จ้าวเจี้ยนฟางเดินเข้ามาในงานเลี้ยมวันเกิดของบิดา คารวะใต้ท้าวเฉินด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพหลี่เหวินเฉา และหลี่จิ้ง นางกลับคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น
“นี่เจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของข้าที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ต่อไปเจี้ยนฟางจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ”
“ดีๆ นั่งก่อนสิหลานเจี้ยนฟาง” หลี่เหวินเฉาผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวบุตรชาย
“มานั่งด้วยกันเถิดน้องหญิง” หลี่จิ้งเชื้อเชิกุลีกุจอตักอาหารให้อย่างรู้หน้าที่
จ้าวเจี้ยนฟางจึงต้องเดินมานั่งลงข้างๆ เขาอย่างเสียมิได้
“ท่านหญิงน้อยก็กลับมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าว่าเรามาคุยเรื่องงานมงคลระหว่างลูกจิ้งกับท่านหญิงดีกว่านะครับท่านอ๋อง” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ขณะที่ท่านหญิงน้อยหน้าตึงขึ้นมาในทันที แม้จะถูกอบรมให้ซ่อนสีหน้า สงบปากสงบคำยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินแบบไม่เคยรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เธอคงไม่อาจทำได้
“หมายความว่ายังไงคะท่านพ่อ”
“เอ่อ… เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดนะแม่ทัพหลี่”
“ไม่ได้หรอก วันนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว” หลี่เหวินเฉาเร่ง ขัดใจนิดๆ ที่เอาเข้าจริงท่านอ๋อง 9 ก็กลับหวงลูกสาวจนออกนอกหน้า
“ท่านพ่อ อย่าเพิ่งเร่งรัดท่านอ๋องเลย ดูซี่ น้องหญิงหน้าแดงไปหมดแล้ว” หลี่จิ้งกระเซ้า ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่า ท่านหญิงน้อยไม่พอใจ
ขณะที่ท่านหญิงน้อยเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“ท่านพ่อจะให้ข้าแต่งงานกับคุณชายผู้นี้เหรอคะ”
“เอ่อ…” เห็นดวงหน้าแดงก่ำของบุตรีแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็พูดไม่ออก
“ท่านพ่ออยากให้ใครแต่งก็แต่งไป แต่ไม่ใช่ข้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วท่านหญิงน้อยก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเร็วๆ ออกจากห้องอาหารมา โดยไม่สนใจเสียงเรียกของท่านอ๋องเลยแม้แต่น้อย
“ลูกข้าเสียมารยาท ต้องขออภัยด้วยนะ” ท่านอ๋องเอ่ยกับทั้งหลี่เหวินเฉาและเฉินลู่ซี
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจ เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังจะได้เป็นเจ้าสาว ท่านหญิงน้อยคงจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เชิญรับประทานอาหารต่อเถิดท่าน” แม้จะขัดใจในความทะนงตนของท่านหญิงน้อยผู้นี้ แต่ก็ไม่อยากใส่ใจอะไรให้มากความ สู้มีความสุขกับอาหารอร่อยตรงหน้าจะดีกว่า
จ้าวเจี้ยนฟางเร่งฝีเท้าพาตนเองออกจากห้องอาหารมา ความเจ็บปวดใจที่ถูกบิดาผลักไสให้แต่งงานออกเรือนไปกับชายที่ไมได้รัก พาให้ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกตันลำคอ สายน้ำตาเอ่อรินอาบสองแก้มอย่างสุดจะกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
“จะรีบไปไหนล่ะท่านหญิงน้อย หยุดคุยกันก่อนซี่” ฮุ่ยเหนียงก้าวเร็วๆ ตามมาร้องเรียก
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า จะไปไหนก็ไป” จ้าวเจี้ยนฟางตวาดไล่ โดยไม่ยอมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
ไม่มีทางหรอกที่นางจะยอมให้ฮุ่ยเหนียง คนที่นางเกลียดชังเห็นน้ำตา
“ท่านหญิงน้อย ถึงข้าจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของท่าน ถึงท่านจะเกลียดชังข้าสักปานใด แต่ข้าก็หวังดีกับท่านมากที่สุดนะ ฮึ เพราะอย่างน้อย ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านแต่งงานกับคุณชายหลี่”
“งั้นเรอะ” จ้าวเจี้ยนฟางยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงเต็มตา
“ท่านหญิงน้อยอยู่ในวังหลวงมาตลอด คงไม่รู้หรอกว่า คุณชายหลี่เป็นคนเช่นไร ชาวเมืองฉางโจวใครๆ ก็ต่างรู้ทั้งนั้นล่ะว่า คุณชายหลี่เป็นพวกมักมาก เห็นผู้หญิงเป็นเพียงผักปลาเท่านั้น ถึงท่านจะแต่งงานเป็นฮูหยินของคุณชายได้ ก็คงมีฐานะไม่ต่างจากอนุหรอก ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ คงไม่อยากใช้สามีร่วมกับผู้หญิงคนอื่นหรอกจริงมั้ย ข้า หาทางออกให้ท่านได้นะ”
“ทางออกอะไร” ท่านหญิงน้อยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเลยว่า อีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“ท่านก็แค่กลับเข้าหวังไปซะ เพียงเท่านี้ ท่านก็ไม่ต้องแต่งงานแล้ว”
จริงสินะ...หากกลับเข้าวังไปได้ นางอาจไม่ต้องแต่งงานอย่างที่ฮุ่ยเหนียงว่าก็เป็นได้
“คืนนี้ ท่านอ๋องคงมัวแต่สนทนากับแขกของท่าน ข้าว่าท่านหญิงน้อยรีบไปเก็บสัมภาระ แล้วรีบกลับเมืองหลวงไปจะดีกว่า”
เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่จ้าวเจี้ยนฟางคล้อยตามคำพูดของฮุ่ยเหนียง ยิ่งนางให้สาวใช้มาช่วยเก็บสัมภาระ เตรียมแผนการหนีออกจากตำหนักอย่างปัจจุบันทันด่วน ท่านหญิงน้อยก็ยิ่งมองเห็นเส้นทางแห่งอิสรภาพรออยู่ตรงหน้าแล้ว
จ้าวเจี้ยนฟางปลอมตัวเป็นชาย แบกสัมภาระเท่าที่จำเป็นขึ้นบ่า ก้าวลงจากเรือนเหมยฮวา เมื่อต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเข้าจริงๆ ก็อดใจหายไม่ได้
“ข้าอกตัญญูนัก ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณท่านพ่อ ขอท่านพ่อรักษาตัวด้วยนะคะ” ท่านหญิงน้อยพร่ำรำพัน สองเท้าก้าวเร็วๆ สู่ประตูด้านหลังตำหนักท่านอ๋อง 9
แสงจันทร์ในคืนเพ็ญส่องฉาย แลเห็นหมู่ไม้สองข้างทางตะคุ้มดำ
สายลมยามดึกพัดหมู่ไม้ตะคุ่มดำนั้นเอนไหว บางคราก็ดูคล้ายมือของปีศาจกวักเพรียกหานาง ชวนให้อกสั่นขวัญหาย
หากท่านหญิงน้อยก็ถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว นางจำใจต้องสลัดความหวาดกลัวในใจออกไป กลั้นใจก้าวเดินไปข้างหน้า
แต่แล้ว นางก็ต้องชะงัก เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งจ้องมองมาจากทางด้านหลัง แต่เมื่อหันไปมอง กลับไม่พบใคร
หนึ่งชั่วยามของการเดินทางไกลยาวนานนักในความคิดนาง สองขาก้าวเดินผ่านเนินเตี้ยๆ เริ่มอ่อนล้าโรยแรง
นางเดินมาไกลขนาดนี้คงไม่มีใครตามมาแล้วละ ท่านหญิงน้อยบอกตนเอง วางสัมภาระลงกับพื้น นั่งพักตรงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็มีชายชุดดำสองคน เคลื่อนกายด้วยวิชาตัวเบา ตะกายอากาศมุ่งมาทางนาง พอได้ระยะก็ชักกระบี่ออกมา
คมกระบี่ต้องแสงจันทร์วับวามพาให้นางตกใจจนแทบสิ้นสติ
“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้า”
“ชีวิต…” หนึ่งในชายชุดดำตอบเสียงเหี้ยม
“พวกเจ้า เอ่อ พวกท่านอย่าทำอะไรข้าเลย พวกท่านอยากได้อะไร ข้าจะหามาให้ทุกอย่าง ขอเพียงพวกท่านปล่อยข้าไป”
“ข้าเองก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอก หากข้าปลอ่ยเจ้าไป ชีวิตข้าสองคนก็คงหาไม่เช่นกัน อภัยให้ข้าเถิดนะ” ว่าแล้ว ชายชุดดำผู้น้นก็ตวัดปลายกระบี่เข้าจ้วงแทงร่างของนาง
คมกระบี่ผ่านเสื้อผ้า ผิวเนื้อนางอย่างไร้ความปราณี
ในวินาทีที่วิญญาณของจ้าวเจี้ยนฟางหลุดจากร่างนั่นเอง เป็นเวลาเดียวกับที่ดาวดวงหนึ่งพุ่งจากโค้งฟ้าอีกด้านหนึ่ง สู่พื้นดิน
แม้จะเป็นเหตุการณ์ธแสนธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่ในค่ำคืนนี้กลับแตกต่งไปจากทุกค่ำคืนที่ผ่านมา
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ… กงล้อแห่งโชคชะตากำลังพาวิญญาณดวงหนึ่ง ข้ามกาลเวลามายังแผ่นดินต้าเถียน
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็