Share

บทที่ 5 คุณหนูตระกูลมู่

last update Last Updated: 2025-11-10 10:18:50

                “พอแล้วปี้ซุน หยุดโถ้เถียงกับผู้อื่นเสียที”

        เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ทำให้ซูเม่ยละสายตาจากสาวเจ้าตรงหน้าก่อนจับจ้องบุรุษหนุ่มที่จ้องมองนางอยู่

                “เจ้าชื่ออะไร”

        หยางอี้สนใจในตัวซูเม่ยไม่น้อย เป็นเพียงสาวใช้ทว่าสายตาที่จ้องมองมายังตนกลับเปิดเผยไม่มีความหวาดกลัวหรือแม้แต่เอียงอายเช่นที่สตรีจ้องมองบุรุษแม้แต่น้อย

                “เรียนคุณชายใหญ่ ข้าน้อยชื่อซูเม่ย เจียงซูเม่ย เป็นสาวใช้คนใหม่ของฮูหยินเอกเจ้าค่ะ” ซูเม่ยยอบกายรายงานตัว

                “ซูเม่ย ข้าจะจำชื่อเจ้าไว้”

                “เจ้าไปได้แล้ว”

                “เจ้าค่ะ” นางมองหน้าบุรุษที่สนทนาด้วย แม้ไม่เข้าใจในคำพูดของหยางอี้ว่าเหตุใดต้องจำชื่อนางแต่ซูเม่ยก็ทำตามแต่โดยดี

                “หึ! ในที่สุดแม้ใหญ่ก็หาสาวใช้ที่มีปากมีเสียงเป็นแล้ว” ชายหนุ่มพึมพำก่อนกลับไปนั่งท่องตำราของตนตามเดิม

        เรือนสาวใช้อยู่หลังจวน มีต้นไม้น้อยใหญ่คอยให้ร่มเงาโดยรอบมีอาภรณ์ผึ่งตากอยู่ทั่วทุกที่ บ่งบอกว่าจวนตระกูลเพ่ยมีสาวใช้อยู่จำนวนไม่น้อย ภายในห้องสาวใช้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ที่นอนพร้อมโต๊ะหนึ่งตัวคือสิ่งที่จวนตระกูลเพ่ยมีให้ ซูเม่ยมองโดยรอบแม้จะไม่สะดวกสบายเช่นเรือนเล็กของนางที่ตระกูลเจียง แต่ในฐานะสาวใช้นับว่าจวนแม่ทัพดูแลสาวใช้ได้ดีไม่น้อย

                “เจ้าเปลี่ยนชุด แล้วตามข้าไปเก็บกวาดเรือนฮูหยิน” สาวใช้ที่นำทางมากล่าวก่อนเดินออกจากห้องไป

                “อือ” ซูเม่ยรับคำก่อนเปลี่ยนจากชุดของเจียวเจียวที่ตนขโมยมา เป็นอาภรณ์สีชมพูอ่อนแม้เนื้อผ้าที่ใส่จะไม่ดีเช่นเนื้อผ้าของตน แต่นับว่าเป็นชุดใหม่แลสะอาดไปน้อย

                “เจ้าชื่ออะไร” เมื่อออกมาจากห้องซูเม่ยจึงถามสาวใช้ที่นำทางนาง

                “ข้าชื่อติงเซียง เหตุใดเจ้าถึงกล้าโต้แย้งปี้ซุนสาวใช้ของคุณชายใหญ่” ติงเซียงที่อยากรู้มานานถามกลับซูเม่ยทันที

                “ทำไมถึงต้องใช้ความกล้า นางน่ากลัวมากหรือ”

                “ใช่น่ะสิ ปี้ซุนเป็นสาวใช้ข้างกายฮูหยินรองนางคอยขัดขวางสาวใช้ที่พยายามเข้าใกล้คุณชายใหญ่เพ่ยหยางอี้ หากใครกล้ายั่วยวนคุณชายต้องโดนโบยจนตายเลยก็มี” ติงเซียงกระซิบเสียงเบา

                “เหตุใดถึงโหดร้ายนัก เพียงแค่บุรุษคนเดียวต้องถึงขั้นฆ่าสาวใช้เลยหรือ” ซูเม่ยเห็นว่าเรื่องนี้ทำเกินกว่าเหตุไปมาก

                “เจ้าอาจจะยังไม่รู้เห็นว่ามาใหม่ข้าจะช่วยบอก คุณชายใหญ่เป็นหลานชายคนเดียวของมหาราชครูโจว ตระกูลโจวภายภาคหน้าขึ้นอยู่กับเขา และหากท่านแม่ทัพใหญ่ยกตำแหน่งผู้นำตระกูลเพ่ยให้คุณชายใหญ่อีก คิดดูเถิดว่าเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน” ติงเซียงกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย

                “ตำแหน่งต่างเป็นสิ่งจอมปลอม เหตุใดต้องยึดติดถึงเพียงนั้น สงสารแต่สาวใช้ที่ต้องการปีนป่ายหาสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนั่นจนต้องตายไปอย่างไร้ค่า” ซูเม่ยพึมพำเสียงเบา ก่อนเดินนำไปไม่สนใจติงเซียงอีก

        เรือนฮูหยินรองแม้มีขนาดเล็กกว่าเรือนฮูหยินใหญ่ ทว่าเครื่องใช้ภายในเรือนกลับโออ่ากว่าเรือนใด ๆ แม้แต่ตำหนักพระสนมยังมิอาจตกแต่งได้โออ่าเช่นนี้ สตรีสูงศักดิ์นั่งอ่านตำราด้วยท่าทางสง่างามข้างกายยังมีปี้ซุนคอยพัดวีให้ไม่ขาด

                “ท่านแม่เรียกหาลูก ต้องการกำชับเรื่องใด” หยางอี้จ้องมองสาวใช้ข้างกายด้วยสายตาคาดโทษ

                “เปล่าหรอก แม่เห็นว่าเจ้าสนใจสาวใช้คนใหม่ของฮูหยินเอกไม่น้อย” เพ่ยฉิงอันกล่าวอย่างใจเย็น

                “ปี้ซุนคงกล่าวเกินจริงกับท่านแม่เช่นเคย” เสียงเยือกเย็นกล่าวขึ้นทำสาวใช้ต้นเรื่องกลัวจนตัวสั่น

                “เจ้าไม่ต้องกล่าวโทษนาง นั่นเป็นหน้าที่ของนางที่ต้องรายงานว่าแต่เจ้าเถอะเหตุใดต้องสนทนากับสาวใช้ชั้นต่ำ”

                “ลูกไม่ได้สนใจในตัวนาง เพียงแต่เห็นว่าสาวใช้นางนี้มีปากมีเสียงกว่าสาวใช้คนอื่น ๆ ของฮูหยินเอก กล้าตักเตือนสาวใช้ที่ไม่รู้ความของท่านแม่ก็เท่านั้น” ประโยคสุดท้ายหยางอี้ตั้งใจตำหนิสาวใช้ผู้โอหังของตน

                “นี่เจ้าถึงขั้นออกตัวปกป้องนางเลยหรือ” ฉิงอันละสายตาจากตำราแล้วหันมาจ้องมองบุตรชายคนเดียว น้อยครั้งนักที่นางจะเห็นเขาโต้แย้ง

                “ลูกมิได้ปกป้องนาง แต่การกระทำของปี้ซุนทำให้ผู้อื่นเข้าใจในตัวลูกผิด การจ้องมองหน้าอีกฝ่ายไม่ใช่ความผิดใด ทว่านางกลับใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่น หากผู้ใดไม่รู้เกรงจะคิดว่าท่านแม่เลือกใช้คนเขลาทำงานให้ เช่นนี้ท่านแม่เองก็ต้องเสื่อมเสียไปด้วย”

        ฉิงอันไตร่ตรองตามคำพูดของหยางอี้จนคล้อยตามกับหตุผลของบุตรชาย ก่อนจะหันมองสาวใช้ตัวก่อเหตุด้วยสายตาเยือกเย็น

                “เจ้านี่ช่างโง่เขลานัก อยู่มานานจนป่านนี้กลับให้สาวใช้ที่พึ่งรับมากล่าวตำหนิได้ ทำให้ข้าพลอยเสื่อมเสียไปด้วยไปรับโทษโบยจากแม่นมกุ้ย”

        สิ้นคำพูดของฮูหยิน ปี้ซุนรีบคุกเข่าอย่างลนลานนางรู้ดีแม่นมกุ้ยมือหนักแค่ไหน

                “ฮูหยินโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ! คุณชายช่วยบ่าวด้วย!”

        หยางอี้กลับไม่สนใจที่จะช่วยเหลือสาวใช้ข้างกายเพียงน้อย เขาไม่ชอบที่ต้องมีสาวใช้ที่เก่งแต่วางอำนาจอยู่ข้างกาย หากแต่ขัดมารดาของตนเองไม่ได้จึงได้แต่ยอมรับไป

                “หากท่านแม่หมดธุระแล้ว ลูกขอตัว” เมื่ออธิบายสิ่งที่มารดาสงสัยจนหมดสิ้นแล้ว เขาก็ไม่คิดอยู่ต่อ

                “เดี๋ยวก่อนอี้เอ๋อร์”

                “ท่านแม่ยังมีอะไรจะกำชับอีกหรือ” หยางอี้หันกลับมารอรับคำสั่งแต่โดยดี ทว่าใบหน้ากลับไร้ความรู้สึกใด ๆ

                 “อีกสามเดือนพ่อเจ้าจะกลับมาแล้ว อีกทั้งท่านย่าก็จะกลับมาด้วย เจ้าควรเร่งอ่านตำราเพิ่มอีกนิดเพื่อการสอบขุนนางในอีกสามเดือนข้างหน้าจะได้ทำให้ท่านพ่อกับท่านย่าดีใจ”

                “ท่านแม่เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจจากท่านพ่อเสียที หากเขาจะหันมองเราการอยู่นิ่งเฉยเขาก็มองเห็น หากท่านพ่อจะไม่สนใจแม้ทำตัวโดดเด่นเพียงใดเขาก็ไม่ชายตามอง” หยางอี้ที่เหนื่อยหน่ายกับการฟังคำสั่งของมารดาในการทำทุกสิ่งเพื่อเอาใจบิดาเต็มทีรีบเดินออกจากเรือน โดยไม่สนใจสีหน้าของมารดาอีก

                “เจ้าจับตาดูสาวใช้คนนั้นให้ดี อนาคตนางอาจจะเป็นเครื่องมือของหลี่หว่ามาทำร้ายลูกข้าก็ได้” ฉิงอันกำชับสาวใช้ที่ยังคงนั่งสั่นเทาอยู่

        หน้าจวนตระกูลมู่ อี้เฉิงยืนถือห่อผ้าไหมหลายพับอยู่เกินหนึ่งชั่วยามแล้ว หากแต่ยังไม่มีวี่แววของคนที่เขาต้องการพบเลย

                “คุณชายเพ่ยโปรดอภัย คุณหนูของข้ารู้สึกไม่สบายจึงไม่อาจออกมาต้อนรับคุณชายได้ คุณชายโปรดกลับไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้จวนมู่เป็นฝ่ายออกมารับหน้าเขาอีกเช่นเคย

                “เช่นนั้นข้าฝากผ้าไหมพวกนี้ให้คุณหนูมู่ด้วย หากนางนำไปตัดเป็นอาภรณ์คงงดงามไม่น้อย” แม้จะเป็นเช่นนั้นใบหน้าของอี้เฉิงยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเช่นเคย ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการสนทนาด้วยทว่าเขายังคงเต็มใจไปมาหาสู่นางเช่นนี้

        สาวใช้มีสีหน้าลำบากใจ นางถูกคุณหนูของตนกำชับไม่ให้รับของจากคุณชายรองเพ่ย ทว่าฮูหยินมู่กลับกำชับให้นางรับของทุกชิ้นกลับเข้าจวน

                “บ่าวจะแจ้งคุณหนูให้เจ้าค่ะ”

        อี้เฉิงให้องครักษ์คนสนิทนำผ้ามอบให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันกายเดินกลับออกมาโดยไม่คิดรั้งอยู่ต่ออีก

                “เหตุใดคุณชายยังคงมาพบนางทุกวัน ทั้งที่รู้ว่านางไม่ได้มีใจให้คุณชาย” ซิงเหว่ยองครักษ์ฝีมือดีที่ถูกแม่ทัพใหญ่เลือกมาปกป้องบุตรชายคนรอง ด้วยเกรงว่าเขาที่ไม่มีอำนาจฝ่ายมารดาปกป้องจะได้รับอันตรายในสักวันเอ่ยถามอย่างสงสัยระหว่างทางเดินกลับจวน

                “ข้าก็บอกเจ้าแล้ว นางเคยให้อาหารข้าตอนที่ข้าพลัดหลงกับขบวนท่านพ่อตอนออกตรวจชายแดนทางเหนือ”

                “นั่นก็เพราะตระกูลของนางได้รับราชโองการจากอดีตฮ่องเต้ให้ตระกูลขุนนางออกช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งนะขอรับ”

                “แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรนางก็มีบุญคุณต่อข้า”

                “เช่นนั้นนางก็มีบุญคุณต่อขอทานมากมายที่ได้อาหารในวันนั้นเช่นกัน” ซิงเหว่ยโต้แย้ง

                “แต่นางยิ้มให้ข้าด้วย” อี้เฉิงไม่คิดยอมแพ้

                “คุณหนูมู่หยุนเสี่ยวนางก็มักมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เป็นประจำ”

                “ช่างเถิด อย่างไรข้าก็รักนาง” อี้เฉิงกล่าวอย่างหนักแน่น

                “คุณชายรู้หรือว่าความรักเป็นเช่นไร หากความรู้สึกที่มีเป็นเพียงความรู้สึกขอบคุณเล่า” ซิงเหว่ยกล่าวทัดทานอย่างอดไม่ได้

        คำพูดของซิงเหว่ยกลับทำให้เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสลัดมันออกจากหัวแม้ว่าความรู้สึกที่มีมันคืออะไร แต่การทำดีต่ออีกฝ่ายคือสิ่งที่เขาปรารถนาไม่ผิดแน่

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 16 นำมาเป็นภาระ

    รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 15 สิ้นหวัง

    “ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 14 หลงเชื่อใจ

    อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 13 ไร้สิ้นหนทาง

    อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 12 ช่วยเหลือ

    ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 11 นับเป็นสหาย

    รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status