LOGINหลังออกจากสำนักศึกษาอี้เฉิงกลับไม่คิดจะกลับจวนแม่ทัพ
“คุณหนูเจียงข้าจะให้รถม้าไปส่งเจ้าที่จวนก่อน”
“แล้วท่านเล่า หากไม่กลับพร้อมกันจะให้ข้าตอบแม่ท่านว่าอย่างไร” ซูเม่ยเงยหน้าถามคนเบื้องหน้า
“ข้าทำหน้าที่ของตัวเองวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว ท่านแม่ไม่ถามเจ้าหรอก”
“อย่างไรก็ควรจะกลับพร้อมกันหรือไม่ หน้าที่ข้าคืออยู่ข้างกายท่านเวลาที่ออกมาสำนักศึกษา หากกลับไปคนเดียวถือว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่” ซูเม่ยไม่ยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นก็ตามแต่เจ้า ทว่าที่ที่ข้าจะไปสตรีไม่เหมาะที่จะไป” อี้เฉิงกล่าวจบ กลับเดินตรงไปยังหอนางโลมทำให้ซูเม่ยได้แต่มองตาม
“ไม่เอาไหนจริง ๆ” นางพึมพำก่อนเดินเข้าโรงน้ำชาข้างสำนักศึกษา
เมืองหลงเฉิงในยามนี้ผู้คนพลุกพล่านไม่น้อย หากแต่กลับมองเห็นการแบ่งชนชั้นได้อย่างชัดเจน ชาวเมืองไม่กล้าแม้แต่เดินเข้าใกล้ชนชั้นขุนนาง แม้แต่เหล่าบัณฑิตยังแบ่งเป็นบัณฑิตยากจนกับบัณฑิตตระกูลขุนนาง ชาวบ้านยากจนต้องก้มหน้าเมื่อเดินผ่านเหล่าขุนนาง แม้ไม่มีกฎหมายห้ามหากทว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นนี้ไปเสียแล้ว ซูเม่ยได้แต่มองความบิดเบี้ยวนี้โดยมิอาจทำสิ่งใดได้
“คุณชายรองเจิ้งโปรดหลบทางด้วย”
เสียงสั่นเครือคล้ายอับจนหนทางของสตรีดังขึ้นหน้าโรงน้ำชา จนทำให้ซูเม่ยเบนความสนใจจากทิวทัศน์ด้านหน้าในทันที ด้านนอกมีบุรุษแต่งกายด้วยผ้าไหมราคาแพงพร้อมบ่าวรับใช้ยืนขวางทางของสตรีรูปงามกับสาวใช้ของนางอยู่ ผู้คนมากมายยืนรุมล้อมทว่ากลับไม่มีผู้ใดคิดช่วยเหลือ
“คุณหนูมู่ออกจากจวนมาได้ทั้งที เหตุใดไม่ยอมให้โอกาสข้าเจิ้งเหวินเทียนได้เลี้ยงน้ำชาสักกาหน่อยเล่า” เสียงดังเอาแต่ใจพร้อมรอยยิ้มน่าเกลียดบนใบหน้า ทำให้สตรีบอบบางหวาดกลัวไม่น้อย
“ข้ายังมีธุระต้องทำป่านนี้ท่านแม่รอแล้ว คุณชายเจิ้งโปรดอย่าได้ใช้กำลังกักขัง” แม้บุรุษตรงหน้าจะพูดจากคุกคามเพียงใด หากแต่สตรีนางนั้นยังคงเจรจาอย่างเป็นมิตร
“หากเจ้ายอมเดินเที่ยวเล่นกับข้าสักชั่วยาม รับรองว่าข้าจะส่งเจ้ากลับถึงเรือนอย่างปลอดภัยแน่” เจิ้งเหวินเทียนไม่พูดเปล่า กลับใช้มือหนาหมายรั้งข้อมือบางเข้าหา หากทว่าคว้าได้เพียงความว่างเปล่าเบื้องหน้า
ซูเม่ยที่ทนต่อการกระทำหยาบคายของบุรุษอันธพาลต่อสตรีบอบบางไม่ได้ จึงถือวิสาสะยื่นมือเข้าช่วยรั้งแขนของสตรีนางนั้นหลบจากมือหนาของอีกฝ่าย ทำให้เจิ้งเหวินเทียนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดกล้ายุ่งเรื่องของขุนนางเช่นข้า” เสียงตวาดของเหวินเทียนทำให้ผู้คนหวาดกลัว หากแต่ไม่ใช่กับซูเม่ย
“เจ้าเป็นขุนนางตำแหน่งใด เท่าที่ข้ามองก็เป็นเพียงบุตรขุนนางที่ทำตัวไม่เอาไหนไปวัน ๆ” ซูเม่ยดึงตรีที่ตนหมายปกป้องไปด้านหลังของตน
“เจ้า! เป็นเพียงแค่สาวใช้กล้าเถียงชนชั้นขุนนาง รู้หรือไม่เจ้ามีโทษสถานใด” บุรุษอันธพาลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจนอยากบดขยี้ซูเม่ยให้แหลกคาเท้าเสียเดี๋ยวนี้
“มีโทษสถานใดเล่า เจ้าลองบอกกฎหมายของเฟิงหยางให้สาวใช้อย่างข้ารู้ด้วยเถิด” คำพูดของซูเม่ยเริ่มทำให้ผู้คนแถวนั้นอยากรู้ไปด้วย
“เร็วเข้าเถิดคุณชาย ชาวเมืองมากมายกำลังรอฟังโทษของการโต้เถียงชนชั้นขุนนางอยู่ แลข้าก็อยากรู้ว่าชนชั้นขุนนางอย่างเจ้าที่หมายฉุดคร่าสตรีที่ไม่ใช่ภรรยาตนกลางวันแสก ๆ เช่นนี้โทษจะหนักแค่ไหนกัน” น้ำเสียงนิ่งเฉย แต่สายตากลับเยือกเย็นของซูเม่ย ทำให้เหวินเทียนรู้สึกหวาดกลัวจนเผลอเดินถอยหลังไปหลายก้าว
“นี่เจ้าคิดจะข่มขู่ข้างั้นรึ ดูสิว่าหากข้าทุบตีสาวใช้นางหนึ่งจนตายใครจะกล้าทำอะไรข้า” เหวินเทียนก่นด่าด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนส่งสัญญาณให้บ่าวไพร่เข้าจัดการซูเม่ย
“ใครกล้าแตะต้องคนของข้า เกรงว่าคงไม่ไว้หน้าจวนแม่ทัพใหญ่แล้วกระมัง” เสียงทุ้มต่ำของอี้เฉิงดังมาจากทางด้านหลังของซูเม่ย
“คุณ คุณชายรองเพ่ย!” เหวินเทียนกล่าวตะกุกตะกักขึ้นมาทันที
“บุตรอนุอย่างเจ้ากล้ามีเรื่องกับตระกูลเพ่ยเชียวหรือ” ยามนี้รอบกายของอี้เฉิงกลับแผ่ไอสังหารออกมาอย่างน่าประหลาด ซูเม่ยมองบุรุษด้านข้างด้วยความแปลกใจ
“ไม่กล้า! ไม่กล้า!” เหวินเทียนกล่าวอย่างลนลานก่อนรีบวิ่งหนีหายไป
เมื่อเจิ้งเหวินเทียนหนีหายไปแล้วอี้เฉิงจึงได้เบนสายตาเชิงตำหนิมายังสาวใช้ข้างกายแทน
“เหตุใดกล้าไปมีเรื่องกับบุตรขุนนางเช่นนั้น”
“ก็เขาทำสิ่งไม่ถูกต้อง เหตุใดข้าจะยุ่งไม่ได้ อีกอย่างกฏหมายเฟิงหยางไม่ได้ห้ามให้คนธรรมดาปกป้องตนเองจากเหล่าขุนนาง” ซูเม่ยอธิบายสิ่งที่ตนเองกระทำ
“รู้ว่าไม่มีกฎหมายข้อใดเขียนไว้ แต่คนที่นี่กลับทำจนเคยชินหากพวกนั้นไม่ยอมรามือเช่นครั้งนี้ เจ้าจะเอาตัวรอดจากบุรุษพวกนั้นด้วยตัวคนเดียวอย่างไร”
ซูเม่ยมองบุรุษข้างกายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ คุณชายแสนงอนแลไม่เอาไหนเมื่อเช้าหายไปไหนแล้ว เหตุใดกลับกลายเป็นคุณชายที่มีเหตุผลเช่นนี้ได้
“ขออภัยคุณชาย ข้าลืมคิดข้อนี้จริง ๆ” ซูเม่ยยอมรับผิดแต่โดยดี
“คุณชายรองเพ่ยอย่าได้แค้นเคืองแม่นางท่านนี้เลยเจ้าค่ะ เพราะนางตั้งใจช่วยข้าจนลืมคิดถึงความปลอดภัยไป”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยขึ้นทำเอาอี้เฉิงใบหน้าใบหูแดงก่ำ เขามัวแต่ต้องการปกป้องซูเม่ยสาวใช้ของตนจนลืมมองไปว่ามู่หยุนเสี่ยวยืนอยู่ตรงนี้ด้วย
“คุณ คุณหนูมู่” อี้เฉิงกลายเป็นคุณชายขี้อายขึ้นมาในทันที
ซูเม่ยมองดูการกระทำที่เปลี่ยนไปกะทันหันของอี้เฉิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ จากบุรุษที่พูดจาฉะฉานกลับกลายเป็นคุณชายพูดจาตะกุกตะกักในเช่นนี้ ทำให้นางเดาได้ไม่ยากว่าคุณหนูนางนี้ต้องเป็นสตรีในดวงใจอี้เฉิงอย่างแน่นอน
“แม่นาง.....”
“เรียกข้าว่าซูเม่ยก็ได้”
“แม่นางซูเม่ยขอบคุณที่ช่วยเหลือ” มู่หยุนเสี่ยวยอบกายขอบคุณ
“คุณหนูมู่อย่าได้เกรงใจ ข้าเพียงเห็นผู้อ่อนแอกว่าถูกรังแกไม่ได้จึงถือวิสาสะเข้าช่วยเหลือ จนยุ่งเรื่องของคุณหนูแล้วโปรดอภัยด้วย”
“ข้าสิต้องขอบคุณ หากเจ้าไม่ยื่นมือเข้าช่วยเกรงว่าขุนชายรองเจิ้งคงไม่ปล่อยข้าแน่” หยุนเสี่ยวยังคงมีสีหน้าวิตกกังวล
“เหตุใดท่านถึงกลัวเขาขนาดนั้น” ซูเม่ยสงสัยจนอดถามไม่ได้
“ข้าน้อยขอตอบแทนคุณหนูเจ้าค่ะ เพราะคุณชายท่านนั้นเป็นบุตรชายรองเจ้ากรมพิธีการซึ่งมียศสูงกว่านายท่านของเรา ที่เป็นเพียงขุนนางหัวหน้ากองอาลักษณ์ จึงหวั่นเกรงอำนาจของตระกูลเจิ้งจะทำให้นายท่านต้องลำบาก” สาวใช้ข้างกายอดที่จะอธิบายแทนคุณหนูของตนไม่ได้
ซูเม่ยได้แต่ถอนหายใจให้กับอำนาจที่ล้นฟ้าของพวกขุนนางใหญ่ที่กดขี่ได้แม้กระทั่งขุนนางในราชสำนักด้วยกันเอง แล้วเช่นนี้มีหรือราษฎรอย่างพวกนางจะไม่ลำบาก
รถม้าหยุดลงหน้าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพาบุตรชายบุตรสาวเข้าร่วมงาน “ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร” ซูเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า พลางถามสิ่งที่นางสงสัยว่าเขาพานางมาด้วยทำไม “กันเหล่าสตรีออกจากข้า” หยางอี้จัดอาภรณ์ตนให้เรียบร้อย ก่อนกำชับคำสั่งแสนเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ยากยิ่ง “ข้าเป็นเพียงสาวใช้ จะขวางทางเหล่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่โตของราชสำนักได้อย่างไร” “นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เขากล่าวจบก็ลงจากรถม้าโดยไม่สนสายตาขอความเห็นใจของสตรีเบื้องหน้า ภายจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกตกแต่งอย่างโออ่า เหล่าขุนนางใหญ่ต่างนั่งร่วมโต๊ะดื่มชา คุณหนูตระกูลใหญ่จับกลุ่มชมบุปผาอีกฝั่งของสระบัว โดยเหล่าคุณชายนั่งชมความงามของสตรีอยู่อีกฝั่ง งานในวันนี้แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่ครอง ทว่าสตรีที่โดดเด่นของงานนี้กลับเป็นคุณหนูจูลี่เฉี่ยวบุตรีเพียงคนเดียวของใต้เท้าจู ซูเม่ยยืนมองหยางอี้ที่บัดนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางให้เหล่าคุณชายรุมล้อมแย่งกันตีสนิท ทว่าเขากลับนิ่งเฉยไม่สนจะร่วมวงสนทนาด้วย
“ซูเม่ยเจ้าอย่าพึ่งร้อนใจ.......” ยังไม่ทันที่อี้เฉิงจะกล่าวจบ ซูเม่ยหันหลังกลับออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา “ท่านแม่เหตุใดถึงทำเช่นนี้” อี้เฉิงมองมารดาด้วยความผิดหวัง “แม่ขอโทษ แม่เพียงเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีสมาธิในการท่องตำรา หากบอกเรื่องนี้ออกไปนางจะไม่มีกะจิตกะใจช่วยเจ้าทบทวนตำรา จึงได้คิดเห็นแก่ตัว” หลี่หว่ารู้สึกผิดต่อซูเม่ยอยู่มาก “นี่!” อี้เฉิงกล่าวสิ่งใดไม่ออก ในใจคิดเป็นห่วงสตรีที่พึ่งออกจากเรือนเขารีบหันกายตามนางไป ซูเม่ยไม่รู้จะทำเช่นไรในตอนนี้ ไม่รู้จะไปที่ใดได้แต่เดินตามท้องถนนยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าสองข้างทางในเมืองหลวงที่มีคนพลุกพล่านตลอดทั้งวันบัดนี้เริ่มบางตา ลมพัดผ่านต้นไม้ยามเย็นทำให้อากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันกลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ทว่าในใจของนางกลับเหน็บหนาวความพยายามตลอดสองเดือนของนางดูไร้ความหมาย แม้ว่าจะอดทนรอเพียงใดกลับเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องผิดหวังจนได้ โรงเตี๊ยมซูเจียงตั้งอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่านางเดินมานานเพียงใดแล้วจนบัด
อี้เฉิงไม่ได้ดีใจเหมือนแต่ก่อนเมื่อคิดว่าจะได้เจอมู่หยุนเสี่ยว เขาเพียงทำตามที่ซูเม่ยบอก แจ้งสาวใช้ว่าตนนำแจกันราคาเพียงหนึ่งตำลึงมามอบให้คุณหนูมู่ เพียงไม่นานหยุนเสี่ยวก็เปิดประตูออกมาพบเขาที่หน้าจวน แม้นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมออกมาพบทว่าเขากลับไม่ได้ดีใจลิงโลดดั่งที่คิดไว้ กลับกันเขาเพียงรู้สึกโล่งอกเท่านั้น “คุณชายรองเพ่ย” หยุนเสี่ยวยอบกายทักทาย “ขออภัยคุณหนูมู่ที่มารบกวนเวลานี้ ข้าได้ยินจากซูเม่ยว่าท่านตามหาแจกันเนื้อดี บังเอิญข้าพบกับช่างทำแจกันเห็นว่าเนื้อดินละเอียดสวยงามไม่แพ้แจกันราคาแพง จึงนำมาฝากคุณหนูมู่ด้วย” อี้เฉิงกล่าวพลางยื่นแจกันให้สตรีเบื้องหน้า “ขอบคุณคุณชายรองที่มีน้ำใจ ข้ากำลังหาแจกันราคาถูกอยู่จริงเพราะอยากได้ใส่ดอกไม้ถวายพระโพธิสัตว์พอดีเจ้าค่ะ” ใบหน้างามยิ้มบางให้เขาเป็นครั้งแรกพลางรับแจกันลายโบตั๋นสีขาวบริสุทธิ์จากผู้มอบ อี้เฉิงเพียงยิ้มตอบตามมารยาท “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน” หยุนเสี่ยวแปลกใจไม่น้อยนางนึกว่าเขาอยากจะรั้งอยู่ต่อนานกว่านี้เสียอีก ทว่านางกลับไม่ถาม
อาจารย์อู๋ชายชราอายุแปดสิบปีอ่านบทความของลูกศิษย์ที่ตนหวังรับเป็นคนสุดท้ายด้วยแววตาปลาบปลื้ม “คุณชายรองเพ่ยก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” แววตาชื่นชมมองมายังอี้เฉิงที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ “เพราะมีอาจารย์คอยชี้แนะขอรับ” บุรุษหนุ่มยิ้มกว้าง “หากจะสอบให้ได้ขุนนางปีนี้เจ้าทำได้แน่ แต่ถ้าหากอยากหวังตำแหน่งจอหงวนยังห่างไกลนัก” อาจารย์อู๋กล่าวตามตรง “ศิษย์ไม่หวังตำแหน่งสูงเพียงนั้น เพียงไม่ทำให้มารดากับคนในครอบครัวต้องผิดหวังก็พอ” อี้เฉิงกล่าวพลางมองไปยังซูเม่ยที่นั่งยิ้มยินดีกับเขาอยู่มุมห้อง วันนี้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด การตรากตรำเรียนตำรามากว่าสองเดือนของอี้เฉิงไม่สูญเปล่า บุรุษตัวสูงยิ้มหน้าบานเดินออกจากสำนักศึกษาอย่างภาคภูมิ ทำซูเม่ยที่เดินตามหลังอดขำกับความภาคภูมิใจนี้ของคุณชายตนไม่ได้ “วันนี้เจ้าอยากกินอะไร ข้าเลี้ยงเอง” อี้เฉิงหันกลับมาถามสาวใช้ที่เดินตามหลัง “อืม....” ซูเม่ยคิดหนัก นางต้องกินของอร่อย ๆ สมกับที่เหน็ดเหนื่อยช่วยทบทวนตำราให้เขามาสองเดือนเต็ม “เช่นนั้นกิ
ตลอดเส้นทางกลับจวนอี้เฉิงเอาแต่เหม่อลอย เขานั่งพิงกรอบหน้าต่างรถม้าทอดสายตาออกไปภายนอก โดยไม่สนทนาใด ๆ กับซูเม่ยอีก ไม่ต่างจากนางที่ลอบสังเกตอาการของคนผิดหวังจากความรัก โดยที่ไม่กล่าวคำใดออกมาเช่นกัน รถม้าหยุดนิ่งหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าคุณชายรองของตระกูลยังไม่รู้สึกตัว ทำให้ซูเม่ยต้องกล่าวเตือน “คุณชายเพ่ย ถึงจวนแล้วหากท่านยังไม่อยากลง เช่นนั้นข้าเข้าจวนก่อนแล้วกัน” นางกล่าวก่อนลงจากรถม้าไป แต่พึ่งก้าวพ้นประตูจวนกลับถูกมื้อของอี้เฉิงรั้งแขนนางไว้ “เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า” เสียงที่กล่าวขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ซูเม่ยต้องหันกลับไปมอง บุรุษเจ้าของเสียงมองมายังนางด้วยแววตาจริงจัง บ่งบอกว่าคำพูดเมื่อครู่เขาหมายความตามที่พูดจริง “ช่วยท่าน ช่วยท่านเรื่องอะไร” นางไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังแขนเรียวที่ถูกมือของอี้เฉิงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วโก่งขมวดแน่นพลางมองสบตาอีกฝ่ายเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือจากนาง หากทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ “เป็นแม่สื่อให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าหามู่หยุนเสี่ยว”
รุ่งเช้ายังไม่ทันที่ซูเม่ยจะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้เรียบร้อย แม่นมกุ้ยคนสนิทของฉิงอันกลับมาลากตัวนางไปยังเรือนฮูหยินรองเสียแล้ว “คารวะฮูหยินรอง” นางมองสตรีสูงศักดิ์แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางเย่อหยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ “ได้ยินว่าเจ้าไปร่ำเรียนเป็นเพื่อนคุณชายรองเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์อู๋” เพ่ยฉิงอันกล่าวไม่ไยดี พลางเป่าชาในถ้วย “เจ้าค่ะ” “เด็กคนนั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “แม้คุณชายรองจะมีความรู้ไม่โดดเด่น แต่เขาก็ตั้งใจศึกษาไม่น้อยเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรู้ว่าฮูหยินรองไม่พอใจต่ออี้เฉิง ที่ถูกท่านแม่ทัพเอ็นดูกว่าบุตรชายของนาง “หลี่หว่าคิดให้บุรุษที่เพิ่งเริ่มอ่านตำราได้ไม่นาน สอบแข่งขันขุนนางกับหยางอีหรือ” ฉิงอันวางถ้วยชาลงก่อนจ้องสาวใช้ผู้มาใหม่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าน้อยไม่ทราบ” “หึ! ครั้งนี้หลี่หว่าเลือกสาวใช้ได้ดีนี่ กล้ามีปากเสียงมิเกรงกลัวข้าจนตัวสั่นเหมือนสาวใช้คนอื่น แลยังมีหน้าตางดงามโดดเด่นไม่น้อย” สายตาที่เพ่งมองซูเม่ยตั้งแต่







