ใบหน้างดงามบูดบึ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่ให้สามีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มู่หรงอี้หวายเพียงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วลูบฝ่ามือไปตามสาบเสื้อของนาง แค่เขาตวัดนิ้วไม่กี่ครั้งเอี๊ยมตัวบางกับอาภรณ์สีขาวสะอาดก็ไหลหล่นลงจนหน้าอก และแผ่นหลังของนางเปล่าเปลือยอวดสายตา“พะ...พี่อี้หวาย ไม่ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะได้เวลาไปคารวะน้ำชาท่านพ่อแล้ว”“ท่านพ่อมีธุระด่วน ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์” เขาก้มลงกระซิบชิดใบหูนาง ก่อนจะฝังจมูกลงบนซอกคอหอมกรุ่น มือสากร้อนลูบไล้จากลาดไหล่ไล่เรื่อยจนถึงโนมเนื้ออวบหยุ่นเต็มมือ“ตะ...แต่ว่าจื่อเหยาไม่ไหวแล้ว หากท่านพี่ยังคงเคี่ยวกรำไม่หยุด เกรงว่าข้าคงขาดใจตายเป็นแน่” นางร้องประท้วงพร้อมกับพยายามหยุดฝ่ามือที่กำลังเคล้นคลึงดอกบัวคู่งาม “โอ๊ย...เจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่อี้หวายเจ้าคะ ให้จื่อเหยาพักก่อนได้หรือไม่” นางส่งเสียงออดอ้อน วอนขอให้เขาปรานี“เมื่อครู่ดื่มยาไปแล้วนี่ ยังไม่คลายความเจ็บปวดบ้างเลยหรือ” เขาตอบเสียงสั่น พร้อมซุกไซ้โลมเลียลำคอระหง มือไม้เริ่มซุกซนไปตามจุดอ่อนไหวของนาง“อือ...จริงสิ เมื่อครู่ท่านให้เหม่ยเหมยเอายาอะไรให้ข้าดื่ม”“ก็แค่ยาคลายความเจ็บปวดข
หลี่จื่อเหยาเก็บรอยยิ้มแทบไม่ทัน ไม่คิดว่าจะถูกสามีปฏิเสธ“เข้าใจแล้วหรือไม่”“เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงเบาราวกับยุง จากนั้นก็ตัดสินใจกินข้าวต่อไปอย่างเงียบเชียบแม้จะพอรู้นิสัยของทายาทคหบดีบ้างแล้ว แต่การเป็นภรรยาของสามีผู้เอาแต่ใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี นางเลยตัดสินใจไม่ต่อความยาวสาวความยืด ดังที่มารดาสอนเอาไว้ว่า นิ่งสงบสยบทุกสิ่ง คงมีแต่ต้องรอให้เขาหายโมโหไปเองเท่านั้นภายในห้องมีเพียงความเงียบ ทั้งสองต่างคนต่างกิน จนในที่สุดบุรุษผู้เอาแต่ใจก็เปิดปากเอ่ยสำเนียงขึ้นก่อน“จริงสิ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”หลี่จื่อเหยาละสายตาจากชามข้าว เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา เป็นเชิงว่าพร้อมรับฟังแล้ว“พรุ่งนี้ข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับบ้านเดิม เจ้าพาแค่เสี่ยวจูไปด้วยก็น่าจะพอ”“ถ้ามีแค่เสี่ยวจูคนเดียว เกรงว่าจะดูแลท่านพี่ได้ไม่ดีนะเจ้าคะ พวกเราพาเหม่ยเหมยไปด้วยอีกคนน่าจะดีกว่า”“พวกเรารึ...” เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าเหมือนนางพูดอะไรผิด “นี่เจ้าไม่เข้าใจ ที่ข้าพูดเลยสินะ”“ก็ตามธรรมเนียม...” คำพูดประโยคต่อมาจุกอยู่ที่ลำคอ ในที่สุด หลี่จื่อเหยาก็เข้าใจแล้วว่า สามีตัดสินใจอย่างไร“ดูเหมือนภรรยาข้าจะเริ่มเข้าใ
มู่หรงอี้หวายละสายตาจากเอกสาร แล้วจ้องหน้าเหม่ยเหมย ทำราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ผู้หญิงคนนั้นทำให้ข้าแปลกใจอีกแล้ว ทั้งที่ตอนกินข้าวหน้าซีดออกปานนั้น แต่พออยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่กลับปั้นยิ้มได้จนตลอดรอดฝั่งเชียวหรือ”“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยไม่ได้ทำเรื่องขายหน้าให้นายน้อยอย่างแน่นอน” เหม่ยเหมยยืนยันสิ่งที่เห็น“บัดซบ! เจ้าจะบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาที่ข้าปฏิเสธที่จะกลับตระกูลหลี่กับนางหรือ” มู่หรงอี้หวายตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว“มะ...ไม่เชิงเจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยละล่ำละลัก นางไม่แน่ใจว่าครานี้ นายน้อยต้องการคำตอบแบบใดกันแน่ ทั้งที่ฮูหยินน้อยก็ทำหน้าที่ของตนได้ดี เหตุใดเขาต้องโกรธเคืองเล่า“พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้ง สรุปนางเสียใจ หรือไม่เสียใจกันแน่”“ฮูหยินน้อยทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง บ่าวไพร่ก็ล้วนชื่นชมนาง แต่หลังจากทุกคนออกไปจากห้องโถงแล้ว นางถึง...ถึงร้องไห้ออกมาเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าหล่อเหลาจึงกลับมาเป็นปกติ ไม่มีวี่แววของความเดือดดาลหลงเหลือ เหม่ยเหมยลอบปาดเหงื่อเมื่อนายน้อยดูสงบลง“เจ้าว่านางรู้สึกยังไงกับข้า” คำถามแปลกประหลาดออกมาจากปากของผู้เป็นนายอีกครั้ง
ดวงแก้วสีน้ำตาลจดจ้องลำแสงที่ส่องลงมา มือนางพยายามไขว่คว้าทุกสิ่ง เพื่อจะไปให้ถึงยังความอบอุ่นเบื้องบน อาภรณ์ที่สวมช่างหนักเหลือเกิน ร่างบาง จึงยิ่งจมดิ่ง ความหนาวเหน็บจู่โจมทุกอณูของร่างกาย ทุกครั้งที่เผยอริมฝีปาก เพื่อสูดอากาศกลับมีเพียงของเหลวไหลเข้าไปแทนที่ทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนรางข้ากำลังจะตายงั้นรึท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา... แค่ก แค่ก แค่ก! หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อยเมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณนัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเห
โครม! เสียงของกระแทกผนังภายในห้องทำงานของนายท่านตระกูลหลี่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินชะงักงันด้วยความตกใจ“บัดซบ! ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” หลี่เค่อตวาดด้วยความเดือดดาล“เป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถดูแลคุ้มครองสินค้าได้ ขอให้นายท่านลงโทษจินหูเถิด”เมื่อเห็นคนสนิทนั่งคุกเข่าขอรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว นายท่านตระกูลหลี่ก็อดเห็นใจไม่ได้“ลงโทษเจ้าแล้วได้อันใด สินค้าเหล่านั้นก็ไม่กลับมาอยู่ดี”“พวกโจรไม่ได้ขโมยของไปทั้งหมด เรายังพอเหลือสินค้าเอามาวางขายได้นะขอรับ”“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล” หลี่เค่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น“สินค้าที่ถูกปล้นไป ล้วนเป็นของที่ถูกสั่งเอาไว้ทั้งสิ้น มัดจำข้าก็รับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่มีสินค้าไปส่งตามสัญญา ร้านค้าตระกูลหลี่ได้พินาศคามือข้าแน่”ภาพบิดาผู้ล่วงลับลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ถ้ากิจการของครอบครัว ต้องพังในรุ่นของเขา หลี่เค่อคงไม่มีหน้าไปพบกับวิญญาณบรรพชน“ข้าเชื่อว่าลูกค้าเหล่านั้นย่อมเข้าใจ หากเราหาเงินมัดจำไปคืนได้ พวกเขา อาจจะไม่ฟ้องร้องค่าปรับก็ได้ขอรับ”“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายดั่งที่เจ้าคิดน่ะสิ จะมาถามหาน้ำใจเกี่
ครั้นน้องสาวจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็จางหายหลี่เค่อลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ เขาหยิบกล่องสีดำใบหนึ่งขึ้นมา เมื่อเปิดฝาก็พบเอกสารหลายสิบฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นโฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆหลังจากกวาดสายตาอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบโฉนดออกมาสองสามใบถึงเขาจะมั่นใจว่าหลิวจินหูจะสามารถขายสินค้าที่เหลือได้ทันเวลา แต่หากมีลูกค้าที่ไม่ยินยอม แล้วเรียกร้องเอาเงินค่าปรับสักสองสามคน เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เงินสดในบัญชีคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าปรับมหาศาลเหล่านั้น เขาจึงจำต้องเฉือนเนื้อบางส่วนเพื่อรักษา ร่างกายเอาไว้เวลาผ่านไปราวสายลมผู้ช่วยมือดีอย่างหลิวจินหูสามารถขายสินค้าที่มีได้ทั้งหมด ทำให้ร้านค้าตระกูลหลี่สามารถชดใช้เงินค่ามัดจำกับลูกค้าเก่าแก่ได้ แต่ปัญหายังคงไม่หมดไป เมื่อมีลูกค้าสองรายที่ไม่ยินดีรับเงินคืนไปเฉยๆคนที่มีปัญหาล้วนแล้วเป็นลูกค้าใหม่ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สั่งซื้อสินค้าจำนวนเยอะที่สุดอีกด้วย เนื่องจากเป็นลูกค้าใหม่ซึ่งไร้ความสัมพันธ์ใดๆ พวกเขาจึงไม่มีความเห็นใจให้กับร้านค้าตระกูลหลี่แม้ก่อนหน้าหลี่เค่อได้เตรียมการขายที่ดินสามแห่
เวลาล่วงเลยจนถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หลี่เค่อหมายใช้วันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีของมารดาเปิดตัวหลี่จื่อเหยา เขาจัดทำเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลผู้ดีทั้งหลาย รวมไปถึงพ่อค้าวาณิชที่มีลูกชายถึงวัยแต่งงาน เขามั่นใจว่าน้องสาวคนงามจะเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาคุณชาย เหล่านั้นอย่างแน่นอนสำหรับตระกูลหลี่นั้นถือเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาพอสมควร ด้วยทำการค้าภายในเมืองหลวงมายาวนาน อีกทั้งนายท่านรุ่นก่อนก็เป็นคนกว้างขวาง และมีมิตรสหายมาก ทำให้แขกเหรื่อพากันมาร่วมอวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างหนาตา ซึ่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในแคว้นหานทั้งสิ้นนอกจากคำอวยพร บรรดาสหายเก่าและเศรษฐีทั้งหลายต่างมอบของขวัญล้ำค่าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย หลี่เค่อตาเป็นประกายเมื่อเห็นรายการของกำนัล รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งที่ลงทุนลงแรงกับวันนี้ไปมากอีกด้านหนึ่งหลี่จื่อเหยานั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองภาพหญิงสาว งดงามที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองเหลือง ในขณะที่สาวใช้ประจำตัวกำลังเกล้าผมเป็นทรงเมฆลอยให้อย่างใส่ใจนิ้วยาวสวยดุจลำเทียนวาดไล้บนรูปหน้าแผ่วเบา ก่อนจะหยิบกระดาษสีแดงในกล่องเครื่องประทินโฉมขึ้นมา ริมฝีปากรูปกระจับเม้
ถึงกระนั้นความหวังก็ยังริบหรี่ เพราะต่อให้นางพยายามตามหาเบาะแสเท่าใด ก็ไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้‘บางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะเป็นเทพจากสวรรค์ที่มาช่วยนางจากประตูผี เมื่อเสร็จธุระก็บินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วกระมัง’ เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มขื่นก็ปรากฏ จะมีเหตุผลอันใดเล่า เขาก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งสองไม่เคยรู้จักมักคุ้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่บุรุษผู้หนึ่งจะต้องสานสัมพันธ์หรือเป็นห่วงเป็นใยสตรีที่บังเอิญได้ช่วยเหลือนั่นล่ะคือความจริงทางที่ดีนางควรลืมเรื่องที่เสี่ยวจูพูด การต่อลมหายใจเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น ในเมื่อไม่มีข่าวลือเสียหาย นางก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้มิใช่หรือนิ้วเรียวลูบลงบนกลีบปากอย่างช้าๆ หลี่จื่อเหยาแทบจำสัมผัสอันพร่าเลือนจากการถ่ายทอดอากาศสู่กายนางมิได้ พอมาคิดอีกที ถึงแม้ชายผู้นั้นจะทำลงไปเพราะต้องการช่วยเหลือก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับว่าจูบแรกของนางได้ถูกขโมยไปแล้วหรือ‘ช่างเถิด’หลี่จื่อเหยาถอนหายใจ อย่างไรการเฝ้ารอคนผู้นั้นอย่างเปล่าประโยชน์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว หลังจากคืนนี้ไป
มู่หรงอี้หวายละสายตาจากเอกสาร แล้วจ้องหน้าเหม่ยเหมย ทำราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ผู้หญิงคนนั้นทำให้ข้าแปลกใจอีกแล้ว ทั้งที่ตอนกินข้าวหน้าซีดออกปานนั้น แต่พออยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่กลับปั้นยิ้มได้จนตลอดรอดฝั่งเชียวหรือ”“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยไม่ได้ทำเรื่องขายหน้าให้นายน้อยอย่างแน่นอน” เหม่ยเหมยยืนยันสิ่งที่เห็น“บัดซบ! เจ้าจะบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาที่ข้าปฏิเสธที่จะกลับตระกูลหลี่กับนางหรือ” มู่หรงอี้หวายตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว“มะ...ไม่เชิงเจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยละล่ำละลัก นางไม่แน่ใจว่าครานี้ นายน้อยต้องการคำตอบแบบใดกันแน่ ทั้งที่ฮูหยินน้อยก็ทำหน้าที่ของตนได้ดี เหตุใดเขาต้องโกรธเคืองเล่า“พูดมาอย่ามัวอ้ำอึ้ง สรุปนางเสียใจ หรือไม่เสียใจกันแน่”“ฮูหยินน้อยทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง บ่าวไพร่ก็ล้วนชื่นชมนาง แต่หลังจากทุกคนออกไปจากห้องโถงแล้ว นางถึง...ถึงร้องไห้ออกมาเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าหล่อเหลาจึงกลับมาเป็นปกติ ไม่มีวี่แววของความเดือดดาลหลงเหลือ เหม่ยเหมยลอบปาดเหงื่อเมื่อนายน้อยดูสงบลง“เจ้าว่านางรู้สึกยังไงกับข้า” คำถามแปลกประหลาดออกมาจากปากของผู้เป็นนายอีกครั้ง
หลี่จื่อเหยาเก็บรอยยิ้มแทบไม่ทัน ไม่คิดว่าจะถูกสามีปฏิเสธ“เข้าใจแล้วหรือไม่”“เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงเบาราวกับยุง จากนั้นก็ตัดสินใจกินข้าวต่อไปอย่างเงียบเชียบแม้จะพอรู้นิสัยของทายาทคหบดีบ้างแล้ว แต่การเป็นภรรยาของสามีผู้เอาแต่ใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี นางเลยตัดสินใจไม่ต่อความยาวสาวความยืด ดังที่มารดาสอนเอาไว้ว่า นิ่งสงบสยบทุกสิ่ง คงมีแต่ต้องรอให้เขาหายโมโหไปเองเท่านั้นภายในห้องมีเพียงความเงียบ ทั้งสองต่างคนต่างกิน จนในที่สุดบุรุษผู้เอาแต่ใจก็เปิดปากเอ่ยสำเนียงขึ้นก่อน“จริงสิ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”หลี่จื่อเหยาละสายตาจากชามข้าว เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา เป็นเชิงว่าพร้อมรับฟังแล้ว“พรุ่งนี้ข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้ากลับบ้านเดิม เจ้าพาแค่เสี่ยวจูไปด้วยก็น่าจะพอ”“ถ้ามีแค่เสี่ยวจูคนเดียว เกรงว่าจะดูแลท่านพี่ได้ไม่ดีนะเจ้าคะ พวกเราพาเหม่ยเหมยไปด้วยอีกคนน่าจะดีกว่า”“พวกเรารึ...” เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าเหมือนนางพูดอะไรผิด “นี่เจ้าไม่เข้าใจ ที่ข้าพูดเลยสินะ”“ก็ตามธรรมเนียม...” คำพูดประโยคต่อมาจุกอยู่ที่ลำคอ ในที่สุด หลี่จื่อเหยาก็เข้าใจแล้วว่า สามีตัดสินใจอย่างไร“ดูเหมือนภรรยาข้าจะเริ่มเข้าใ
ใบหน้างดงามบูดบึ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่ให้สามีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มู่หรงอี้หวายเพียงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วลูบฝ่ามือไปตามสาบเสื้อของนาง แค่เขาตวัดนิ้วไม่กี่ครั้งเอี๊ยมตัวบางกับอาภรณ์สีขาวสะอาดก็ไหลหล่นลงจนหน้าอก และแผ่นหลังของนางเปล่าเปลือยอวดสายตา“พะ...พี่อี้หวาย ไม่ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะได้เวลาไปคารวะน้ำชาท่านพ่อแล้ว”“ท่านพ่อมีธุระด่วน ไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์” เขาก้มลงกระซิบชิดใบหูนาง ก่อนจะฝังจมูกลงบนซอกคอหอมกรุ่น มือสากร้อนลูบไล้จากลาดไหล่ไล่เรื่อยจนถึงโนมเนื้ออวบหยุ่นเต็มมือ“ตะ...แต่ว่าจื่อเหยาไม่ไหวแล้ว หากท่านพี่ยังคงเคี่ยวกรำไม่หยุด เกรงว่าข้าคงขาดใจตายเป็นแน่” นางร้องประท้วงพร้อมกับพยายามหยุดฝ่ามือที่กำลังเคล้นคลึงดอกบัวคู่งาม “โอ๊ย...เจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่อี้หวายเจ้าคะ ให้จื่อเหยาพักก่อนได้หรือไม่” นางส่งเสียงออดอ้อน วอนขอให้เขาปรานี“เมื่อครู่ดื่มยาไปแล้วนี่ ยังไม่คลายความเจ็บปวดบ้างเลยหรือ” เขาตอบเสียงสั่น พร้อมซุกไซ้โลมเลียลำคอระหง มือไม้เริ่มซุกซนไปตามจุดอ่อนไหวของนาง“อือ...จริงสิ เมื่อครู่ท่านให้เหม่ยเหมยเอายาอะไรให้ข้าดื่ม”“ก็แค่ยาคลายความเจ็บปวดข
ยามเสียงคำรามและเสียงครวญครางภายในห้องหอสงบลง เหม่ยเหมยกับเสี่ยวจูค่อยกลับมาหายใจได้คล่องอีกครั้ง ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นหญิงสาวที่ไม่เคยต้องมือชาย ครั้นต้องทนฟังเสียงความเคลื่อนไหวของผู้เป็นนายอยู่ราวชั่วก้านธูป จึงอดกระดากอายจนหน้าแดงซ่านมิได้และก่อนที่นายน้อยจะกลับมาพร้อมรบอีกครั้ง เหม่ยเหมยตัดสินใจให้เสี่ยวจูรีบไปตามบ่าวให้ยกน้ำร้อนมาส่งให้เร็วที่สุด เสี่ยวจูรีบสาวเท้าจากไปทันที ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมบ่าวอีกสี่คนเหม่ยเหมยสูดหายใจเข้าลึก แล้วส่งเสียงถามชายหญิงที่อยู่ในห้องหอ “นายน้อย น้ำสำหรับอาบที่สั่งเอาไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ”“เอาเข้ามาได้” เสียงทุ้มนุ่มตอบรับกลับมา สาวใช้ทั้งหมดหาบน้ำเข้าไปในห้องหอ พวกนางเดินไปยังหลังฉากกั้นอย่างรู้งาน เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็รีบสาวเท้าออกไปจากห้องโดยไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองเงาสะท้อนหลังผ้าม่านบนเตียงเหม่ยเหมยเดินเข้าไปหยิบน้ำมันหอม และเกลือขัดผิวออกมาจากตู้ใบหนึ่งในห้องอาบน้ำ นางผสมน้ำมันหอมราคาแพงลงในน้ำอุ่น เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยแจ้งผู้เป็นนาย“น้ำสำหรับอาบพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”มู่หรงอี้หวายอุ้มร่างเปลือยเปล่าของหลี่จื่อเหยาเข้ามาหลังฉากกั้น เขาไม่
มู่หรงอี้หวายเกร็งซ่าน ริมฝีปากหยักครางกระเส่า เพลิดเพลินกับการถูกกลืนกินตัวตน มือหนายื่นไปประคองปทุมคู่งามแล้วขยี้ยอดสีหวานเพื่อคลายทรมาน ร่างบางสั่นสะท้าน ส่งเสียงครางอู้อี้ในลำคอ นางเริ่มตัวอ่อนระทวยเมื่อเขาเพิ่มแรงมือ แต่ก็ไม่ยอมละปากจากความใหญ่โตแล้วตอบโต้ด้วยการดูดดึงอย่างรัวแรง จนชายหนุ่มเกร็งสะโพกขึ้นสวนอย่างดุดันยามนี้สำหรับเขา นางช่างวิเศษนัก แต่แค่เพียงอุ้งปากคงไม่สามารถทำให้ตนเสร็จสม ชายหนุ่มจำต้องถอนกายแกร่งออกอย่างเสียไม่ได้ แต่มือและนิ้วของเขายังคงบดคลึงหน้าอกนางอย่างรุนแรง“เหยาเอ๋อร์ เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่เล่า... หืม”“มะ...ไม่เป็นเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงสั่น“งั้น ขึ้นมานี่สิ ประเดี๋ยวข้าจะสอนให้”มู่หรงอี้หวายรั้งร่างบางขึ้นมานั่งบนตักอย่างง่ายดาย เขาคว้าตัวนางมาจุมพิตอย่างร้อนแรง เย้าแหย่ปลายลิ้นอย่างวาบหวาม ตวัดลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กนัวเนีย ดึงนางดำดิ่งสู่กระแสความหวามไหว ก่อนจะยกนางขึ้น ให้ผกาดอกงามอยู่เหนือความเป็นชายอย่างหมิ่นเหม่หลี่จื่อเหยารับรู้ได้ถึงความแข็งเครียดที่เคล้าคลอไปมาบนยอดเกสรอย่างเอาอกเอาใจ น้ำหวานสีใสพลันไหลหลั่งอาบกายแกร่งของเขาจนชุ่มชื้น
ราตรีกาลผ่านพ้นไปพร้อมๆ กับพายุแห่งความรัญจวนหลี่จื่อเหยาอ่อนล้า หมดเรี่ยวแรง นางเอนกายอิงแอบในอ้อมกอดของสามีอย่างเป็นสุขทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา บุรุษที่ตระกองกอดนางก่อนเข้าสู่นิทราก็ไม่อยู่เสียแล้ว ฝ่ามือนุ่มรับรู้ถึงความเย็นยามลูบลงบนฟูกข้างกาย และทันทีที่นางลุกขึ้นนั่ง ความปวดเมื่อยก็จู่โจมเข้าใส่ ยามนี้รู้สึกเหมือนมีหินก้อนยักษ์ทับอยู่บนร่างก็ไม่ปานครั้นเหลือบแลเห็นแต้มสีกลีบดอกเหมยบนผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด ใบหน้าสะคราญโฉมพลันแดงซ่าน ยิ่งคิดถึงท่วงท่าและน้ำเสียงอันน่าอายของตนเอง นางยิ่งอยากจะหายตัวไปเสียเลยขณะหญิงสาวกำลังนั่งหน้าแดงอยู่ที่ขอบเตียง มู่หรงอี้หวายก็เดินกลับเข้ามาพอดี หลี่จื่อเหยารีบขยับกายซ่อนร่างเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์เข้าใต้ผ้านวมทันทีท่าทางลนลานและขวยอายของนางสร้างรอยยิ้มบางๆ บนมุมปากของมู่หรงอี้หวาย เขาเดินมาอย่างช้าๆ แล้วกระชากผ้านวมทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ทำให้เห็นร่างบางเปล่าเปลือยนอนระทดระทวยยั่วเย้าอยู่บนเตียง ชายหนุ่มยกยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ถอดรองเท้าปักลายปีนตามขึ้นมาด้วยท่วงท่าของหมาป่ายามล่าเหยื่อ ไม่อำพรางไฟปรารถนาในดวงตาสีนิลแม้แต่เศษเสี้ยวเขาเปลื้องอาภรณ์ของ
เสียงร้องประท้วงยิ่งกระตุ้นให้มู่หรงอี้หวายพึงพอใจ เขายังคงสาละวนกับการเตรียมนางให้พรั่งพร้อมรับตัวตนอันยิ่งใหญ่จากหนึ่งเป็นสองนิ้ว ขยับเข้าออกหมุนวนอย่างย่ามใจ“อือ...พี่อี้หวายเจ้าขา อ่า...จื่อเหยาร้อนไปหมดแล้วเจ้าค่ะ...”เขาละอุ้งปากออกจากปทุมถัน นัยน์ตาสีนิลสำรวจไปทั่วเรือนร่างอรชร ที่นอนอ่อนระทวยยั่วยวนอยู่ใต้ร่างแกร่ง นิ้วเรียวยาวลูบไล้ลงบนใบหน้างดงามแดงระเรื่อ พลางเกลี่ยน้ำตาแห่งความสับสนให้นาง ท่าทางอ่อนแอดุจกระต่ายป่าตื่นกลัวนี้ ล้วนกระตุ้นความเป็นชายของเขาให้แข็งเครียดขึ้นทุกขณะ มือแกร่งรวบมือเล็กกดไว้เหนือศีรษะ ชายผู้กระหายในรสรักก้มลงจูบและขบติ่งหูนางอย่างมันเขี้ยว พร้อมกระซิบถามด้วยเสียงแหบพร่า “เหยาเอ๋อร์ เพื่อความสุขของข้า เจ้าจะอดทนใช่หรือไม่”“จื่อเหยาจะอดทนเพื่อพี่อี้หวายเจ้าค่ะ”“ดีมาก งั้นข้าจะทำให้เจ้าเป็นของข้าเดี๋ยวนี้...”ร่างสูงใหญ่ขยับช่วงล่างเข้าประชิดความเป็นสตรีของนาง สะโพกแกร่งไหวขยับแทรกกลีบบุปผางาม บดส่ายเสียดสีกายแกร่งขรุขระร้อนผ่าวบนเกสรนุ่มอย่างยั่วยวนหลี่จื่อเหยาเหลือบสายตามองความเป็นชายของเขา มันช่างใหญ่โตกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้เสียอีก น้ำตาเ
รสจูบทวีความรุนแรง และเอาแต่ใจมากขึ้นด้วยต้องการช่วงชิงความหวานหอมอย่างเต็มที่ ลิ้นร้ายเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กนุ่มพัลวัน จนหญิงสาวแทบสำลัก แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงครางอู้อี้ในลำคอ โดยหารู้ไม่ว่านี่ยิ่งเป็นการกระตุ้นเร้าให้ชายหนุ่มโหมจุมพิตอย่างดุดัน ดิบเถื่อนราวสัตว์ป่ากระหายเหยื่อกระต่ายขาวตัวน้อยสั่นสะท้านภายใต้เงื้อมมือสุรารอคอย การถูกกลืนกินทั้งเรือนกาย มู่หรงอี้หวายจัดการกับอาภรณ์ของตนอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเส้นสายลายกล้ามเนื้ออันสมบูรณ์แบบอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลัก เลยทำให้หลี่จื่อเหยาอดจ้องมองบุรุษของนางอย่างหลงใหลไม่ได้แสงสีนวลจากเทียนมงคลอาบร่างบางให้วาววามดั่งภาพฝัน ครานี้ไม่มีคำว่ารอมชอม นางคือเจ้าสาวของเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องระงับ ความพุ่งพล่านที่ก่อเกิดขึ้นอีกต่อไปมือแกร่งตวัดรวบนางขึ้นบนฟูกแล้วทาบทับอย่างร้อนรนมู่หรงอี้หวายประกบจุมพิตเร่าร้อนอีกคราหนึ่ง ตั้งใจกักขังนางไว้ด้วยความรัญจวน หลี่จื่อเหยาพ่ายแพ้ให้แก่ลิ้นร้ายกาจที่พลิกพลิ้ววาดความวาบหวามบนลิ้นเล็กน่ารักของนางอย่างช่ำชอง เสียงครางแผ่วเบาในลำคอบ่งบอกว่าตนเคลิบเคลิ้มมากเพียงใดครั้นเห็นสตรีใต้ร
“อะไรกันคุณชายมู่หรง อย่ามัวแต่ตะลึงสิ” พานจินซานเย้าแหย่เจ้าบ่าว ที่มัวแต่เบิกนัยน์ตาอ้าปากค้างเหล่าสหายคนอื่นเห็นดังนั้นก็เอ่ยหยอกอีกคนละประโยคสองประโยค แต่มู่หรงอี้หวายก็มิได้นำพา“เจ้าสาวของเราคงหิวแล้ว” พานอวี๋รีบเดินเข้าไปหาหลี่จื่อเหยาพร้อมถ้วยใส่เกี๊ยว แล้วคีบส่งถึงปากนางอย่างมีน้ำใจ เจ้าสาวคนสวยอ้าปากกินอย่างเสียไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมา และคุณหนูพานที่รอท่าอยู่แล้วก็เอาถ้วยรับเกี๊ยวไว้ได้ทันควัน“ดะ...ดิบ เกี๊ยวยังดิบอยู่เลย นี่พวกท่านแกล้งข้าหรือ”“เปล่าเสียหน่อย ข้าจะใจร้ายแกล้งเจ้าสาวคนสวยได้อย่างไรกันเล่า คำว่า ‘ดิบ’ พ้องเสียงกับคำว่า ‘มีลูก’ เมื่อเจ้าเอ่ยคำมงคลออกมาแล้ว คืนนี้ก็...” พอคุณหนูพานหยุดพูดเพียงเท่านี้ ทุกคนก็พากันหัวเราะ หลี่จื่อเหยาเข้าใจความหมาย จึงก้มหน้างุดด้วยขวยอายเป็นกำลัง“พวกเจ้าหยุดล้อเล่นได้แล้ว รีบเอาเหล้ามงคลมาให้ข้า เดี๋ยวนี้” มู่หรงอี้หวายพูดตัดบท นึกอยากให้ตัวก่อกวนพวกนี้จากไปเสียที เพราะเขาอยากขย้ำสาลี่ดอกงามจนทนแทบไม่ไหวแล้วเย่เทียนหลางได้ยินดังนั้น ก็เดินเข้ามาพร้อมจอกใส่สุราสองใบแล้วยื่นให้คู่บ่าวสาว มู่หรงอี้หวายมองใ