LOGINโจวจินเซวียนหาได้สงสารเหล่าเพื่อนร่วมเดินทางที่สิ้นใจอยู่โดยรอบ นางเห็นชัดเจนในยามที่มองกวาดสายตาไปยังสตรี คนแก่ หรือคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วย พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าปี้หรูโดนย่ำยีแต่ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ บางคนขยับกายมองด้วยสายตาเฉยชา บางคนขยับหนีด้วยความหวาดกลัว บางคนลุกขึ้นนั่งมองราวกำลังเห็นเรื่องน่าสนุก
ความสิ้นหวังและท้อแท้ลอยอวลท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวได้แต่นอนนั่งในอ้อมแขนของบุรุษแปลกหน้า กลิ่นเหงื่อไคลที่โชยออกมาท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างหู เรียกสติและความนึกคิดของนางกลับมา
มือน้อยค่อยๆ ขยับก่อนจะพบว่าพันธนาการจากเขาได้คลายลงแล้ว นางขยับออกห่างเขาจากกายเขาแล้วพบว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้ว
คิ้วเรียวขมวดมุ่นในยามที่แสงฟ้าแลบแปลบปลาบนั้น ส่งผลให้นางมองเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อตัวเอง นางอยู่ห่างจากจุดที่เกิดการเข่นฆ่า แล้วเหตุใดตัวนางจึงเปรอะเปื้อนเลือดได้
นั่นคือคำถามที่นางถามตัวเองในใจ กระทั่งเลื่อนสายตามองบุรุษที่หลับตานอนนิ่งอยู่ในมุมมืด แสงสายฟ้าเล็ดลอดเข้ามาอีกครั้งทำให้นางตระหนักในที่สุด บุรุษผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ
นั่นคือคำตอบว่าเหตุใดในยามที่พวกนางเข้ามายังศาลเจ้าแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดมองเห็นเขา เพราะเขาเอาแต่ซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ในซอกมุมแห่งนี้นั่นเอง
ละล้าละลังอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไร หญิงสาวมองไปยังปี้หรูที่นอนนิ่งภายใต้เสื้อคลุมสีเทา ก่อนละสายตากลับมามองบุรุษแปลกหน้าที่ช่วยนางเอาไว้ นางถอนหายใจออกมาเมื่อตัดสินใจได้ มือเล็กยื่นเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นก่อนออกแรงลากเขาออกมาจากมุมมืด กระนั้นก็พบว่าตนจะหมดแรงก็ทำได้เพียงลากเขาออกมาได้ไม่ถึงสิบชุ่น[1] นั่นนับว่าสว่างมากพอหากนางต้องการทำแผลเพื่อห้ามเลือดให้เขา อย่างน้อยเพื่อตอบแทนที่เขาช่วยนางเอาไว้
ร่างเล็กเดินวนไปเวียนมายุ่งง่วนอยู่ค่อนคืน เพื่อค้นหาสิ่งที่กลุ่มโจรทิ้งเอาไว้ที่นางสามารถใช้ประโยชน์ ยังดีที่มีขวดยาสมานแผลของนางหลงเหลืออยู่ ดังนั้นนางจึงเริ่มใช้ทุกอย่างที่ใช้ได้ออกไปรองน้ำฝน ก่อนใช้น้ำนั้นชะล้างบาดแผลและใส่ยาให้บุรุษซึ่งนอนสลบไศลไม่ได้สติ พันแผลเอาไว้ด้วยเสื้อผ้าที่นางฉีกเป็นริ้วๆ
โจวจินเซวียนชะงักในยามที่เห็นคิ้วเข้มขมวดมุ่น ใบหน้าเสี้ยวหนึ่งของเขายังคงปกคลุมไปด้วยเส้นผมรุงรัง กลิ่นเหงื่อไคลจากร่างหนาทำเอานางย่นจมูก
“ไหนๆ ข้าก็กลายเป็นสาวใช้จำเป็นของท่านแล้ว...”
นางถอนหายใจก่อนใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้เขา ในใจก็ท่องซ้ำๆ บอกตัวเองว่าเขาคือคนเจ็บที่ช่วยนางเอาไว้ก่อนหน้านี้ และนางทำเพียงเพื่อตอบแทนพระคุณของเขาเท่านั้น นางจะไม่ทำเกินขอบเขตที่นางทำได้
เมื่อมือป่ายเส้นผมรุงรังของเขาออกจากใบหน้า รูปหน้าอีกด้านหนึ่งของชายหนุ่มปรากฏขึ้น ใบหน้าในส่วนที่ไม่ถูกทำลายของเขา ทำให้นางอดทอดถอนลมหายใจออกมาคราหนึ่ง เขาน่าจะเป็นบุรุษที่หล่อเหลาก่อนจะถูกทำลายโฉมหน้าเช่นนี้ บาดแผลที่เกิดจากของมีคมสามเส้นข้างแก้มด้านขวาของเขา เปลี่ยนเขาจากบุรุษผู้มีใบหน้าดุจหยกสลัก กลับกลายเป็นบุรุษอัปลักษณ์ที่มีบาดแผลน่าหวาดหวั่นในทันที
บาดแผลดังกล่าวยังคงไม่หายสนิท ดังนั้นนางจึงโรยยาสมานแผลลงไปด้วย เพราะเห็นชัดว่าเขาไม่ได้ใส่จะดูแลรักษาแม้แต่น้อย
กว่านางจะปลีกตัวออกมาจากซอกมุมหนึ่งของศาลเจ้าร้าง ลากร่างสิ้นลมของปี้หรูออกมาด้านนอกฝนก็หยุดตกพอดี หญิงสาวสะอื้นฮักในยามที่สวมเสื้อผ้าให้สาวใช้ตัวน้อย ก่อนจะจัดการขุดหลุมอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้ความเหน็ดเหนื่อยในการขุดหลุมฝังศพของตน เพื่อชดเชยให้สาวใช้คนสนิทที่ต้องเสียสละชีวิตเช่นนี้
ฟ้าสางแล้วในตอนที่โจวจินเซวียนชะล้างคราบดินโคลนตามเนื้อตัวจากแอ่งน้ำฝน นางเปลี่ยนเสื้อผ้าในมุมหนึ่งแล้วกลับมานั่งลงไม่ไกลจากจุดที่คนเจ็บนอนอยู่ ความเหน็ดเหนื่อยทำให้ลืมศพคนตายและกลิ่นคาวเลือดที่อยู่รอบด้านจนสิ้น กระทั่งไม่นานก็ผล็อยหลับไป ทว่าก่อนหลับไปมือเล็กยังเอื้อมไปคว้าชายเสื้อของบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นเอาไว้ ก่อนจะกำมันไว้แน่นและจมลงไปในห้วงนิทราช้าๆ
ความเคลื่อนไหวข้างกายทำให้โจวจินเซวียนสะดุ้งตื่น นางขยับกายลุกขึ้นอย่างลนลานก่อนใช้สองมือกอดเข่ามองไปโดยรอบ สายตาแตกตื่นของนางสานสบเข้ากับดวงตาคมดุที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว นางยังคงสะดุ้งตกใจกับใบหน้าซีดขาวที่มีบาดแผลฉกรรจ์บนซีกแก้ม กระนั้นเมื่อเขาเพียงนั่งมองนางนิ่งๆ จึงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
ทั้งสองต่างคนต่างนั่งเงียบ เขาไม่ขยับ นางเองก็ไม่กล้าส่งเสียง ร่างเล็กสั่นน้อยๆ ในยามที่รับรู้ถึงสายตาคมกริบที่กวาดมองสำรวจตัวนางช้าๆ นางต้องสะดุ้งเฮือกในยามที่เขาขยับกายลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไปด้านนอก
บาดแผลของเขานับว่าร้ายแรงมาก โดยเฉพาะรอยคมกระบี่ที่หน้าอกซึ่งพาดยาวจากไหล่ลงมายังหน้าท้อง และนั่นเป็นสาเหตุให้เขาเสียเลือดมาก แม้นางจะทำแผลใส่ยาให้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถออกแรงได้ตามใจชอบ
“คุณชายท่านนี้...”
นางส่งเสียงและเดินตามเขาออกมาอย่างลังเล ในมือนางมือห่อผ้าที่นางเก็บรวบรวมของที่ใช้ได้ ก่อนสายตาจะหันไปมองหลุมศพของหรูปี้ราวกำลังอำลาอีกฝ่ายเงียบๆ
[1] ชุ่นเท่ากับ 1 นิ้ว
ร่างสูงยังคงก้าวเดินออกไปช้าๆ และนั่นทำให้โจวจินเซวียนก้าวตามเขาไปอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและกำลังไปที่แห่งใดกระนั้นนางกลับรู้สึกว่าอยู่กับเขานางคงปลอดภัยกว่าอยู่ที่ศาลเจ้าร้างที่เต็มไปด้วยศพคนตาย หรืออีกทางเลือกหากนางเดินทางคนเดียวนั่นยิ่งอันตรายกว่า...เดินเท้าตั้งแต่เช้าตรู่กระทั่งตะวันบ่ายคล้อย โจวจินเซวียนเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนก้าวเท้าไม่ออก เท้าของนางเจ็บจนชาแทบไม่มีความรู้สึก แผ่นหลังของบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าทิ้งห่างไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงเรียกเขา เนื่องจากกลัวว่าเขาจะปฏิเสธที่จะให้นางร่วมทาง หญิงสาวจึงได้แต่เร่งฝีเท้าตามเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งในที่สุดนางก็ตามเขาไม่ทันโจวจินเซวียนเคว้งคว้างเพียงลำพัง ท่ามกลางเสียงของสายลมพัดยอดไม้และเสียงเหล่าสกุณาที่กำลังบินกลับรัง ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้มเป็นสัญญาณสุดท้ายว่ากำลังจะค่ำลง นางเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจช้าๆ จนไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ น้ำตาที่เพียรห้ามไม่ให้หลั่งรินความอ่อนแอที่เพียรกดข่ม บัดนี้ทุกอย่างกลับพังครืน...ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นกอดห่อผ้าเอาไว้กับอกก่
โจวจินเซวียนหาได้สงสารเหล่าเพื่อนร่วมเดินทางที่สิ้นใจอยู่โดยรอบ นางเห็นชัดเจนในยามที่มองกวาดสายตาไปยังสตรี คนแก่ หรือคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วย พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าปี้หรูโดนย่ำยีแต่ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ บางคนขยับกายมองด้วยสายตาเฉยชา บางคนขยับหนีด้วยความหวาดกลัว บางคนลุกขึ้นนั่งมองราวกำลังเห็นเรื่องน่าสนุกความสิ้นหวังและท้อแท้ลอยอวลท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวได้แต่นอนนั่งในอ้อมแขนของบุรุษแปลกหน้า กลิ่นเหงื่อไคลที่โชยออกมาท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างหู เรียกสติและความนึกคิดของนางกลับมามือน้อยค่อยๆ ขยับก่อนจะพบว่าพันธนาการจากเขาได้คลายลงแล้ว นางขยับออกห่างเขาจากกายเขาแล้วพบว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้วคิ้วเรียวขมวดมุ่นในยามที่แสงฟ้าแลบแปลบปลาบนั้น ส่งผลให้นางมองเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อตัวเอง นางอยู่ห่างจากจุดที่เกิดการเข่นฆ่า แล้วเหตุใดตัวนางจึงเปรอะเปื้อนเลือดได้นั่นคือคำถามที่นางถามตัวเองในใจ กระทั่งเลื่อนสายตามองบุรุษที่หลับตานอนนิ่งอยู่ในมุมมืด แสงสายฟ้าเล็ดลอดเข้ามาอีกครั้งทำให้นางตระหนักในที่สุด บุรุษผู้นี้ได้รับบาดเจ็บนั่นคือคำตอบว่าเหตุใดในยามที่พวกนางเข้
“คุณหนูท่านว่าพวกเขาจะเลิกตามล่าเราหรือยังเจ้าคะ” ปี้หรูกระซิบถามโจวจินเซวียนในยามที่ช่วยใช้ผ้าซับน้ำตามเรือนผมให้อีกฝ่าย“ข้าไม่รู้ นี่ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่าการปราบปรามเหวินอู่โหวเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อ...ท่านพ่อให้ข้ารับปากว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องเดินทางไปยังเมืองต้าเหลียง ฉะนั้นเราก็ได้แต่หวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นท่านพ่อจะรอเราอยู่แล้ว”“แล้วเมืองต้าเหลียงอยู่อีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“หากเดินเท้าคงราวๆ ครึ่งเดือนกระมัง ข้าเองก็ไม่เคยไปเพียงได้ยินมาเท่านั้น”“แห้งแล้วเจ้าค่ะคุณหนูนอนพักเถิดนะเจ้าคะ”“ปี้หรูต่อไปก็เรียกข้าว่าพี่สาวเถิด เรียกเช่นนี้อาจทำให้ผู้อื่นสงสัยได้”“เจ้าค่ะ” ปี้หรูพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแม้จะสนทนากันเสียงเบา กระนั้นพวกนางก็ไว้ใจผู้ใดไม่ได้ “พี่สาวหน้าท่านถูกน้ำฝนล้างออกหมดแล้วข้าช่วยทาให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ”“ได้”พวกนางทั้งสองต้องทนกลิ่นเหงื่อไคล ทั้งยังไม่กล้าอาบน้ำล้างเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้าสกปรกเหม็นอับ รวมไปถึงใช้ผงถ่านทาใบหน้าให้อัปลักษณ์จนผู้คนไม่อยากเข้าใกล้เช่นนี้หนึ่งในสาเหตุก็เพื่อปกป้องตัวเอง กระนั้นนี่ก็ไม่อาจทำให้พวกนางรู้สึกปลอดภัยในยามที่
ขบวนรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่บนอันแสนขรุขระอย่างรีบเร่ง ทำให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่แตกตื่นพร้อมวิ่งหนีอย่างลุกลี้ลุกลน เหล่านกน้อยบินหวือออกไปทุกทิศทางเพราะความหวาดหวั่น เช่นเดียวกันกับใบหน้าของผู้คนที่อยู่ในขบวนรถม้า พวกเขาทุกคนต่างมองไปรอบทิศอย่างหวาดระแวงเสียงฝีเท้าม้าซึ่งตามหลังมาส่งผลให้ใบหน้าของพวกเขายิ่งเผือดสี คนบังคับรถม้าหวดแส้ไปยังม้าสองตัวที่ผูกยืดเข้ากับรถม้า พวกมันเร่งฝีเท้าขึ้นอีกตามแรงหวดกระนั้นกลับยังคงไม่เร็วดังใจเสียงตะโกนกู่ร้องด้านหลังทำให้คนในขบวนรถม้าแตกตื่น คนคุ้มกันส่วนหนึ่งหันหลังกลับไปยิงธนูอีกส่วนก็เตรียมพร้อมรับมือผู้ที่ไล่ตามมา รถม้าคันที่อยู่ด้านหลังสุดค่อยๆ ชะลอความเร็วกระทั่งจอดแน่นิ่ง ใบหน้านิ่งเฉยของบุรุษวัยกลางคนโผล่ออกมาจากม่านรถม้า ชะโงกออกไปมองไปยังรถม้าอีกคันข้างหน้า“พวกเจ้าคุ้มเซวียนเอ๋อร์ด้วย ข้าขอฝากบุตรสาวของข้าด้วย” “ขอรับท่านอาจารย์โจว” ผู้คุ้มกันสามคนรับคำเสียงหนักแน่นก่อนควบม้าตามรถม้าอีกคันไป ส่วนที่เหลือหันกลับไปถ่วงเวลาเหล่ามือสังหารในชุดสีดำซึ่งกำลังใกล้เข้ามา “ท่านพ่อ!” เสียงสตรีนางหนึ่งร้องเรี







