กว่าจะมาถึงเรือนน้ำก็เปียกเท้าไปเสียหมด สองนายบ่าวพากันพยุงร่างแม่หญิงขึ้นเรือนหลังใหญ่ตามยุคตามสมัย ถือว่าโอ่อ่าสมฐานะพอดูชม คนบนเรือนที่รอบุตรชายอย่างใจจดใจจ่อก็ลุกพรวดขึ้นเมื่อเห็นเรือเข้ามาเทียบท่าหน้าบ้าน ก่อนจะรีบเดินไปยังหน้าบันไดถัดจากที่นั่งกลางบ้าน ชายชราถือไม้เท้าค้ำยันตามวิสัยคนเฒ่าคนแก่ที่แข้งขาไม่ค่อยจะดีเดินนำคุณหญิงและคนอื่นๆไปดักหน้าลูกชายทันที
“มีเหตุกระไร ใยถึงมิยอมรอรับคู่หมั้นคู่หมายของลูกกันเล่าพ่อราม”
“ไหว้สาขอรับเจ้าคุณพ่อ...ลูกมีราชการด่วนจึงมิได้อยู่รอ..”
“จริงอยู่ที่ว่างานนั้นสำคัญ แต่ใช่ว่าจักรั้งรอไม่ได้เสียเมื่อไหร่ มันใช่เหตุรือที่ออกไปทำการตั้งแต่เวลาชาย”
ออกญาพระศรีสุริยะเอ่ยขึ้นเพราะรู้งานของบุตรชายตนอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรเมื่อใด แต่ที่ดูบุตรชายไม่เต็มใจทำและพยายามหลีกเลี่ยงคือการไปรับคู่หมั้นคู่หมายของตนถึงได้ออกไปทำงานตั้งแต่บ่าย
“คุณพี่เจ้าคะ ลูกอาจจักมีเหตุผล” คุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนฟังอยู่นาน
“แม่ซ่อนกลิ่นก็เป็นเสียอย่างนี้” ออกญาพูดขึ้นพร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างขัดใจเมื่อเห็นภริยาให้ท้ายลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ก่อนที่คุณหญิงจะหันมาทางลูกชายและจับที่แขนแกร่งของเขาเบาๆ
“พ่อรามรู้หรือไม่ ว่าน้องหายตัวไประหว่างทางมาเรือนเราจนป่านฉะนี้ยังมิมีวี่แววแม่หญิงเลย แม่กลัวจักเกิดเรื่องกระไรขึ้นกับน้อง”
“ไยถึงได้พึ่งบอกลูกขอรับ....!” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่รอ นี่ก็ดึกมากแล้วซ้ำยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลย
“จะโทษถามมากความได้กระไรตอนนี้ มิหนำซ้ำพ่อรามยังพาแม่หญิงจากบ้านเรือนใดเข้าเรือนเราเสียอีกนี่...มิใช่การหักหน้าแม่พริกดอกรึ!”
ออกญาผู้เป็นพ่อออกเสียงเข้มดุดัน ก่อนที่คุณหญิงจะชะเง้อคอไปมองหญิงสาวร่างอวบที่สลบสไหลอยู่โดยมีบ่าวไพร่ผู้หญิงคอยประครองไว้ คุณหญิงถึงกับเอามือทาบอกตกใจจนดวงตาเบิกโพลงแล้วหันไปมองหน้าลูกชายของตน
“มิได้เป็นเช่นนั้นดอกขอรับเจ้าคุณพ่อ แม่หญิงผู้นี้ลูกช่วยไว้จากโรงน้ำชา...นางกำลังถูกออกหลวงผู้หนึ่งจักฆ่าแกงแล้วนำศพนางไปทิ้งขอรับ”
“จริงรึพ่อราม” คุณหญิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตกใจ แต่ตกใจได้ไม่ทันไรบ่าวทั้งสามที่มาจากเมืองละโว้ได้ล่องเรือถึงเรือนก่อนเพื่อแจ้งเหตุที่แม่หญิงของตนหายไปหลังจากรอจนค่ำ ก็รีบวิ่งกรูเข้าไปกอดขาแม่หญิงผู้นั้นที่ออกพระรามพามาไว้เสียแน่นพร้อมกับร้องห่มร้องไห้เสียงดังระงม
“แม่หญิง!!! ฮือ...แม่หญิงของบ่าว”
“ว่ากระไรนะ นางสาลี่?” ออกญาผู้เป็นพ่อตกใจก่อนจะรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ บ่าวไพร่ที่พยุงไว้รู้งานทันทีเชิดใบหน้านั้นขึ้นให้ออกญาท่านมองเห็นได้ชัด คราวนี้ไม่ใช่แค่ออกญาเจ้าเรือนเท่านั้นตกใจ คุณหญิงซ่อนกลิ่นที่เป็นภริยาก็ตกใจด้วยไม่แพ้กัน
“โอย...แม่จักเป็นลม”
“เจ้าคุณแม่ขอรับ!” ออกพระรามรีบเข้าไปพยุงผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้กำลังจะล้มพับไปอีกคน แต่ออกพระรามดูมีท่าทีตกใจมองแม่หญิงผู้นั้นก่อนจะหันกลับมามองผู้เป็นแม่อย่างตั้งคำถาม
“หมายว่ากระไรขอรับ?”
“นี่แม่พริกแกง...บุตรสาวของออกพระนครพราหมณ์เพื่อนรักพ่อ...คู่หมั้นคู่หม้ายของพ่อรามอย่างใดเล่า” ผู้เป็นพ่อหันไปเอ่ยขึ้นบอกลูกชายตัวเอง ออกพระรามถึงกับทำหน้าตกใจมองแม่หญิงผู้นั้นนิ่งค้าง
...จริงรึ? แม่หญิงผู้นี้น่ะรึคือคู่หมายของข้า?...งานช้างแล้วอ้ายรามเอ๋ย!....
เมื่อรู้ความจริงทั้งหมดแล้วบ่าวไพร่ทั้งสามก็นำพาร่างแม่หญิงของตนไปยังห้องหอนอนที่ทางคุณหญิงซ่อนกลิ่นได้จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งห้องอยู่ตรงข้ามกับห้องของออกพระรามพอดิบพอดี หญิงสาวที่สลบสไหลไม่รู้เรื่องอยู่ในห้องอย่างสบายใจ
ด้านนอกก็มีการถามไถ่พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ออกพระรามจึงได้เล่าความจริงทั้งหมดแต่ไม่ทั้งหมด เว้นไว้ในเรื่องที่ไม่อาจเล่าได้มันจะพลอยเสียชื่อแม่หญิงเอาเสียเปล่าๆ และอีกอย่างที่นางทำแบบนั้นเพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่ได้รับไป
“เป็นจริงดังนั้นรึพ่อราม?”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ แผนการงานราชในวันนี้จึงมิสำเร็จลุล่วงขอรับ”
“อืม...จักว่าอย่างไรดี...จักว่ามันถูกลิขิตมาแล้วก็คงมิผิด”
“อย่างไรแม่ก็คิดว่า แม่พริกนี้แลที่จักเป็นภริยาลูก”
“แต่ลูกมิได้ชอบพอพึงใจนางขอรับ...ลูกมิอาจรับนางเป็นภริยาได้”
“เพราะเหตุใด? บอกพ่อให้กระจ่างชัดที” ออกญาหันไปพูดกับลูกชายตัวเองด้วยสีหน้าจริงจังที่ลูกชายไม่ยอมรับคู่หมายที่เขาและเพื่อนสนิทได้ให้คำสัญญาต่อกันไว้
“ลูก...” ออกพระรามตะกุกตะกักไม่กล้าที่จะตอบออกไปตามจริง
...จักให้ตอบอย่างใดเล่า...ว่านางทั้งอวบอ้วน ทั้งทำบัดสีต่อหน้าต่อตาในโรงน้ำชา...เป็นแม่หญิงต้องอดทนสำรวมเอาไว้ให้ได้ นั่นคือสิ่งที่แม่หญิงทั่วฟ้าทุกเมืองควรพึงกระทำ แต่นางมิใช่...
“ว่าอย่างใดเล่าพ่อราม” คุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่คะยั้นคะยอรอฟังคำตอบจากลูกชายของตน
“ลูกมีคนที่ลูกหมายตาเอาไว้แล้วขอรับ” ตอบไปอย่างนั้นทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีผู้ใดในใจสักคน ถ้าจะเอ่ยนามแม่หญิงผู้นั้นเห็นทีคงจะคิดไม่ทัน
ที่ดูจะเข้าท่าเรียบร้อยหน่อยคงเป็นแม่หญิงเดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเพื่อนของเขาเท่านั้น ที่มักจะติดสอยห้อยตามพี่ชายมาที่เรือนของเขาบ่อยๆ ซ้ำยังเป็นแม่บ้านแม่เรือนมีนิสัยเรียบร้อยดังผ้าพับไว้ ชายใดพบเห็นคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธที่ตกแต่งกับนางแต่ถึงอย่างนั้น ออกพระรามก็หาได้มีใจให้นางไม่ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กคิดคบกับนางก็แค่น้องสาวเท่านั้น
“ถึงจะเป็นจริงดังพ่อรามว่า...พ่อรามคงรู้อยู่แก่ใจในฐานะชายอยุธยามิอาจผิดสัจจะสัญญาที่ลั่นไว้ได้”
“แม่พอจักรู้แล้วว่าผู้ใดที่พ่อรามหมายตา” คุณหญิงซ่อนกลิ่นพูดแล้วยิ้มออกมาปรายตามองหน้าลูกชายที่ยิ้มเจื่อน
“ยังพอมีเวลาหนาพ่อราม...ดูแม่พริกไปเสียก่อนเถิดค่อยตัดสินใจ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างใจเย็น
“...ขอรับเจ้าคุณพ่อ หากเจ้าคุณพ่อต้องการเช่นนั้น”
ในเมื่อเป็นเรื่องที่เขาต้องตอบรับไปแบบนี้ เขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่างให้นางยอมรับเขาไม่ได้หรือค่อยตกลงหารือกันว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องงานแต่งนี้ ถึงจะเป็นคำสัตย์สัญญาของทั้งสองขุนนางแต่ถ้าบุตรทั้งสองเห็นพร้อมต้องตรงกันว่ามีคนหมายตาไว้ทั้งคู่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องยอมตามใจถือว่าไม่มีฝ่ายใดเสียชื่อเสียง
เมื่อพูดคุยเจรจากับผู้เป็นพ่อแม่จบก็อดไม่ได้ที่จะเดินตรงไปยังห้องหอนอนของแม่หญิงพริกแกง พอดิบพอดีที่ท่านหมอออกมาจากห้องของนาง เขาไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปไถ่ถามท่านหมอทันที
“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ?”
“โชคยังดีที่นางรอดมาได้ พิษยาปลุกกำหนัดในร่างกายแม่หญิงมีมากจนโรคหัวใจนางกำเริบขอรับ”
“แล้วอย่างไรอีกเล่า?”
“ข้ามิอาจรู้ได้ว่าจักมีพิษใดในร่างกายของแม่หญิงอีกหรือไม่ขอรับ เพราะพิษที่กินเข้าไปมิได้มีเพียงชนิดเดียว...คาดว่าต้มยาให้นางกินตามเวลาก็จักทุเลาขอรับออกพระ”
“เช่นนั้นรึ...ขอบน้ำใจท่านหมอ”
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอลา”
พอหมอเดินจากไปเขาก็ยังคงยืนมองหน้าห้องของแม่หญิงคู่หมายอย่างเงียบๆ จะบอกว่าสงสารก็สงสารอยู่ไม่น้อย แต่ถึงยังไงเขาคิดว่าเขาคงไม่คิดจะออกเรือนอยู่แล้ว เพราะอยากทุ่มเทให้กับงานราชการให้เต็มที่และยังมีเรื่องของนางที่ติดขัดในใจเขาอยู่
หาใช่ว่าเขารังเกียจแต่แค่เขาก็เป็นผู้ชายในยุคสมัยที่หัวโบราณ การมีหน้ามีตาในชนชั้นย่อมสำคัญอยู่แล้วมันจะได้ไม่เสียชื่อครอบครัวของเขาและตัวเขาเองที่เป็นถึงออกพระอีกด้วย...
ความฝันร้ายที่เห็นตัวเองล้มหัวฟาดชักโครกตายทำให้พริกแกงสะดุ้งตื่นขึ้นมาสุดตัวเหงื่อไคลท่วมไปหมด มองดูรอบๆก็ยิ่งตกใจเมื่อสิ่งที่เห็นไม่ใช่ห้องพักรูหนูที่คุ้นเคย แต่กลับเป็นห้องเรือนไทยน่ากลัวและมืดสลัว
เสียงไก่ขันดังไปทั่วบริเวณรอบๆที่เธออยู่ พริกแกงค่อยลุกออกจากเตียงตั่งกว้าง เดินด้วยท่าทางย่องเบาค่อยๆเปิดหน้าต่างมองไปรอบๆ ก็เห็นบ้านเรือนทรงไทยและยังมีคนนุ่งผ่าเตี่ยว เกาะอก จงกระเบน เต็มไปหมด ทรงผมชายหญิงแทรกกลางรั้งตึงไปด้านหลังเหมือนยุคสมัยก่อนไม่มีผิดเพี้ยน เธอรีบหดตัวลงทรุดนั่งข้างหน้าต่างก่อนจะตบหน้าตัวเองอย่างแรง
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ย!! แม่งโคตรเจ็บ!...แสดงว่า...ไม่ได้ฝันเหรอวะ?” พูดไปพลางสำรวจตัวเองไป อีกใจหนึ่งก็ตื่นเต้นอีกใจก็อยากจะร้องไห้ออกมา เคยเห็นแต่ในละครไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวไม่หนำซ้ำความรู้ยังเป็นศูนย์!! ในหัวที่ศึกษามาอย่างหนักก่อนจะมาที่นี่คือเรื่องอย่างว่า...ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยสักนิดเพราะไม่ได้สนใจ!!
“จริงเหรอวะ?” พูดไปน้ำตาคลอไปก่อนจะลุกขึ้นไปส่องกระจกทรงกลมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเตียงนัก มองดูรูปร่างที่เละเทะของตัวเองอย่างหดหู่
“เขามีแต่หลุดเข้ามาในร่างแม่หญิงงามราวกับนางในวรรณคดี แต่กูดันหลุดเข้ามาในร่างเจ้าแม่ช้างชบาแก้วเนี่ยนะ อีพริกเอ้ยอีพริก!!”
พล่ามบ่นไปทำหน้างอแงใส่ตัวเองในกระจกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก นึกโทษชีวิตที่รันทดในโลกที่ผ่านมาแล้วยังจะมาเคราะห์ซ้ำกรรมหนักย้อนอดีตได้ชีวิตใหม่ทั้งทียังมาอยู่ในร่างนี้ ซวยซ้ำซวยจนเรียกว่าเจ้าแม่ความซวยได้เลยเมื่อนึกถึงเมื่อคืนที่ดันช่วยตัวเองต่อหน้าหนุ่มหล่อด้วยแล้วก็ยิ่ง...
...มีอะไรฉิบหายกว่านี้อีกไหมวะอีพริก!!...
งอแงกับตัวเองไปมองหน้ากระจกไปก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว แต่พอมองดูดีๆใบหน้าของเธอก็ยังคงเป็นเธอแค่อวบอ้วนมากไปหน่อยจนเสียความมั่นใจไปหมด
“แม่หญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” บ่าวสองคนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นแม่หญิงของตนนั่งทำหน้ายู่ยี่อยู่หน้ากระจกเสียแล้ว ก่อนที่บ่าวอีกคนจะรีบพุ่งเข้ามาหาเธอพร้อมร้องห่มร้องไห้จับมือเธอไว้แน่น
“บ่าวเป็นห่วงแทบแย่เลยเจ้าค่ะแม่หญิง คิดว่าแม่หญิงจักเป็นอันใดไปเสียแล้ว” สาลี่เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา
“แม่หญิงหายไปแบบนั้นบ่าวหัวใจจะวายเจ้าค่ะ” จันเอ่ยซ้ำยังร้องไห้ตามเพื่อนของตน
“คราวหน้าบ่าวจะมิยอมปล่อยแม่หญิงไปคนเดียวอีกแล้วเจ้าค่ะ” แจ่มพูดขึ้นต่อจากเพื่อนบ่าว
“เอ่อ...”
“ต่อให้บ่าวตายก็ไม่ยอมปล่อยแม่หญิงไปคนเดียวเจ้าค่ะ!” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงทำได้แค่ทำหน้างงแล้วมองคนเหล่านั้นโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ...
...ใครนักวะเนี่ย? เอาเถอะ...อย่างน้อยก็มีดีอยู่เรื่องนึงละว้า...ไม่ได้ย้อนมาเป็นทาส!!...
“เอาล่ะ...คือว่า...พวกพี่...ชื่ออะไรกันคะ?” เธอพยายามตั้งสติก่อนจะเอ่ยถามบ่าวทั้งสามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้ในใจอยากจะร้องไห้เต็มที ...ก็ต้องสู้ล่ะวะ...ไหนๆก็มีชีวิตรอดมาได้ชีวิตนี้ล่ะ! อย่างแรกคือต้องลดน้ำหนัก!! ...
“แม่หญิง...ว่ากระไรนะเจ้าคะ?!!” ถามอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้งด้วยใบหน้าตกใจ พริกแกงสะดุ้งโหยงมองทั้งสาม
...แหม...คัดบ่าวไซด์พิเศษมาให้กูเลยนะ...เยี่ยมจริงๆ!!....
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม