LOGINภายในเรือนตะกูลมู่ สตรีวัยใกล้ปักปิ่นนั่งปักผ้าเช็ดหน้าผืนงามด้วยท่าทางอ่อนช้อย ผิวกายขาวผ่องราวไข่มุกหุ่นบางชวนปกป้องอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ คิ้วโก่งดั่งคันศรรับกับดวงตาหวานราวกวางป่า
“เสี่ยวเอ๋อร์เจ้าดูผ้าไหมพวกนี้สิ หาใช่จะมีขายตามร้านผ้าในเมืองหลวงหรอกนะ” ฮูหยินมู่ก้าวเข้าห้องโถงพร้อมกับน้ำเสียงบ่นอุบบุตรี ที่กล้าปฏิเสธน้ำใจของบุตรชายคนรองของแม่ทัพใหญ่แห่งราชสำนัก
“ข้าไม่ได้มีใจให้คุณชายรองเพ่ย เหตุใดท่านแม่ต้องรับของเขาด้วย” น้ำเสียงไร้เยื่อใยมิได้หันมามองมารดาเพียงนิด
“นี่เสี่ยวเอ๋อร์เจ้าไม่คิดดูใหม่หรือ คุณชายเพ่ยคนนี้ก็มีดีไม่น้อย เป็นบุตรชายของฮูหยินเอกและยังเป็นที่รักของท่านแม่ทัพด้วยนะ อนาคตไม่แน่อาจจะได้เป็นผู้นำตระกูล หากแต่งกับเขาอนาคตของเจ้าคงได้เป็นฮูหยินใหญ่เพ่ยแน่” มู่เสวี่ยอินยังคงโน้มน้าวหยุนเสี่ยวไม่หยุด
“ท่านแม่ ข้ายังไม่ปักปิ่นเลยจะคิดเรื่องแต่งงานได้อย่างไร” หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่าย พลางตำหนิมารดาตนเอง
“แล้วทีคุณชายใหญ่เพ่ย เพ่ยหยางอี้เหตุใดเจ้าถึงคิดลึกซึ้งกับเขาได้เล่า” ฮูหยินมู่มีหรือจะไม่รู้ความในใจของบุตรที่นางเลี้ยงมากับมือ
“ข้า!” หยุ่นเสี่ยวถูกถามความในใจโดยมิทันเตรียมตัวใบหน้างามจึงแดงระเรื่อในทันที
“นั้นเหมือนกันที่ไหน คุณชายใหญ่เพ่ยช่วยข้าจากการถูกพวกคุณชายอันธพาลพูดจาล่วงเกิน ข้าจึงรู้สึกขอบคุณเขาเรื่อยมา” หยุ่นเสี่ยวรีบหาข้อแก้ต่าง
“ให้มันจริงอย่างเจ้าว่าอย่าได้คิดเกินเอื้อม คนทั้งเมืองต่างรู้ดีว่าราชครูโจวหมายมั่นให้หลานชายเพียงคนเดียวได้แต่งกับตระกูลเสนาบดีฝ่ายซ้าย”
เสวี่ยอินคร้านจะเถียงกับเด็กสาวที่ดื้อรั้นปักใจกับบัณฑิตหนุ่มเพียงผู้เดียวจึงลุกจากไป
เรือนฮูหยินเอกตระกูลเพ่ยบัดนี้ไม่รอช้าให้อี้เฉิงคิดอยากเล่าเรียนเอง หลี่หว่าเชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการสอนตำราที่สุดในเมืองมาช่วยสอนบุตรชายด้วยตัวเอง
“ท่านแม่เรียกข้ามีอะไรหรือไม่”
อี้เฉิงที่พึ่งกลับมาจากจวนตระกูลมู่ด้วยสีหน้าผิดหวังไม่ทันได้สังเกตว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องโถงกับมารดาด้วย
“เฉิงเอ๋อร์เจ้ามานี่สิ รีบมาคารวะอาจารย์อู๋ต่อไปนี้เขาจะมาเป็นอาจารย์สอนตำราเจ้า”
อี้เฉิงมองตามสายตามารดาเห็นบุรุษวัยชราที่ยังนั่งหลับตาอยู่ อายุของท่านผู้เฒ่านี้น่าจะถึงแปดสิบปี การที่เห็นเขาสามารถเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองได้ถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว หากจะให้สอนตำราสอบขุนนางเขาอีก เกรงว่าอาจารย์อู๋ผู้นี้จะต้องสิ้นใจคาห้องอักษรเป็นแน่
“เหตุใดอาจารย์ของข้าถึงชราภาพเช่นนี้” อี้เฉิงเผลออุทานเสียงดังแม้แต่อาจารย์อู๋ที่เมื่อครู่ท่าทางสงบตอนนี้กลับจ้องมองเขาตาเขม็ง
“อาจารย์อู๋อย่าได้ถือสาเลย บุตรชายข้ายังเด็กพูดจาไม่รู้ความ” หลี่หว่าหน้าซีดรีบแก้ต่างให้บุตรชาย
“ฮูหยินเพ่ยบุตรชายท่านอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว หากแต่งงานคงมีลูกเต็มบ้านไปแล้วไม่เด็กแล้วล่ะ แต่เอาเถอะข้าอายุมากแล้วไม่ถือสาคำพูดไม่รู้จักคิดของบุรุษไม่มีความรู้หรอก”
แม้อายุจะมากแล้ว แต่คำพูดของอาจารย์อู๋กลับเย้ยหยันคนฟังได้เจ็บปวดยิ่ง ทำให้อี้เฉิงต้องรีบค่อมกายขออภัย
“ผู้น้อยไม่รู้ความขออาจารย์อย่าได้ถือสา”
“เอาเถิด พรุ่งนี้เจ้าเริ่มเรียนตำรากับข้าที่สำนักเป็นการส่วนตัวแล้วกัน ฮูหยินเพ่ยวันนี้ข้าขอตัวก่อน” อาจารย์อู๋กล่าวจบก็เดินผ่านศิษย์ที่ตนพึ่งรับมาใหม่ไป
อี้เฉิงมองตามหลังอาจารย์ของตนอย่างงงงวย เขาไม่อยากเชื่อว่าชายชรายังคงเดินเหินเองได้
“เหตุใดท่านแม่ไม่หาอาจารย์ที่อ่อนวัยกว่านี้หน่อย หากข้าทำเขาโมโหจนสิ้นใจจะไม่กลายเป็นต้องรับโทษหรอกหรือ”
“ยิ่งแก่ความรู้ยิ่งแตกฉาน” หลี่หว่ากล่าวพลางดื่มน้ำชาดับความโมโหที่บุตรชายกล้าดูแคลนอาจารย์ต่อหน้า
“ท่านแม่คนที่มีความรู้มากไม่ได้วัดกันที่ความชราภาพหรอก”
คำพูดที่ไม่ทันระวัง ทำให้หลี่หว่านึกถึงอดีตของตนที่มิให้มีภูมิหลังสวยงามเช่นฮูหยินรอง
“แม่ขอโทษนะอี้เฉิง เพราะแม่เป็นเพียงสาวใช้จึงมิได้มีความรู้ในการคัดเลือกอาจารย์ที่ดีให้เจ้า” น้ำเสียงน้อยใจของมารดาทำให้อี้เฉิงฟังออกอย่างชัดเจน
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ลูกไม่ดีเองทำให้ท่านแม่ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า” อี้เฉิงรู้ว่าคราวนี้ตนเองทำให้มารดานึกถึงข้อบกพร่องของนางเสียแล้ว จึงรีบคุกเข่าพลางใช้มือนวดขาให้มารดาอย่างอ้อนวอน
“ท่านแม่วางใจข้าจะตั้งใจเรียนกับอาจารย์อู๋ ไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวัง แม้จะเก่งได้ไม่เท่าพี่ใหญ่แต่ข้าก็จะพยายามดีหรือไม่” คำพูดเอาใจนี้ทำให้หลี่หว่ายิ้มออกมาได้อีกครั้ง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อีกอย่างแม่จะให้ซูเม่ยเป็นสาวใช้ข้างกายเจ้า”
อี้เฉิงมองหน้ามารดาในทันที เขาเป็นบุรุษไม่อยากมีสตรีที่ไม่ได้รักอยู่ข้างกาย แม้จะเป็นสาวใช้ก็ตาม
“ท่านแม่ข้าไม่รับนางได้หรือไม่ข้ามีซิงเหว่ยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสาวใช้หรอก” อี้เฉิงลุกขึ้นปฏิเสธเสียงแข็ง
“ซิงเหว่ยเป็นบุรุษเรื่องละเอียดอ่อนบางเรื่องเขาจะเข้าใจได้อย่างไร อีกอย่างคุณชายมีสาวใช้ข้างกายในแคว้นเฟิงหยางก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“แต่ข้าไม่ยินดีไม่ได้หรือ”
“รับนางไปเถอะ ซูเม่ยเป็นบุตรสาวบัณฑิตเจียงมีความรู้ไม่น้อย อีกอย่างหากเจ้าเรียนไม่เข้าใจนางยังจะช่วยทบทวนตำราให้กับเจ้าได้อีกแรง” หลี่หว่าไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธอีก
“หากเจ้ากังวลว่านางจะตามตอแยเจ้าดังเช่นสาวใช้คนอื่น ๆ ที่ตามตอแยหยางอี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป ซูเม่ยนางเป็นคุณหนูตระกูลเจียงไม่คิดทำเช่นนั้นแน่” ฮูหยินเอกออกหน้ารับแทนสาวใช้คนใหม่อย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านแม่เถิดขอรับ” เมื่อจนใจจะเอาชนะมารดาอี้เฉิงก็ได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย
“เช่นนั้นก็ดี ไปเรียกซูเม่ยมา” หลี่หว่าสั่งการสาวใช้ด้านนอกอย่างอารมณ์ดี
ซูเม่ยที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดห้องนอนของฮูหยินเอกจำต้องวางมือจากงานที่ทำ เมื่อติงเซียงบอกว่าฮูหยินต้องการพบตัว
“คารวะฮูหยินเอก คุณชายรอง” ทันทีที่ก้าวผ่านธรณีประตูซูเม่ยก็ยอบกายเคารพเจ้านายทั้งสอง
“ซูเม่ยต่อจากนี้ข้าจะให้เจ้าดูแลอี้เฉิง” น้ำเสียงที่ยังคงเบิกบานของหลี่หว่ากลับทำให้ซูเม่ยขวมดคิ้วแน่น นางไม่พอใจเท่า ๆ กับที่อี้เฉิงไม่พอใจ
“ฮูหยินรองหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำงานในเรือนท่านแค่นั้นหรอกหรือ” ซูเม่ยรั้งอยู่ที่นี่เพียงเพื่อเรื่องของบิดา มิได้มาเป็นสาวใช้ของใครจริงจัง
“ถือว่าข้าขอร้องแล้วกัน เจ้าวางใจข้าเพียงให้เจ้าช่วยทบทวนตำราระหว่างที่เขาไปศึกษาตำรากับอาจารย์อู๋เท่านั้น มิได้ใช้งานอื่นเจ้าแน่นอน แลเรื่องของอาจารย์เจียงข้าจะช่วยเหลือให้เต็มกำลัง”
ซูเม่ยหันมองอี้เฉิงเพื่อขอความเห็น แต่อีกฝ่ายก็อยู่ในภาวะจำยอมไม่ต่างกัน
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับโดยไม่คิดขัดขืนอีก
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







