Share

บทที่ 7 อับอาย

last update Last Updated: 2025-11-10 10:20:47

        ซูเม่ยที่บัดนี้ได้เลื่อนฐานะจากสาวใช้ในเรือนกลายเป็นสาวใช้ข้างกายคุณชายรอง หน้าที่ของนางคือตามเขาไปเรียนยังสำนักศึกษา ทว่ายามเฉินแล้วอี้เฉิงกลับยังไม่ยอมออกจากหอนอนของตนเสียที

                “ซิงเหว่ย ท่านตามคุณชายออกมาได้หรือไม่” ซูเม่ยที่ยืนรอหน้าประตูเรือนมาครึ่งชั่วยามแล้วเริ่มอดทนรอไม่ไหว

                “แม่นางเจียง ข้าปลุกเขาหลายรอบแล้วทว่ากลับยังไม่ยอมตื่นเสียที” องครักษ์ข้างกายส่ายหัวอย่างจนปัญญา

        ซูเม่ยได้แต่ยืนพ่นลมหายใจให้กับความไม่เอาไหนของคุณชายรองตระกูลเพ่ย ทั้งที่อีกฝ่ายพึ่งรับปากมารดาว่าจักตั้งใจศึกษาตำรา

                “เช่นนั้นข้าปลุกเอง” เมื่อเหลืออดนางมุ่งตรงเข้าหอนอนบุรุษโดยมิสนใจเสียงทัดทานของซิงเหว่ย

        เมื่อก้าวเข้าสู่หอนอนของอี้เฉิง นางกลับแปลกใจที่บุรุษไม่เอาไหนผู้นี้ ห้องนอนกลับดูสะอาดแลเป็นระเบียบไม่น้อยหากไม่รู้จักมาก่อนเกรงว่านางต้องคิดว่าเขาเป็นคุณชายที่เปี่ยมด้วยความสามารถทั้งบุ๋นบู๊แน่ ซูเม่ยจ้องมองบุรุษที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียง

                “คุณชายรองเพ่ย ท่านต้องตื่นได้แล้วเจ้าค่ะหากช้ากว่านี้เกรงสำนักศึกษาคงเลิกเรียนก่อนพอดี”

        เสียงหวานไม่คุ้นหูทำบุรุษที่หลับใหลปรือตาตื่น ดวงตาที่ยังพร่ามัวมองเห็นสตรีร่างบางยืนกอดอกจ้องเขาตาเขม็ง หากทว่าเมื่อขยี้ตาอีกครั้งสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นภาพลวงตากลับเด่นชัดขึ้น

                “นี่! เจ้า เจ้าเข้ามายังห้องข้าได้อย่างไร” อี้เฉิงตกใจรีบดึงอาภรณ์คลุมกายให้แน่นหนาขึ้น คล้ายกลัวโดนอีกฝ่ายลวนลาม

        ซูเม่ยขมวดคิ้วกับท่าทางเช่นสตรีเกรงกลัวบุรุษของอีกฝ่าย

                “คุณชายรองนี่ท่าทางอะไรของท่าน ข้าไม่คิดใช้กำลังขืนใจท่านหรอกนะ รีบแต่งกายเข้านี่ยามเฉินแล้วเกรงว่าการไปเรียนครั้งแรกของท่านจะสร้างความประทับใจให้อาจารย์ไม่น้อย” นางกล่าวประชดประชันก่อนเดินย่ำเท้าออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

        อี้เฉิงตกใจที่ได้รู้ว่าตนเองตื่นสายเพียงนี้ เมื่อคืนเขาอ่านตำราจนดึกดื่นจนเผลอหลับ ไม่คิดว่าวันนี้จะตื่นไม่ทันเข้าเรียนเสียแล้ว

        รถม้าตระกูลเพ่ยวิ่งเต็มกำลังเพื่อส่งอี้เฉิงไปยังสำนักศึกษาอย่างเร็วที่สุด กระนั้นก็ยังช้ากว่าบัณฑิตคนอื่นที่ร่ำเรียนล่วงหน้าไปแล้ว แม้เขาต้องเรียนเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋แต่การมาช้าของเขาก็บ่งบอกถึงการขาดความรับผิดชอบได้เช่นกัน

        อาจารย์อู๋ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขามองอี้เฉิงพลางส่ายหน้าด้วยความระอา ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกละอายจนไม่กล้าสู้หน้า

                “คารวะอาจารย์อู๋ ข้าน้อยเจียงซูเม่ยได้รับคำสั่งจากฮูหยินเอกให้เข้าเรียนเป็นเพื่อนคุณชายเจ้าค่ะ” ซูเม่ยแจ้งจุดประสงค์ที่ตนยังคงอยู่ในห้องเรียน

                “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งอย่างเงียบ ๆ เถอะ อย่ารบกวนการสอนของข้า”

                “เจ้าค่ะ” ซูเม่ยรับคำก่อนเดินไปนั่งมุมห้องโดยไม่รบกวนการสอนตำราอีก

                “คุณชายรองเช่นนั้นวันนี้ท่านลองต่อกวีนี้ดูที เมืองสงบใต้ฟ้าสีครามสด หมู่คนจรยิ้มรับปรับทุกข์หวน....”

                “อาจารย์อู๋ข้าไม่สันทัดการแต่งกวีขอรับ” เขากล่าวกับอาจารย์เสียงเรียบ ใบหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร

                “กวีบทนี้สามารถต่อได้มากมาย แม้แต่สาวใช้ของท่านยังต่อได้กระมัง” อาจารย์อู๋ถอนหายใจให้กับความเขลาของคุณชายรองตระกูลเพ่ย

                “อาจารย์กล่าวเกินจริงแล้ว แม้บทกวีจะง่ายก็ไม่ถึงกลับสาวใช้ต่อได้กระมัง”

                “ดินแดนดั่งสวรรค์รวมดวงดารา ผู้มาเยือนต่างสุขปลอดทุกข์ชั่วนิรันดร์”

        ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยกลับต่อบทกวีของอาจารย์อู๋เสร็จสรรพ

                “เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าบทกวีนี้ง่ายไม่มีคำตอบเจาะจง” สีหน้าชื่นชมของอาจารย์อู๋ถูกส่งไปยังซูเม่ย แตกต่างจากสีแววตาคาดโทษของผู้เป็นนายที่ส่งไปยังนางคล้ายจะหักกระดูกของสาวใช้ให้แหลกสลายเสียตรงนี้

                “หากคิดจะสอบขุนนาง แม้จะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ เจ้าต้องศึกษาให้มากกว่านี้เสียแล้ว” อาจารย์อู๋กล่าวเตือนอี้เฉิง

                “ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” อี้เฉิงก้มหน้ารับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ

                “เช่นนั้นเริ่มจากการคัดอักษรก่อนแล้วกัน การคัดอักษรเป็นพื้นฐานของการเป็นขุนนาง มันจะทำให้เจ้ามีสมาธิขึ้น และอักษรที่สวยงามจะทำให้ฎีการของเจ้าไม่ถูกปัดความสำคัญ”

        อี้เฉิงรับคำอาจารย์ก่อนเริ่มลงมือใช้พู่กันวาดตัวอักษรบนกระดาษขาว โดยที่มีซูเม่ยคอยฝนหมึกให้ ทว่าตัวอักษรของเฉิงอี้ทำให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าต้องเงยหน้ามองเขาอยู่หลายครั้ง

                “เจ้าจะจ้องข้าอีกนานหรือไม่ ฝนหมึกเร็วเข้า” อี้เฉิงที่สังเกตว่าถูกอีกฝ่ายมองไม่หยุด ได้แต่ตำหนิเสียงเบา

                “อือ” แม้อยากจะเอ่ยเตือนแต่นางเป็นเพียงสาวใช้เช่นนั้นจึงเลือกที่จะเงียบไว้

                “อาจารย์อู๋ข้าคัดเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านตรวจดูได้” อี้เฉิงยื่นกระดาษให้กับอาจารย์ตรวจ

                “คัดเร็วไม่เบา...........” ยังไม่ทันได้กล่าวจบอาจารย์ถึงกลับต้องหยุดชะงัก พร้อมทั้งเงยหน้ามองลูกศิษย์ของตน

                “เช่นนี้เรียกตัวอักษรหรือ เหตุใดเส้นถึงดู้ไร้เรี่ยวแรงและไม่มีความงดงามเพียงนิด” ชายชรานวดขมับของตนเอง

                “ไม่สวยหรือขอรับ” เขาคัดจนสุดฝีมือแล้ว กลับยังถูกอีกฝ่ายตำหนิ

                “ลองถามสาวใช้ของเจ้าดู นี่เรียกสวยหรือไม่” อาจารย์อู๋ยื่นกระดาษลายมือของอี้เฉิงมาให้ซูเม่ย ทว่านางลำบากใจที่จะตอบได้แต่เลี่ยงการวิจารณ์

                “อาจารย์อู๋ข้าน้อยไม่ชำนาญด้านการเขียนอักษรจึงมองไม่ออกว่าสวยงามหรือไม่”

                “เช่นนั้นเจ้าลองเขียนประโยคสุดท้ายให้ข้าดู” อาจารย์อู๋ยังไม่คิดยอมแพ้ แต่สายตาดำมืดของอี้เฉิงกลับทำให้นางลำบากใจ

                “หากข้าเขียนออกไปแล้วทำคุณชายรองอับอายอีกเล่า” ซูเม่ยยังคงก้มหน้าบ่นพึมพำ

                “เขียนมาเถอะ เจ้าพูดเช่นนี้ข้ายิ่งอับอาย” อี้เฉิงที่นิ่งฟังอยู่นานทนไม่ไหวที่จะพิสูจน์ด้วยตนเอง พลางดันกระดาษและพู่กันมายังนาง

        ซูเม่ยมองหน้าบุรุษตรงหน้า ก่อนเริ่มเขียนอักษรอย่างบรรจง การจับพู่กันและความสงบบนใบหน้ายามนางได้เขียนตำรา ทำให้อี้เฉิงอดหลงใหลในท่าทางงดงามของนางไม่ได้

                “เสร็จแล้ว” ซูเม่ยยื่นกระดาษกลับไปให้อี้เฉิง เมื่อบุรุษตรงหน้าเห็นตัวอักษรของนางก็ทำหน้ามุ่ยในทันที เขาพึ่งรู้ว่าตัวอักษรที่งดงามเป็นเช่นไรก็วันนี้

                “หึ! หึ! เกรงว่าคุณชายเพ่ยต้องเรียนรู้จากสาวใช้ของท่านอีกมาก” อาจารย์อู๋ที่เห็นกระดาษแผ่นนั้นกล่าวอย่างพอใจ

                “อาจารย์กล่าวชมเกินไปแล้ว คุณชายของข้าไม่ค่อยได้จับพู่กัน ต่อจากนี้เขาจะฝึกฝนทุกวันเพียงไม่นานย่อมมีอักษรที่ทรงพลังแน่นอนเจ้าค่ะ” ซูเม่ยยิ้มแห้งมองอี้เฉิงที่นั่งเท้าคางไม่สนใจสิ่งใด

                “ชิ เจ้าไม่ต้องมาพูดยอข้า” บุรุษตัวโตกลับแง่งอนเป็นเด็กน้อยเสียแล้ว

        ซูเม่ยได้แต่ถอนหายใจ เพียงมาเรียนวันเดียวแทนที่จะผูกมิตรกัน นางกลับสร้างศัตรูให้กับตัวเองสียแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 16 นำมาเป็นภาระ

    รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 15 สิ้นหวัง

    “ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 14 หลงเชื่อใจ

    อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 13 ไร้สิ้นหนทาง

    อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 12 ช่วยเหลือ

    ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”

  • เจียงซูเม่ย บุตรสาวตระกูลเจียง   บทที่ 11 นับเป็นสหาย

    รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status