แชร์

บทที่ ๘. โบราณว่าอย่านุ่งผ้าสีแดงไปนา

ผู้เขียน: นรินทร์ลดา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-14 18:30:43

เรือล่องไปตามแม่น้ำที่กว้างใหญ่ถ้าเทียบกับปัจจุบันที่ถูกถมดินไปกว่าครึ่งแม่น้ำ พริกแกงยังคงมองรอบๆตัวด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ แม้มันจะไม่ทันสมัยเหมือนที่เธอเคยเป็นอยู่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความสวยงามแบบธรรมชาติที่คนไทยสรรค์สร้างขึ้น บ้านเรือนที่ปลูกด้วยไม้ดูเข้ากันกับต้นไม้มากมายรายล้อม มีทุ่งนาที่สามารถมองเห็นได้เป็นหย่อมๆตลอดทาง

เรือของออพระรามที่เธอนั่งโดยสารอยู่ด้วยก็ได้พายมาถึงหัวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาขนาบขนานระหว่างป้อมปืนและวัดนักบุญโจเซฟ ก่อนจะพายไปจอดถัดจากวัดนักบุญเลยคลองตะเคียนไปก็ถึงที่หมายที่เรียกว่าตลาดบ้านจีน ออกพระรามขึ้นจากเรือไปก่อนโดยไม่สนใจพริกแกงเลยสักนิดจนบ่าวคนสนิททั้งสามของเธอมาประคองขึ้นจากเรือแทน

“คนอะไรใจดำชะมัด” ขึ้นฝั่งได้ก็อดมองคนที่ยืนหันหลังตาขวางไม่ได้ เคยเห็นแต่ในละครที่บุรุษกรุงเก่าจะช่วยเหลือแม่หญิงงาม แต่ไม่เคยเห็นใครเมินแม่หญิงแบบเขาผู้นี้

“ออเจ้าก็ไปเดินชมตลาดกับบ่าวของออเจ้า ข้าก็จักไปทำธุระของข้า”

“ก็ต้องอย่างนั้นแหละค่ะ”

“อย่าได้เที่ยวทะเวนไปทั่วเพียงลำพังเป็นอันขาด”

“ค่า คุณออกพระ”

“อ้ายทอง มึงคอยตามแม่หญิงไปมิต้องตามกู...เป็นหญิงคงมิปลอดภัยเท่าใดนักถึงจักมีบ่าวติดสอยห้อยตามไปก็ตามที คงจะจักช่วยกระไรมิได้มากนัก”

ออกพระรามหันไปสั่งอ้ายทองบ่าวคนสนิทที่ติดตามเขาตลอดก่อนจะปรายตามองบ่าวทั้งสามของพริกแกงที่เคยปล่อยเธอคาดสายตาไปจนเกิดเรื่องในวันที่เข้าเรือนเขาวันแรก ทำเอาบ่าวทั้งสามหน้าเสียไม่กล้าที่จะสบตาออกพระสักคน

“ขอรับท่านออกพระ” อ้ายทองตอบรับอย่างเสียไม่ได้ จากที่ต้องคอยติดตามรับใช้ออกพระผู้เป็นนายก็ต้องมาตามติดคู่หมายของท่านแทนเนื่องจากเหตุที่เคยเกิดขึ้น

ออกพระรามได้ยินเสียงตอบรับเช่นนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเอาการคนหนึ่งเดินเข้ามารับ พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็อดที่จะชะเง้อคอพยายามมองชายคนนั้นไม่ได้ เพราะต้องการจะมองหน้าชัด

เธอจำได้ไม่ผิดแน่ๆ รูปร่างท่าทางแบบนี้คือคนเดียวกันกับคืนนั้นที่กอดร่ำลาออกพระผู้นี้ หรือจะให้ตรงๆก็คือแฟนหนุ่มของออกพระรามคู่หมั้นของเธอนั่นเอง แต่ไม่ว่าจะพยายามมองหน้าเท่าไหร่ก็เหมือนมีคนคอยบังตลอดและไม่ใช่ใครที่ไหน...

“ออเจ้าชะเง้อคอมองหากระไรรือ?” ออกพระรามหันมาทำหน้าดุใส่เธอหลังจากที่เธอไม่ละความพยายามที่จะมองหน้าจหมื่นสุนทรสหายคนสนิทของเขา

“ก็...เปล๊า”

“เสียงสูงดังเปรตร้องออเจ้าจักให้ข้าเชื่อคำออเจ้างั้นรือ?”

“ก็แค่...อยากเห็นแฟน...เอ่อ...เพื่อนของคุณออกพระไงคะ? ไม่คิดจะแนะนำให้ข้ารู้จักหน่อยเหรอ?”

“ออเจ้านี่ก็กระไร...มิมีแม่หญิงคนใดเอ่ยปากอยากรู้จักชายอื่นต่อหน้าคู่หมายดอกหนา” พูดไปพลางทำหน้าดุ

“ทำไมจะไม่ได้ละคะ มีมิตรสหายย่อมดีกว่ามีศัตรู”

“ออเจ้าช่างเป็นหญิงที่พูดจาเรื่อนเชื่อนเสียจริง” ออกพระรามอดทำเสียงดุพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองหญิงสาวที่เถียงเขาคำไม่ตกฟากอย่างไม่สำนึก เธอทำหน้าตาไม่รู้ไม่ฟังไม่ยอมรับในสิ่งที่เขากล่าวว่าทำให้เขารู้สึกเคืองไม่น้อย

“แม่หญิงอยากรู้จักข้ารือ?” จหมื่นหนุ่มเดินเข้ามาในสายตายืนข้างๆออกพระด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มและเกลี้ยงเกลาของเขาทำเอาเธอถึงกับอ้าปากค้างจ้องมองนิ่ง ท่าทางอย่างนั้นทำเอาออกพระรามไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักดูไม่สำรวมสมเป็นแม่หญิงเลยสักนิด

“คะ? ค่ะ...” พูดตะกุกตะกักไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเมื่อโดนถามตรงๆ เพราะยังอึ้งกับความหล่อคมของเขาอยู่

...โห...อย่างกับแก๊งหนุ่มฮอต ที่พระเอกละครพีเรียดมารวมกัน...บุญของอีพริกที่มีหนุ่มหล่อรายล้อม....

คิดไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะหันเหสายตาไปมองอ้ายทองบ่าวคนสนิทของออกพระรามเพื่อพิสูจน์ว่าความคิดของตัวเองไม่ได้ผิดไป อ้ายทองที่นั่งคุกเข่าอยู่รู้สึกถึงสายตาก็เงยหน้ามองแม่หญิงคู่หมายของเจ้านายแล้วทำหน้างงไม่น้อยกับสายตาประกายแวววับของเธอ...มองดูสายตานั้นแล้วขนลุกไม่น้อย...

“ทำไมรือแม่หญิง? มองหน้าอ้ายทองเช่นนั้น...แม่หญิงจักบอกว่าข้าหน้าเหมือนอ้ายทองบ่าวท่านออกพระรือ?”

“ฮะ? เปล่าๆ เปล่าเจ้าค่ะ...จะเหมือนได้ยังไงกันคะ แฮ่ๆ”

รีบปฏิเสธพันละวันแล้วยิ้มแห้งไม่อย่างนั้นคงโดนเคืองไม่น้อยที่ไปหาว่าเขาหน้าเหมือนบ่าวไพร่ เธอพอจะรู้อยู่บ้างเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนิสัยของผู้ชายสมัยอยุธยาที่ถือยศถืออย่างเป็นหลักซึ่งเป็นนิสัยที่เธอในยุคปัจจุบันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก เพราะผู้ชายสมัยนั้นเป็นแบบนี้ผู้หญิงเลยถูกกระทำเหมือนสินค้าขายอย่างกับวัวกับควายไม่ว่าชนชั้นไหน

มันคือความจริงมุมมืดของอยุธยาที่เธอเคยอ่านเจอในเว็บไซด์ต่างๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกยุคทุกสมัยต่างมีด้านดีและไม่ดีเพียงแค่สื่อมักจะนำเสนอแต่ด้านดีๆ จนอยากที่เข้ามาอยู่ในยุคสมัยนั้นกันเลยทีเดียว แต่ไม่มีใครจะกล้าที่จะนำเสนอด้านมืดในความเป็นจริงที่มีอยู่พร้อมหลักฐานเลยสักคน

“ข้าชื่อสุนทร หรือจหมื่นสุนทร แม่หญิงเล่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”

“ข้าชื่อ...เอ่อ...พริกแกง...” ตอบไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจกับชื่อตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะไม่รู้ว่าจะต้องตอบแบบสมัยไหนแต่ที่รู้ๆคือใครๆก็เรียกเธอว่าแม่พริกทั้งนั้นก็บอกชื่อจริงมันไปเลยแล้วกัน

“แปลกดี...แม่หญิงส่วนใหญ่ตั้งชื่อตามดอกไม้งาม แต่แม่หญิงกลับชื่อว่าพริกแกง” จหมื่นสุนทรพูดพร้อมยกยิ้มมองใบหน้าสวยของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“มิแปลกดอก...คุณหญิงศรีจันทร์ชอบทำครัวนัก จึงได้ตั้งชื่อลูกสาวตามความชอบ” ออกพระรามออกตัวตอบแทนทั้งที่ยังไม่มองหน้าคู่หมายของตน แค่ปรายตามองผ่านหางตาเท่านั้น

“งั้นรือ”

“ไปกันเถิด เรามีงานต้องเจรจาอยู่มาก” ออกพระรามพูดตัดบทก่อนจะเดินนำจหมื่นสุนทรไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อจมื่นสุนทรพูดบางอย่างกับแม่หญิงคู่หมาย

“ไว้มาเจรจากันอีกหนาแม่พริก คำพูดออเจ้าแปลกหูดีจริง...ข้าชักอยากรู้ความที่ออเจ้าพูด...”

“หมื่นสุนทรเทพ ชักช้าอยู่ไยเล่า”

ออกพระรามเรียกสหายตนขึ้นขัดก่อนที่จหมื่นสุนทรจะได้กล่าวจบประโยคเสียอีก จหมื่นสุนทรเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหลียวไปมองออกพระรามสหายตนเล็กน้อยแล้วยกยิ้มขึ้น ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้พริกแกงแล้วพยักหน้าเล็กน้อยยอมเดินจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ พริกแกงมองตามหลังชายหนุ่มทั้งสองแล้วหรี่ตายกยิ้ม

“ขี้หึงนะเนี่ยคุณออกพระ ข้าไม่แย่งแฟนหนุ่มคุณออกพระหรอกค่า แหม...” บ่นพึมพำกับตัวเองไปก่อนจะแบะปากยกยิ้มอย่างลืมตัวตามจริตของนางร้ายรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน เพราะสถานะเธอตอนนี้คงจะเหมือนนางร้ายที่เป็นตัวขัดขวางนายเอกกับพระเอกในซี่รี่ย์วายแน่นอนเชียว

“อุ๊ย! แม่หญิงอย่าทำสีหน้าเช่นนั้นเจ้าค่ะ มิงาม!” สาลี่พูดขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของแม่หญิงของตัวเอง

“วู้! ไม่งามอีกและ! จะต้องทำหน้ากี่ซี่รี่ย์ละพี่สาลี่ถึงจะงามเนี่ย” บ่นไปพร้อมกับทำหน้าเซ็ง

“เอ่อ...ว่ากระไรนะเจ้าคะ? ทำหน้ากี่ซี่รี่ย์? ภาษากระไรเจ้าคะ?” จันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างที่สุดที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาที่ผู้เป็นเจ้านายพูดได้เลยสักคำ

“ทำหน้ากี่ซีรี่ย์ก็หมายถึง โมหน้ากี่ครั้งไงล่ะพี่จัน”

“โมหน้าคือกระไรเจ้าคะ? โมนี่คือแตงโมรือเจ้าคะ? แล้วแตงโมเกี่ยวอันใดกับหน้าเจ้าคะแม่หญิง” แจ่มถามย้ำอย่างไม่เข้าใจอีกคน

“โมหน้าไม่เกี่ยวกับแตงโม โมหน้าก็คือทำหน้า...โอ๊ย! ข้าเริ่มงงที่ตัวเองพูดเพราะพวกพี่เนี่ยแหละ!”

พริกแกงพูดจบก็เดินกุมขมับเข้าไปที่ตลาดทันที คร้านที่จะอธิบายภาษาในยุคใหม่ให้พวกบ่าวที่ติดตามมาฟังแล้วยิ่งพูดก็ยิ่ง งง ไปกันใหญ่ จัน แจ่ม สาลี่และอ้ายทองยืนคิ้วขมวดนับนิ้วอย่างสงสัยก่อนจะเกาหัวมองหน้ากันไปมา เมื่อเห็นว่าแม่หญิงของตนเดินเข้าไปในตลาดไกลแล้วก็รีบพากันวิ่งตามไปทันที

หลังจากพากันคิดมึนงงกับคำพูดชวนไม่เข้าใจและน่าปวดหัวก็ต่างพากันมาดูเครื่องประดับและผ้านุ่งผ้าแพร เจ้าแม่ยุคใหม่อย่างพริกแกงหรือจะไม่ดี๊ด๊ากับผ้าตรงหน้า ผ้าทุกชิ้นที่เธอหยิบล้วนเป็นสีแดงสด สีส้ม และสีชมพูบานเย็น สีทองอร่าม ที่เธอคิดจะเอามาตัดและให้บ่าวเย็บเป็นชุดเดรสสวยๆ ผ้าที่เธอซื้อมาวันนี้ล้วนแต่มาจากจีนทั้งนั้น

ไหนจะเครื่องประทินโฉมสีสดอีก แม่ค้าแม่ขายต่างมองเธออย่างแปลกใจ เพราะข้าวของส่วนใหญ่ที่นี่มักจะมีแต่สาวงามเมืองที่จะซื้อ น้อยนักที่จะมีแม่หญิงแม่นายมาเลือกซื้อเพราะสีออกจะสดใสไปเสียหน่อย  อ้ายทองที่ติดสอยห้อยตามแม่หญิงมาตามคำสั่งของออกพระผู้เป็นนายก็มีหน้าที่แบกข้าวของที่แม่หญิงซื้อ

“พี่สาลี่ ที่นี่มีห้องลองเสื้อไหม?”

“ห้องลองเสื้อ...รือเจ้าคะ?”

“ก็ที่เปลี่ยนเสื้อน่ะ...ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“อ๋อ ที่ผลัดผ้ารือเจ้าคะ?”

“ใช่ นั่นแหละมีไหม? อยู่ไหน?”

“มิมีดอกเจ้าค่ะ จะผลัดผ้าก็ต้องเข้าพุ่มเข้าป่ากงชายนา...แต่มิมีแม่หญิงใดไปผลัดผ้านอกเรือนดอกเจ้าค่ะ”

“หากจะผลัดผ้าต้องกลับเรือนเสียก่อนเจ้าค่ะ” แจ่มเอ่ยต่อสาลี่

“โอ๊ย! ไกลอ่ะ...เปลี่ยนมันใกล้ๆนี่แหละ เบื่อจะใส่สไบสีกะทิแก่ๆเต็มทนละ”

“แม่หญิงเจ้าคะ...มิได้นะเจ้าคะ!” จันพยายามร้องห้ามแต่พริกแกงกลับเดินลอยลิ่วไปยังชายนาที่ใกล้ที่สุด มองซ้ายมองขวาหาพุ่มไม้แล้วคว้าผ้าสไบสีแดงสดที่อ้ายทองถือไว้พุ่งเข้าไปในพุ่มที่คิดว่าลับตาคนที่สุด

บ่าวทั้งสามทำได้แค่วิ่งไปเอาตัวบังกางแขนกันไว้ให้เพราะห้ามไม่ทันแล้วเมื่อแม่หญิงของตนถกถอดสไบของตัวเองออก อ้ายทองทำได้แค่ยืนหันหลังให้อย่างไม่ทันตั้งตัว

ยังดีที่เธอคาดเกาะอกไว้ด้านในจะให้ใส่แต่สไบโล่งๆคงไม่เป็นที่น่าสบายใจเท่าไหร่มันออกจะโล่งๆเย็นๆหน้าอกไปเสียหน่อย ก่อนจะคาดปัดสไบสีแดงสดที่ตัวเองเลือกมาทันที

...นี่สิ อย่างอีพริกแกงสาวฮอตต้องสีแดงเท่านั้น....

“แม่หญิง...”

“รู้แล้วๆ เสร็จแล้ว”

“กระไรเสร็จเจ้าคะ?! เป็นแม่หญิงอย่าพูดจาเช่นนั้นมัน...”

“มิงาม อีกแล้ว?” พริกแกงพูดดักสาลี่ขึ้นมาทันทีพร้อมกับตั้งคำถาม มีคำพูดไหนที่เธอจะพูดได้บ้างล่ะเนี่ยไม่ว่าจะพูดจะจาอะไรก็ดูไม่งามไปเสียหมด พริกแกงเดินออกมาจากพุ่มไม้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวไปรอบหนึ่งราวกับนางงาม เก็กท่าทางเท้าสะเอวอวดทรวดทรวงให้บ่าวทั้งสามดู จังหวะพอดีกับอ้ายทองที่หันมาเห็นพอดีถึงกับอ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ

“เป็นไง สวยไหม?”

“งามเจ้าค่ะ” จันเอ่ย

“งามจนอ้ายทองอ้าปากค้างเลยเจ้าค่ะ” แจ่มเอ่ยต่อพร้อมกับหัวเราะเบาๆปรายตามองอ้ายทองที่ยังอ้าปากค้าง

“ดูเหมือนอ้ายทองจะตกใจว่าข้าแปลกมากกว่านะ” พริกแกงเอ่ยอย่างรู้ทันเมื่อมองสายตาของอ้ายทองที่ดูจะงุนงงสงสัยกับท่าทางไม่สมเป็นแม่หญิงของเธอ

“อ้ายทอง! เอ็งกล้ามองแม่หญิงของข้าแปลกรือ?!” สาลี่ได้ยินอย่างนั้นก็หันไปถามอ้ายทองเสียงเข้ม

“มิได้ขอรับ...งามขอรับแม่หญิง” ต้องตอบอย่างจำยอมแม้ว่าจะสงสัย แต่ที่ตอบก็เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเธองดงามกว่าตอนแรกที่เข้าเรือนออกพระมา ตอนนั้นแทบจะพายเรือไม่รอดแต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปราวกับแปลงกายได้

...ฮึด!! ฮัด!! มออออ!!...

เสียงฮึดฮัดดังมากจากข้างหลังไม่ไกลจากพุ่มที่ผลัดผ้ามากนัก เพราะที่ที่เธอเข้ามาผลัดผ้านั้นมันเป็นนาหย่อมหนึ่งที่ติดกับตลาดเพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาพาดผ่าน อาจจะเป็นที่นาของขุนนางคนใดคนหนึ่งที่มีพื้นที่ใกล้ติดกับรั้ววังรั้ววัดและแน่นอนว่ามีนาก็ต้องมีวัวมีควาย...

“แม่หญิงขอรับ!! ระวาง!! ควายมันวิ่งมาแล้วขอรับ!!” อ้ายทองที่หันหน้าเข้าหาเธอเอ่ยร้องทักขึ้นเพราะแม่หญิงและบ่าวต่างหันหลังให้ทางนา

“ฉิบหายแล้วอีสาลี่!! แม่หญิงผลัดสไบสีแดง!!” แจ่มเอ่ยขึ้น

“แม่หญิงวิ่งเจ้าค่ะ! วิ่ง!!” สาลี่เอ่ยพร้อมกับคว้าข้อมือของพริกแกงพาวิ่งหนีเจ้าทุยที่กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างกับหลงใหลได้ปลื้มสไบสีแดงที่พริกแกงใส่อยู่ เร่งอุ้งเท้าเตรียมจะสอยสไบสีแดงสวยที่สะบัดพลิ้วเต็มที่

“กรี๊ดดดดดดดดด!!!! ไอ้ทุย!!! อย่ามาแย่งสไบฉันนะ!!!!” แหกปากร้องไปวิ่งหนีไอ้ทุยที่วิ่งทะยานเตรียมเข้าพุ่งชนเป้าหมายเต็มที่ ผ้าถุงไม่เป็นใจทำให้ก้าวเท้าวิ่งได้ไม่เต็มความยาวของขาท่าทางตอนนี้เธอเหมือนนกแพนกวินไม่มีผิด ได้ทีจึงถกผ้านุ่งขึ้นก้าวขาวิ่งอย่างไว ทำเอาคนทั้งตลาดมองเธอเป็นตาเดียว

แต่งตัวสวยวิ่งหนีควายขวิดคงไม่มีอะไรอัปยศอดสูเท่าชีวิตพริกแกงอีกแล้ว แม้แต่จะเห็นหลังคาอาบอบนวดอย่างที่ตั้งใจยังไม่ได้เห็นเลย อ้ายทองเห็นอย่างนั้นก็ยอมทิ้งข้าวของวิ่งไปหาแม่หญิงทันที

“แม่หญิงขอรับ!!! ระวาง!!!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เจเจ๊ออกพระผู้นี้คือว่าที่สามีฉัน   บทที่ ๔๕. จุดจบ

    พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง

  • เจเจ๊ออกพระผู้นี้คือว่าที่สามีฉัน   บทที่ ๔๔. ปมที่ต้องแก้ไข

    “แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง

  • เจเจ๊ออกพระผู้นี้คือว่าที่สามีฉัน   บทที่ ๔๓. สุขสมอารมณ์หมาย

    อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก

  • เจเจ๊ออกพระผู้นี้คือว่าที่สามีฉัน   บทที่ ๔๒. เชยชมบุปผางาม

    “ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้

  • เจเจ๊ออกพระผู้นี้คือว่าที่สามีฉัน   บทที่ ๔๑. ขัดคำสั่ง

    พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา

  • เจเจ๊ออกพระผู้นี้คือว่าที่สามีฉัน   บทที่ ๔๐. มิได้เป็นเช่นนั้น

    ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status