“ยัยพริกแกง! คืนนี้คลับเดิมนะจ๊ะ!” เพื่อนชายใจสาวพูดขึ้นก่อนจะพากันเดินไปขึ้นรถหลังจากเลิกงานมาได้สักพัก หญิงสาวหุ่นแซ่บไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไปพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม วันนี้เธอตั้งใจจะเมาหัวราน้ำส่งท้ายความเศร้ากับแฟนเฮงซวยที่ทิ้งเธอไปเพราะเหตุผลที่ว่าเธอไม่ให้เขาขึ้นขี่หลังจากที่คบกันมานานครึ่งปี
มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด รักกันจำเป็นต้องมีอะไรกันด้วยหรือไงไม่รู้จักคำว่ารอกันบ้างเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้เธอกลัวที่จะทำเรื่องอย่างว่า อาจจะเพราะเธอเองก็ยังไม่พร้อมก็ได้ เธอก็พยายามที่จะเอาใจและศึกษาเรื่องนั้นมาอย่างดี แต่แฟนเก่าของเธอดันใจร้อนไม่ฟังเหตุผลอะไรเลยนี่สิ! ไม่หนำซ้ำเขายังไปมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันแทนที่จะเป็นผู้หญิง!!
...ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรกว่ะว่าชอบผู้ชาย! คอยดูนะกูจะเอาเกย์ทำผัวหยามหน้ามันซะเลย!!...
คิดไปพลางหัวเสียไป ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์คันเล็กสีแดงตามสไตล์สาวฮอตหุ่นแซ่บแต่ไม่ได้แซ่บอย่างที่แฟนเก่าได้พูดทิ้งท้ายไว้! เธอจอดรถไว้หน้าหอพักตามปกติก่อนจะรีบขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดที่เด็ดดวงอย่างที่เธอชอบ ชุดเดรสสีแดงสั้นแหวกโชว์หลังสวย มีเพียงสายโซ่คล้องเกี่ยวรั้งชุดนั้นไว้ที่คอเรียว เธอหมุนซ้ายหมุนขวายิ้มให้ตัวเองอย่างพอใจ
“รีบไปดีกว่าเดี๋ยวนังโทนี่จะรอนาน” พึมพำกับตัวเองเสร็จก็รีบใส่รองเท้าส้นสูงปรี๊ดแล้ววิ่งหมุนวนในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าบ้างของป้องกันตัวยามจำเป็นบ้าง เครื่องสำอางที่ต้องใช้เติมกลางดึกบ้าง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำเล็กๆใกล้ประตูในห้องพักเพื่อส่องกระจกเช็กความเรียบร้อยใบหน้าสวยของตัวเอง
พริกแกงเป็นลูกกำพร้าที่ถูกย่าเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ของเธอเสียเพราะโรคหัวใจทั้งคู่ตั้งแต่เธออายุแค่8ขวบ เธอพยายามเรียนให้จบแต่ด้วยกำลังที่ต้องส่งตัวเองและส่งเงินเลี้ยงดูย่านั้นทำให้เธอไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอต้องออกมาทำงานเพื่อส่งเสียเลี้ยงดูย่าที่แก่เฒ่าลงทุกวัน จนเธอได้มาเจอแฟนหนุ่มที่พอมีฐานะอยู่บ้างแต่แฟนหนุ่มดันเป็นคนที่มีความต้องการสูงแต่เธอกลับไม่สามารถปรนนิบัติเขาได้ จึงเป็นสาเหตุของการนอกใจไปมีกิ๊กเป็นผู้ชายและเลิกรากัน
“เอาน่ายัยพริก เดี๋ยวแกก็เจอคนที่ดีเอง” พูดกับตัวเองหน้ากระจกก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับด้วยส้นรองเท้าอย่างเชิดๆ แต่..
“ว๊า..!!”
โคร่ม!!! ปึ้ก!!! ...ไม่ทันที่จะกรีดออกมาได้เลยด้วยซ้ำส้นสูงคู่โปรดทำพิษซะแล้ว พาร่างของเธอล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรงก่อนที่ศีรษะของเธอจะไปกระแทกกับชักโครก ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นนั้นคือฐานชักโครกที่มีเลือดเปื้อนอยู่...
...เวรกรรมอะไรของอีพริกวะ...เนี่ย...แต่งหน้าแต่งตัวสวยซะเปล่า...ดันมาหัวฟาดชักโครกตาย!!...
สองโลกคู่ขนานที่ดำเนินเดินเวลาไปพร้อมกันๆจะห่างกันเพียงไม่นานของห้วงมิติที่ซับซ้อน ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่คาดว่าจะเป็นของเหล่านักวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยใหม่ คนที่สามารถพิสูจน์ได้คงมีแต่คนที่ประสบพบเจอมันด้วยตัวเอง...แต่ก็ไม่เห็นใครเหลือรอดไปบอกเล่าต่อได้เลยสักคน...
ภาพที่เหมือนดาวเคราะห์ที่คล้ายกับโลกเพียงแต่มันมีดาวโลกอยู่สองดวงกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาทับซ้อนกันราวกับเป็นร่างเงา ภาพค่อยๆดิ่งตรงมายังพื้นผิวโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ภาพความทรงจำของใครสักคนเข้ามาทับซ้อนในหัวที่หนักอึ้ง หัวใจที่หยุดเต้นค่อยๆกลับมาเต้นอีกครั้ง
....ฉันยังไม่ตาย...เหรอ?...
“ออกพระเดินเข้ามาชิดข้าหน่อยสิขอรับ”
“อืม”
ตอบแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเดินเข้าไปชิดจหมื่นสุนทรสหายคู่กายหลังจากที่เดินเข้ามาในโรงน้ำชาที่ที่ออกขุนทั้งสองได้วาดแผนที่ไว้ มีนางรำนางดนตรีมากมายต่างเมียงมองมายังพวกเขาพร้อมรอยยิ้มกริ่ม รอบข้างมีหลายคู่หลายนายที่เข้ามาที่นี่เพื่อเสพสมอารมณ์ตามใจชอบโดยไม่ปิดกั้น เพราะเป็นโรงน้ำชาของชาวจีนที่มีเรื่องรักร่วมเพศมาแต่โบราณ แต่สำหรับอยุธยานั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ แม้จะมีอยู่มากมายหลายคู่ในชนชั้นพวกขุนนางก็ตาม
ในสมัยอยุธยานี้ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ หากรู้ถึงพระกรรณเจ้าสมเด็จอาจจะถูกเนรเทศ ซ้ำยังเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง ถือว่าเป็นอัปมงคลของวงศ์ตระกูลอีกด้วย ครอบครัวอาจจะถูกปลดจากการรับราชการทันทีหรืออาจจะมีโทษร้ายแรงกว่านั้น (อ้างอิงมาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
“หมื่นสุนทร...ข้าว่าข้าเป็นผู้โอบท่านจักดีกว่า”
“ข้าว่า ข้าเป็นผู้โอบนั้นถูกต้องแล้ว...อย่างไรข้าก็มีใบหน้าคมเข้มเสียมากกว่าท่านขอรับ”
“มิได้ ข้าสิต้องโอบท่าน”
“เป็นข้านี้แล”
ทั้งสองถกเถียงกันยื้อแย่งกันโอบรอบเอวไปมาจนไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง ทั้งสองชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงของคนภายในห้องม่านสีแดงสองชั้นกั้นนั้นเจรจากันมันช่างน่าสงสัย
“จักทำอย่างไรกับนางดีขอรับออกหลวง?”
“ยามนี้เห็นทีจักพาศพนางออกไปมิได้ คงต้องรอรุ่งสางเสียก่อน”
“ดูนางเป็นลูกเต้าเหล่าขุนนางใดกัน...จักพาเราเสียการหรือไม่ขอรับท่านออกหลวง”
สองหนุ่มหน้าม่านสีแดงกั้นห้องมองหน้ากันก่อนจะค่อยย่องเบาเข้าใกล้หวังเงี่ยหูฟังให้ชัดที สองมือของทั้งสองกอบกำดาบคู่กายไว้แน่นถนัด เมื่อได้ยินถึงการจะนำพาศพไปทิ้งยามรุ่งสาง
“ช้าก่อนท่านออกหลวง...ดูนางจักหายใจแล้วขอรับ” ชายฉกรรจ์อีกคนพูดขึ้นเมื่อเอาปรายนิ้วไปยังตรงปลายจมูกของหญิงสาวที่นอนหายใจโรยรินอยู่ก่อนที่ทั้งสี่คนจะสะดุ้งตัวโยน
“เฮือก!!! แฮ่กๆ..” อยู่ๆแม่หญิงที่นอนแน่นิ่งไปกลับหายใจเข้าเฮือกใหญ่จนตัวกระตุก ลืมตาโผลงกว้างขึ้นมากรอกสายตามองรอบข้างด้วยความรู้สึกไม่คุ้นตา ครั้นจะลุกขึ้นกลับลุกไม่ขึ้นร่างกายหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่หนำซ้ำยังรู้สึกร้อนวูบวาบจนใจสั่นไปหมด
...ความรู้สึกแบบนี้มัน...แล้วที่นี่ที่ไหน....
“นางผู้นี้ทำข้าตกใจ! ทำตัวราวกับผีลืมตาย...คืนนี้ปล่อยนางเอาไว้ก่อน และตามท่านหมอมาอย่าช้าที”
“ขอรับท่านออกหลวง”
“ถึงอย่างไรข้าก็ปล่อยนางกลับเรือนไปมิได้ มิเช่นนั้นความลับของเราจะรั่วไหล”
ว่าจบออกหลวงผู้นั้นก็เดินออกจากม่านแดงทันที สองหนุ่มที่โอบเอวกันก่อนหน้ารีบหลบเข้าไปอีกห้องที่ติดกับห้องนั้น จะเรียกว่าห้องคงจะไม่เชิงมันเป็นเพียงช่องล็อคที่มีเพียงกำแพงไม้สานกั้นเท่านั้น ทางเข้าก็มีเพียงม่านแดงสองสามผืนบดบัง พอเห็นด้านในรางๆแต่ไม่ชัดถนัดนัก
เมื่อชายทั้งสี่ออกไปจนหมดทั้งสองหนุ่มก็รีบคลี่กระดาษที่ขุนทั้งสองวาดแผนที่ให้หลังจากมาสืบเสาะเบาะแสมาก่อนหน้าแล้ว เมื่อเห็นแผนที่วาดนั้นเข้าใจตรงกันทั้งสองก็รีบตรงเข้าไปในห้องเมื่อครู่ทันที
พลันสายตามองเห็นแม่หญิงที่หอบหายใจแรงจนได้ยินเสียง มือไม้ข้างหนึ่งประปรายร่างกายอวบอ้วนอย่างเย้ายวน...ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองอีกมือหนึ่งที่ถกร่นเข้าใต้ผ้าถุงผืนงาม
“หมื่นสุนทร รีบหันไปกงโน้นด้านหลังโน่นปะเดี๋ยวนี้”
“ขะ...ขอรับ”
รีบตอบกลับทั้งที่ยังไม่เข้าใจพร้อมกับเดินผ่านชั้นม่านแดงออกไปม่านหนึ่ง แม่หญิงตรงหน้ากำลังทำอะไรกับตัวเองจนตัวบิดเอี้ยวไปหมด เขาเองก็ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรครั้นจะให้หันหนีเห็นทีจะยากที่จะหักใจ ไม่หนำซ้ำเจ้าหล่อนยังเป็นคนที่เขาต้องช่วยเสียอีกด้วยจากบทสนทนาเมื่อครู่แล้วไม่ปลอดภัยสำหรับเธอเอาเสียเลย
“แม่หญิง...”
“อูย...”
“แม่หญิงเป็นอะไรหรือไม่?”
“อา...อูย...”
“แม่หญิง!”
“ฮือ?...กะ...กรี๊ดดด..อุ๊บ!!”
รีบกระโจนแทบไม่ทัน มือหนาเข้าไปปิดที่ปากของหญิงสาวพร้อมกับทำท่าทางให้เธอเงียบลง หญิงสาวจ้องมองใบหน้าหล่อคมหวานนั้นอย่างอึ้งๆ ก่อนสายตาจะมองปรายไปทั่วร่างของเขา
การแต่งกายที่แปลกไปหมดแต่เพราะลืมตาตื่นมาก็รู้สึกวูบวาบจนทนไม่ไหวต้องจัดการตัวเองเพื่อคลายความคั่นเนื้อคั่นตัว นึกว่าตัวเองอาจจะโดนวางยาจากในคลับแต่ไม่คิดว่าจะมาโผล่ที่นี่และเจอคนที่แต่งตัวแบบนี้...หรือเธอลืมอะไรไปหรือเปล่า...จำได้แค่เดินออกมาจากห้องน้ำไม่ใช่หรือ?
...นังโทนี่ไม่เห็นบอกว่ามีปาร์ตี้ชุดไทย!!...
“จักทำเสียงอึกทึกไปไย ข้ามาช่วยแม่หญิงดอกหนา!”
“อื้อ...”
“...แต่มิรู้ว่าแม่หญิงจะกระทำการ...อุกอาจเช่นนี้”
ได้แต่ส่งสายตาปริบๆ คำพูดที่ฟังดูไม่เข้าหูแอบไม่เข้าใจอยู่บ้างแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันเป็นคำพูดสมัยโบราณ!! หรือว่าเขาจะเป็นผีโบราณหรอกเหรอ!! หรือผีนักรบ!!
...นี่ฉันช่วยตัวเองให้ผีดูเหร๊อออออ!!...
ซวยซ้ำซวยซ้อน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเป็นหรือตาย แต่ตื่นมาอีกทีก็เหมือนกับถูกวางยาปลุกเซ็กซ์จนร่างกายทนไม่ไหวตอบสนองไปเองโดยไม่ได้สนใจรอบข้าง ขอแค่ให้ได้ปลดปล่อยไปก่อนค่อยลุกขึ้นหาทางหนี แต่ใครจะคิดว่าตัวเองจะมาช่วยตัวเองให้ผีนักรบโบราณดู แถมร่างกายกลับดูอึดอัดจนตัวเองลุกแทบไม่ขึ้นอีก...ตอนนี้จิตใจปั่นป่วนจนรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!!
“แม่หญิง!! ....หมื่นสุนทร! ช้าอยู่ใยรีบเข้ามาช่วยข้าแบกนางเร็ว!”
“ฮึ...ใยออกพระที่ร่างกายกำยำล่ำสันถึงอุ้มนางมิได้ละขอรับ”
“กลับมาดูที ว่าเหตุใดข้าจึงแบกนางมิได้”
พูดจบจหมื่นสุนทรก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองตามที่ออกพระรามสหายรักพูดก็ถึงกับสะดุ้งชะงัก ร่างกายอวบอ้วนท้วมสมบูรณ์เกินไปของนางทำเอาเขาถึงกับรีบเข้าไปช่วยสหายรักแบกหามนางที่สลบไสลไปแล้วออกจากที่นั่น...
เพราะไม่รู้ที่มาที่ไปจึงจำเป็นต้องพาแม่หญิงมายังเรือนของออกพระราม ยังดีที่บ่าวคนสนิทของออกพระตามติดไปด้วยและคอยท่าอยู่ที่เรืออยู่แล้ว เมื่อบ่าวคนดังกล่าวเห็นเหล่าเจ้านายเดินเข้ามาหาตนอย่างทุลักทุเลมากก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“ช้าอยู่ใยเล่าอ้ายทอง รีบมาช่วยข้าอย่าช้าที!”
“ขะ...ขอรับท่านออกพระ” ตอบรับก่อนจะรีบขึ้นจากเรือไปช่วยผู้เป็นเจ้านายทันท่วงที
“นางไปกินช้างสารมาหรือไร...ถึงได้...หนักปานนี้” จหมื่นสุนทร อดบ่นไม่ได้กัดฟันบ่นไปทั้งยังแบกร่างนางไปอย่างนั้น ก่อนที่ชายฉกรรจ์ทั้งสามจะพาร่างนางลงเรือ
“เอ่อ...ท่านออกพระขอรับ...ข้าคิดว่า...เราจักไปเรือลำเดียวกันหมดทุกคนเห็นทีจักมิได้ขอรับ”
ทองยกมือไหว้สาแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกับสายตาของชายหนุ่มทั้งสองมองไปยังเรือที่ตอนนี้ผิวน้ำแทบจะเสมอขอบเรืออยู่แล้ว ทั้งสองขุนนางถึงกับส่ายหน้าไปมาก่อนที่จหมื่นสุนทรจะตบบ่าสหายคนสนิทเบาะๆ แล้วพูดขึ้น
“มิต้องห่วงข้าดอกออกพระราม ประเดี๋ยวค่อยให้อ้ายทองมารับข้าเที่ยวหลังเถิด”
“พูดมากความจริง ข้ามิได้ห่วงท่านเลยสักกระนิด...ข้าห่วงตัวข้าเองเสียมากกว่า ว่าเรือจักถึงเรือนก่อนหรือจักเรือล่มจมน้ำก่อน”
“หึหึหึ...อย่างไรก็ฝากนางไว้สักคืน วันรุ่งพรุ่งนี้ค่อยสักไซร้สืบความว่านางเป็นลูกเต้าเหล่าใด”
“อืม”
ตอบเพียงสั้นๆก่อนจะลงเรืออย่างระแวงระวังว่ามันจะพอรับน้ำหนักได้ไหม แต่ก็ยังดีที่พอรับได้แม้ผิวน้ำจะปริ่มเสมอขอบเรือและน้ำค่อยๆทะลักเข้าเรือมาทีละนิดก็ตามที
“ค่อยๆพายอ้ายทอง ให้ถึงเรือนนะมึง”
“ขอรับ ข้าน้อยจักพายให้สุดความสามารถเลยขอรับ”
“กูบอกให้ค่อยๆ !”
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม