LOGINหลี่หว่าแม้เห็นใจในความจำเป็นของซูเม่ย อีกทั้งบุญคุณของตระกูลไป๋ที่ชุบเลี้ยงตั้งแต่ห้าขวบในคราที่บิดาจะนำไปขายให้หอนางโลมนั้นหลี่หว่ามิเคยลืม ทว่าการขอตราอภัยโทษกลับหนักหนาเกินกำลังของนาง
“แม่นางซูเม่ยเจ้าลุกขึ้นเถิด ใช่ว่าข้าจะไม่อยากช่วยเหลือทว่าเรื่องนี้เกินกำลังข้าจริง ๆ” หลี่หว่าพยุงนางขึ้น
“ท่านแม่”
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากประตูห้องโถงทำให้ซูเม่ยหันมองหาเจ้าของเสียง บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีขาว วงหน้าที่ล้อมรอบด้วยเส้นผมสีดำขลับ คิ้วเข้มขมวดแน่น ดวงตาดุจเหยี่ยวจ้าวเวหายืนจ้องมองนางด้วยท่าทางสงสัย
“เฉิงเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ” หลี่หว่ามองข้ามไหล่หญิงสาวเบื้องหน้าไปยังบุตรชายเพียงคนเดียว
“ขอรับ” เพ่ยอี้เฉิงตอบกลับมารดาก่อนจะเดินผ่านซูเม่ยมาพยุงมารดานั่งลง
“นางเป็นใครกัน?”
บุรุษหนุ่มยังคงสงสัยสตรีในชุดสาวใช้ที่คุกเข่าขอร้องมารดาตน เขาเกรงว่าจะเป็นดั่งสตรีหลาย ๆ คนที่มักมาขอร้องให้มารดาช่วยไถ่ตัว ด้วยเห็นว่านางเคยเป็นสาวใช้เช่นพวกตนมาก่อน จึงนำความสงสารของนางมาใช้หาประโยชน์
“อี้เฉิงก็รู้จักกันไว้สิ นางชื่อเจียงซูเม่ยเป็นบุตรสาวคนเล็กของฮูหยินเจียงซิงอี คุณหนูที่แม่เคยรับใช้” หลี่หว่าตบหลังมือบุตรชายเบาๆ ก่อนมองหน้าหญิงสาวอีกครั้ง
อี้เฉิงรู้จักนายที่มารดาเคยรับใช้อย่างดี เพราะนางเล่าเรื่องของตระกูลไป๋ที่มีบุญคุณต่อตนเองให้เขาฟังเป็นประจำ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าตระกูลไป๋กลับไร้วาสนาไม่มีบุตรชายสืบสกุล พอสิ้นท่านโหวผู้เฒ่ายศที่ได้รับพระราชทานมาจึงสิ้นสุด บุตรสาวเพียงคนเดียวที่เลือกแต่งงานกับบัณฑิตยากจนจึงพลอยลำบากไปด้วย
“คุณหนูเจียง” อี้เฉิงค่อมกายทักทายตามมารยาท
“คุณชายเพ่ยโปรดอภัยด้วยข้ามาที่นี่ ทำให้มารดาท่านต้องลำบากแล้ว” ซูเม่ยยอบกายขอโทษอีกฝ่าย นางดูออกว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองมาไม่ชอบการกระทำของนางนัก
“ข้าต้องขออภัยเช่นกัน ไม่รู้ว่าท่านคือบุตรสาวของฮูหยินเจียงจึงเสียมารยาท”
“เอาเถิด เมื่อรู้จักกันแล้วก็ไม่ใช่คนอื่นไกล” หลี่หว่าเห็นทั้งสองขอโทษกันไปมา จึงตัดบทสนทนา
“เฉิงเอ๋อร์มาหาแม่ได้เช่นนี้ มีอะไรหรือไม่” นางหันกลับไปสนทนากับบุตรชายที่วันนี้มาหามารดาได้
“ข้าเพียงนำปิ่นปักผมมาให้ เห็นว่าสวยงามไม่น้อยจึงคิดถึงท่านแม่” อี้เฉิงดึงปิ่นปักผมจากแขนเสื้อมาให้มารดา
“ใช่ว่าคุณหนูรองตระกูลมู่ไม่รับไว้หรือถึงนำมาให้แม่” หลี่หว่าเลิกคิ้วย้อนถามบุตรชาย
“ปิดบังท่านแม่ไม่ได้เลย เช่นนั้นท่านแม่ก็รับไว้หน่อยเถิดเงินหนึ่งร้อยตำลึงของลูกจึงจะไม่สูญเปล่า” อี้เฉิงวางกล่องปิ่นไว้บนตักมารดา
“ลูกขอตัว ไม่รบกวนเวลาท่านกับคุณหนูเจียง” อี้เฉิงกล่าวพลางลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป
“เดี๋ยวสิเฉิงเอ๋อร์ ท่านพ่อจะกลับมาแล้วเจ้าเองควรอยู่อ่านตำราบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นท่านพ่ออาจจะไม่พอใจเอาได้” แววตาเป็นห่วงส่งไปยังบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า
“รู้แล้วขอรับ” อี้เฉิงยิ้มกว้างก่อนจากไป แต่หลี่หว่ารู้ดีว่าเขาเพียงกล่าวให้นางสบายใจเท่านั้น
ซูเหม่ยที่นั่งมองการสนทนาของสองแม่ลูกอย่างไร้ตัวตน นางแปลกใจกับฮูหยินเพ่ยที่ไม่ดุด่าบุตรชายเพียงน้อยที่นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงซื้อปิ่นให้สตรีนางหนึ่ง หากเป็นมารดาของตนป่านนี้ลงได้ไล่บุตรออกจากจวนไปนานแล้ว แม้อี้เฉิงจะไม่เอาไหนเช่นนี้นางกลับทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ นี่คือวิธีเลี้ยงลูกของจวนขุนนางหรือ? ซูเม่ยได้แต่สงสัย
“แม่นางเจียงเช่นนั้นเจ้าอยู่ที่จวนตระกูลเพ่ยก่อนดีหรือไม่ เมื่อท่านแม่ทัพกลับมาในอีกห้าเดือนข้าจะช่วยขอให้ท่านช่วยเรื่องบิดาเจ้าให้ อีกอย่างข้าพอรู้จักคนในคุกหลวงอยู่บ้างเดี๋ยวให้พวกเขาสืบเรื่องอาจารย์เจียงให้อีกทาง”
หลี่หว่าแม้ไม่มีกำลังช่วยเหลือ แต่นางก็ยังสงสารเด็กสาวที่ต้องเดินทางข้ามป่าข้ามเขาเพียงลำพังเพื่อช่วยบิดา
“แล้วจะไม่ทำให้ฮูหยินต้องเดือดร้อนหรือเจ้าคะ” ซูเม่ยรู้ว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นฮูหยินเอกของแม่ทัพ แต่อำนาจการตัดสินใจภายในจวนยังคงอยู่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินรอง
“ไม่เดือดร้อนหรอก เพียงต้องให้แม่นางเจียงลำบากอยู่ในฐานะสาวใช้ไปก่อนได้หรือไม่ เช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่ว่ากะไร” ถ้อยคำประโยคหลังของหลี่หว่ากล่าวเสียงเบา คล้ายหวาดเกรงอีกฝ่ายอยู่มาก
“ข้าน้อยไม่ลำบาก รบกวนฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะให้สาวใช้ส่วนตัวพาเจ้าไปอยู่ที่เรือนคนใช้ก่อน” นางโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่เรียกร้องให้ตนเองอยู่ในฐานะแขก เพราะนั่นจะทำให้นางต้องอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่าอีก แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะยังสวดภาวนาอยู่อารามบนเขาทางเหนือของแคว้นทว่านางก็ยังวิตกกังวลอยู่ดี
“แต่ข้าน้อยต้องรบกวนฮูหยิน ให้คนนำม้าของข้าไปเลี้ยงในโรงเลี้ยงม้าด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ถิงถิง เป็นม้าที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่มันคลอด จึงไม่อาจทิ้งขว้างมันได้
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้ทหารหน้าจวนจัดการให้”
ซูเม่ยถูกสาวใช้พาตรงไปยังหลังเรือน ระหว่างทางผ่านเรือนน้อยใหญ่มากมายทำให้ซูเม่ยได้เปิดตาไม่น้อย จวนแม่ทัพใหญ่ช่างโออ่ากว้างขวางสมกับเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก สวนบุปผาภายในจวนใช่ว่าในพระราชวังเองจะใหญ่โตได้เท่านี้ ศาลาหยกขาวกลางสวนท่ามกลางบุปผาทำให้มันดูโดดเด่นยิ่งกว่าศาลาใด ๆ ทว่าบุรุษหนุ่มหน้าหยกในอาภรณ์สีดำปักลวดลายสีทองนั้นกลับดูโดดเด่นยิ่งกว่า จนทำให้ซูเม่ยเผลอหยุดมองเขาไม่ได้
“บังอาจ! กล้าดีอย่างไรถึงกล้าจ้องมองคนชายใหญ่”
เสียงแหลมบาดแก้วหูทำให้ซูเม่ยตื่นจากภวังค์ สาวใช้ใบหน้ายิ่งยโสยืนเท้าเอวห่างออกไปไม่กี่ฉื่อตวาดนางเสียงดัง ทำเอาสาวใช้ที่นำทางมาคุกเข่าก้มหน้าจนร่างสั่นเทาด้วยความกลัว ซูเม่ยที่ยังก้มหน้าอยู่อย่างงุนงง
“ยังไม่คุกเข่าอีก อยากตายหรืออย่างไร?” เสียงดังนั้นยังไม่หยุดแผดเสียง จนซูเม่ยต้องใช้สองนิ้วชี้อุดหัวตัวเองพร้อมขมวดคิ้วแน่น
นางมองสำรวจสาวใช้เบื้องหน้าที่ดูโอหังเกินจะเป็นสาวใช้ธรรมดา จึงมั่นใจว่าคงเป็นสาวใช้คนสนิทของเจ้านายคนใดคนหนึ่งของจวนแม่ทัพ
“เหตุใดพี่สาวต้องพูดเสียงดังด้วย เราสองคนอยู่ใกล้กันเพียงนี้” ซูเม่ยกล่าวอย่างสันติ
“ใครเป็นพี่สาวเจ้า! แล้วใครให้เจ้าจ้องมองคุณชายใหญ่?” สาวใช้เบื้องหน้ายังคงไม่เป็นมิตร
“คุณชายใหญ่ของเจ้าเป็นฮ่องเต้หรือ หรือว่าเป็นรัชทายาทที่จะครองแคว้นนี้กัน”
คำพูดของซูเม่ยทำให้สาวใช้ที่นั่งก้มหน้าอยู่ถึงกับเงยหน้ามองนางตาค้าง ไม่ต่างจากสาวใช้เบื้องหน้านางที่อ้าปากค้างกับคำที่ซูเม่ยกล้าเอื้อนเอ่ยขึ้นมา มีเพียงบุรุษในศาลาหยกเท่านั้นที่หันมองนางด้วยความใจ
“นี่เจ้ากล้าดีอย่างไรนำอาญามาให้คุณชายของข้ารับไว้ ฮ่องเต้หรือรัชทายาทคือสิ่งที่จะนำมาล้อเล่นได้หรือ” สาวใช้เบื้องหน้าเริ่มโกรธหน้าดำหน้าแดง
“เช่นนี้ก็ถูกแล้ว คุณชายใหญ่ไม่ใช่ฮ่องเต้หรือรัชทายาท เหตุใดสาวใช้อย่างข้าจะจ้องมองไม่ได้ ไม่มีกฎหมายใดของแค้วนเฟิงหยางที่ห้ามสาวใช้จ้องมองคุณชายจากตระกูลขุนนาง”
“นี่!”
คำพูดของซูเหม่ยทำสาวใช้เบื้องหน้าเถียงไม่ออก แต่กลับสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของหยางอี้ที่นั่งมองการโต้เถียงของสองสาวใช้ภายในศาลาหยกอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







