอย่างกลับพังครืน...ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นกอดห่อผ้าเอาไว้กับอกก่อนร้องไห้ออกมาเสียงเบา
ร่างเล็กสั่นสะท้านในยามที่น้ำตาหลั่งไหลลงเป็นสาย ดวงตาคู่งามเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยความความสิ้นหวังและหวาดหวั่น ความจริงที่ว่าเหลือตัวคนเดียวไม่อาจปกป้องตัวเองได้ทำให้นางหวาดกลัว
โจวจินเซวียนก้มหน้าร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวรอบข้างกระทั่งคลองสายตาของนางมองเห็นรองเท้าหุ้มแข็งคู่หนึ่ง
หญิงสาวหวีดร้องด้วยความตกใจตื่น จากนั้นก็ถดกายถอยหลังแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้าบุรุษคู่นั้น
ดวงตาคมดุคุ้นเคยจ้องมองนางอย่างเฉยชา วูบหนึ่งฉายแววไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะละสายตาแล้วหันหลังออกเดินจากไปอีกครั้ง ในมือของเขามีกระต่ายน่าสงสารสองตัวที่เพิ่งถูกสังหาร
แม้กำลังตกตะลึงกระนั้นนางไม่รอช้ารีบลุกขึ้นแล้วออกวิ่งตามเขาไป ไม่นำพาว่าเท้าของนางในยามนี้แทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว
เดินตามเงาร่างสูงท่ามกลางความมืดสลัวไม่นาน แสงสว่างสลัวไม่ชัดเจนที่อยู่ไม่ไกล ทำให้หญิงสาวเผยท่าทีหวาดระแวง นางจ้องมองแผ่นหลังกว้างของบุรุษตรงหน้า ก่อนกวาดสายตามองไปยังกองไฟที่อยู่ริมลำธาร
บุรุษผู้นั้นนั่งลงหันหลังให้ลำธารก่อนลงมือถลกหนังกระต่ายสองตัวในมือ เขาเงยหน้ามองหญิงสาวคราหนึ่งด้วยสายตาเรียบเฉย แสงจากกองไฟกระทบบาดแผลน่ากลัวข้างแก้ม ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งดุดัน
โจวจินเซวียนก้าวเข้าไปช้าๆ ก่อนจะเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามเขาอีกด้านของกองไฟ จากนั้นก็มองไปรอบกายเพราะยังคงไม่คลายความหวาดระแวง
“เท้าเจ้าเป็นแผล ไปล้างแล้วทำแผลซะ” เขาสั่งทั้งยังชี้ไปยังลำธาร
น้ำเสียงของเขาทำให้นางไม่อาจปฏิเสธ ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังลำธารจนกระทั่งนั่งลงจึงรู้สึกได้ว่าเท้าของนางเจ็บมาก
ล้างเนื้อล้างตัวอยู่นานกลิ่นกระต่ายย่างเรียกร้องให้หญิงสาวเดินกลับไปยังกองไฟ นางยังคงเลือกที่จะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา ก่อนมองเนื้อกระต่ายเหลือชุ่มน้ำมันที่อยู่บนกองไฟ กลิ่นของเนื้อกระต่ายย่างหอมกรุ่นทำให้นางนึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ความหวาดกลัวทำให้นางลืมสิ้นกระทั่งตอนนี้จึงรู้ว่านางหิวจนมือไม้สั่นเทา
“เหตุใดไม่ล้างหน้า”
โจวจินเซวียนสะดุ้งเมื่อได้ยิน นางไม่กล้าล้างคราบผงถ่านออกจากใบหน้า เพียงล้างมือล้างเท้าแล้วใช้ผ้าห่อเท้าเอาไว้หลังใส่ยา บางอย่างกระทบแสงไฟแล้วส่องสะท้อนมายังคลองสายตา
หญิงสาวหันไปมองกระทั่งพบว่ามันคือมีดสั้นในมือของบุรุษผู้นั้น นางมองเขาอย่างหวาดระแวง
คิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เขากลับไปง่วนกับกระต่ายย่างโดยใช้มีดสั้นหั่นเนื้อกระต่ายออก จากนั้นก็ยื่นออกมาข้างหน้า “หิวหรือไม่”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วค่อยๆ ขยับกายออกไปแล้วยื่นมือไปรับ “ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณ”
เขาไม่เอ่ยอะไรเพียงหันไปสนใจกระต่ายย่าง ทั้งสองต่างคนต่างกินเงียบๆ ไม่สนทนากันอีก เขาหั่นเนื้อกระต่ายให้นางเพิ่มซึ่งนางก็รับเอาไว้ อิ่มหนำสำราญแล้วเขาจึงลุกขึ้นไปล้างมือที่ลำธาร หลังจากเขากลับมานั่งนางจึงลุกไปล้างมือบ้าง
“เดินเท้าอีกเพียงวันเดียวก็จะถึงจุดพักม้าเขตเมืองลั่วหยาง ที่นั่นมีโรงเตี๊ยมเจ้ากับข้าแยกทางกันที่นั่น” เขาเอ่ยจบก็โยนท่อนฟืนลงไปยังกองไฟก่อนทิ้งตัวลงนอน
โจวจินเซวียนใจเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น หวาดกลัวแต่ก็อธิบายไม่ถูกว่าหวาดกลัวเขาหรือหวาดกลัวการลาจาก ทั้งที่เพิ่งพบเขาแต่กลับกลัวเขาทอดทิ้งนาง นางอดตำหนิตัวเองที่คิดแบบนั้นเพราะนางไม่ใช่ภาระที่เขาต้องแบกรับ
“ท่าน...ท่านมิใช่จะเดินทางไปเมืองหลวงหรอกหรือ หากท่าน...”
“ข้าจะไปชายแดน”
เขาตอบเสียงห้วนนางจึงได้แต่อ้าปากค้าง ในเวลานี้ที่ชายแดนกำลังมีข่าวสงคราม เขาจะไปชายแดนนั่นมิเท่ากับไปสู้รบหรอกหรือ หรือว่าเขาเป็นทหาร นางได้แต่สงสัยไม่กล้าถามออกมาก่อนค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนกอดห่อผ้าแน่น ราวกับว่ามันช่วยให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้น
ฟ้าสางเขายังคงตื่นก่อนนาง เมื่อพบว่านางล้างหน้าล้างตาแล้วก็ออกเดินทาง ทั้งสองเดินเท้าเงียบๆ ต่างคนต่างไม่พูดไม่ส่งเสียง กระทั่งตะวันตรงศีรษะครั้งนี้เขาหันมามองนางก่อนพยักหน้าแล้วชี้ไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ เป็นอันว่าเขาให้นางพักเหนื่อย กระนั้นตัวเขาเองกลับหายไปจนนางเริ่มใจคอไม่ดี
เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยของคนหลายคนทำให้โจวจินเซวียนสะดุ้ง นางมองไปรอบกายก่อนหมุนตัวเข้าไปซุกในพุ่มไม้ข้างต้นไม้ใหญ่ ร่างเล็กสั่นสะท้านเพียงแค่คิดว่าคนเหล่านั้นคือกลุ่มโจรเมื่อวันก่อน
หญิงสาวเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้เพราะเกรงว่าจะส่งเสียงออกมา ทั้งยังพยายามหดกายเพื่อหวังว่านางจะสามารถซ่อนตัวไม่ให้กลุ่มคนผู้มาใหม่เห็น แต่นางไหนเลยจะรู้ว่าชายชุดของนางโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกคว้าเอาไว้แล้วโยนออกมา
ร่างสูงยังคงก้าวเดินออกไปช้าๆ และนั่นทำให้โจวจินเซวียนก้าวตามเขาไปอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและกำลังไปที่แห่งใดกระนั้นนางกลับรู้สึกว่าอยู่กับเขานางคงปลอดภัยกว่าอยู่ที่ศาลเจ้าร้างที่เต็มไปด้วยศพคนตาย หรืออีกทางเลือกหากนางเดินทางคนเดียวนั่นยิ่งอันตรายกว่า...เดินเท้าตั้งแต่เช้าตรู่กระทั่งตะวันบ่ายคล้อย โจวจินเซวียนเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนก้าวเท้าไม่ออก เท้าของนางเจ็บจนชาแทบไม่มีความรู้สึก แผ่นหลังของบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าทิ้งห่างไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงเรียกเขา เนื่องจากกลัวว่าเขาจะปฏิเสธที่จะให้นางร่วมทาง หญิงสาวจึงได้แต่เร่งฝีเท้าตามเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งในที่สุดนางก็ตามเขาไม่ทันโจวจินเซวียนเคว้งคว้างเพียงลำพัง ท่ามกลางเสียงของสายลมพัดยอดไม้และเสียงเหล่าสกุณาที่กำลังบินกลับรัง ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้มเป็นสัญญาณสุดท้ายว่ากำลังจะค่ำลง นางเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจช้าๆ จนไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ น้ำตาที่เพียรห้ามไม่ให้หลั่งรินความอ่อนแอที่เพียรกดข่ม บัดนี้ทุกอย่างกลับพังครืน...ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นกอดห่อผ้าเอาไว้กับอกก่
โจวจินเซวียนหาได้สงสารเหล่าเพื่อนร่วมเดินทางที่สิ้นใจอยู่โดยรอบ นางเห็นชัดเจนในยามที่มองกวาดสายตาไปยังสตรี คนแก่ หรือคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วย พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าปี้หรูโดนย่ำยีแต่ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ บางคนขยับกายมองด้วยสายตาเฉยชา บางคนขยับหนีด้วยความหวาดกลัว บางคนลุกขึ้นนั่งมองราวกำลังเห็นเรื่องน่าสนุกความสิ้นหวังและท้อแท้ลอยอวลท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวได้แต่นอนนั่งในอ้อมแขนของบุรุษแปลกหน้า กลิ่นเหงื่อไคลที่โชยออกมาท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างหู เรียกสติและความนึกคิดของนางกลับมามือน้อยค่อยๆ ขยับก่อนจะพบว่าพันธนาการจากเขาได้คลายลงแล้ว นางขยับออกห่างเขาจากกายเขาแล้วพบว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้วคิ้วเรียวขมวดมุ่นในยามที่แสงฟ้าแลบแปลบปลาบนั้น ส่งผลให้นางมองเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อตัวเอง นางอยู่ห่างจากจุดที่เกิดการเข่นฆ่า แล้วเหตุใดตัวนางจึงเปรอะเปื้อนเลือดได้นั่นคือคำถามที่นางถามตัวเองในใจ กระทั่งเลื่อนสายตามองบุรุษที่หลับตานอนนิ่งอยู่ในมุมมืด แสงสายฟ้าเล็ดลอดเข้ามาอีกครั้งทำให้นางตระหนักในที่สุด บุรุษผู้นี้ได้รับบาดเจ็บนั่นคือคำตอบว่าเหตุใดในยามที่พวกนางเข้
“คุณหนูท่านว่าพวกเขาจะเลิกตามล่าเราหรือยังเจ้าคะ” ปี้หรูกระซิบถามโจวจินเซวียนในยามที่ช่วยใช้ผ้าซับน้ำตามเรือนผมให้อีกฝ่าย“ข้าไม่รู้ นี่ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่าการปราบปรามเหวินอู่โหวเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อ...ท่านพ่อให้ข้ารับปากว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องเดินทางไปยังเมืองต้าเหลียง ฉะนั้นเราก็ได้แต่หวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นท่านพ่อจะรอเราอยู่แล้ว”“แล้วเมืองต้าเหลียงอยู่อีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“หากเดินเท้าคงราวๆ ครึ่งเดือนกระมัง ข้าเองก็ไม่เคยไปเพียงได้ยินมาเท่านั้น”“แห้งแล้วเจ้าค่ะคุณหนูนอนพักเถิดนะเจ้าคะ”“ปี้หรูต่อไปก็เรียกข้าว่าพี่สาวเถิด เรียกเช่นนี้อาจทำให้ผู้อื่นสงสัยได้”“เจ้าค่ะ” ปี้หรูพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแม้จะสนทนากันเสียงเบา กระนั้นพวกนางก็ไว้ใจผู้ใดไม่ได้ “พี่สาวหน้าท่านถูกน้ำฝนล้างออกหมดแล้วข้าช่วยทาให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ”“ได้”พวกนางทั้งสองต้องทนกลิ่นเหงื่อไคล ทั้งยังไม่กล้าอาบน้ำล้างเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้าสกปรกเหม็นอับ รวมไปถึงใช้ผงถ่านทาใบหน้าให้อัปลักษณ์จนผู้คนไม่อยากเข้าใกล้เช่นนี้หนึ่งในสาเหตุก็เพื่อปกป้องตัวเอง กระนั้นนี่ก็ไม่อาจทำให้พวกนางรู้สึกปลอดภัยในยามที่
ขบวนรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่บนอันแสนขรุขระอย่างรีบเร่ง ทำให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่แตกตื่นพร้อมวิ่งหนีอย่างลุกลี้ลุกลน เหล่านกน้อยบินหวือออกไปทุกทิศทางเพราะความหวาดหวั่น เช่นเดียวกันกับใบหน้าของผู้คนที่อยู่ในขบวนรถม้า พวกเขาทุกคนต่างมองไปรอบทิศอย่างหวาดระแวงเสียงฝีเท้าม้าซึ่งตามหลังมาส่งผลให้ใบหน้าของพวกเขายิ่งเผือดสี คนบังคับรถม้าหวดแส้ไปยังม้าสองตัวที่ผูกยืดเข้ากับรถม้า พวกมันเร่งฝีเท้าขึ้นอีกตามแรงหวดกระนั้นกลับยังคงไม่เร็วดังใจเสียงตะโกนกู่ร้องด้านหลังทำให้คนในขบวนรถม้าแตกตื่น คนคุ้มกันส่วนหนึ่งหันหลังกลับไปยิงธนูอีกส่วนก็เตรียมพร้อมรับมือผู้ที่ไล่ตามมา รถม้าคันที่อยู่ด้านหลังสุดค่อยๆ ชะลอความเร็วกระทั่งจอดแน่นิ่ง ใบหน้านิ่งเฉยของบุรุษวัยกลางคนโผล่ออกมาจากม่านรถม้า ชะโงกออกไปมองไปยังรถม้าอีกคันข้างหน้า“พวกเจ้าคุ้มเซวียนเอ๋อร์ด้วย ข้าขอฝากบุตรสาวของข้าด้วย” “ขอรับท่านอาจารย์โจว” ผู้คุ้มกันสามคนรับคำเสียงหนักแน่นก่อนควบม้าตามรถม้าอีกคันไป ส่วนที่เหลือหันกลับไปถ่วงเวลาเหล่ามือสังหารในชุดสีดำซึ่งกำลังใกล้เข้ามา “ท่านพ่อ!” เสียงสตรีนางหนึ่งร้องเรี







