ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูนั่นเองที่ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียง ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน
“เอิง ตื่นหรือยัง นี่ใกล้เที่ยงแล้วนะ ลงไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงของอารียาดังอยู่หน้าห้องนอน
“เออ ตื่นแล้ว ขอเข้าห้องน้ำก่อน แล้วจะลงไป” เธอตะโกนตอบ แล้วเดินเอื่อยๆ เข้าห้องน้ำ
ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวอยู่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้นอรองค์ก็ออกจากห้อง ลงไปชั้นล่างเจอสาวชื่อวิไลกำลังเก็บกวาดห้องโถงอยู่พอดี
“คุณอินกับคุณอิ้งอยู่ในห้องกินข้าวค่ะ”
“ค่ะ” อรองค์รับคำ แล้วเดินตรงไปยังห้องกินข้าว ซึ่งอยู่ในโซนใกล้ครัว
“อ้าว มาๆ กินข้าวกัน”
เมื่อโผล่หน้าเข้าไปอินทุอรก็กวักมือให้มานั่งข้างๆ
“ขอโทษด้วยค่ะ เอิงตื่นสายมาก”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ป้าเข้าใจ แปลกที่แปลกทาง คงนอนไม่หลับสิท่า”
“ค่ะ กว่าจะหลับก็...อือ เกือบเช้า”
“ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ไปเดี๋ยวก็ชินไปเอง แต่เราต้องเข้มแข็งนะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“ค่ะ เอิงจะเข้มแข็ง และปรับตัวให้ได้ค่ะ”
“งั้นก็กินเถอะ จะได้ไปช้อปกัน” อารียาพูดแล้ว ตักอาหารใส่จานตัวเอง
“ช้อปที่ไหน”
“แม่จะพาเราสองคนไปเดินห้าง เธอน่ะต้องซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม และเปลี่ยนแนวการแต่งตัวดีไหม”
เพราะอรองค์ชอบแต่งตัวสบายๆ ใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดตัวใหญ่เหมือนเด็กผู้ชาย แถมไว้ผมสั้นเคลียหู ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่
โอ๊ย แล้วยังฝันจะเป็นเจ้าสาวของอาวิณอีก
ทอมบอยขนาดนี้
“ก็ฉันชอบแต่งแบบนี้” อรองค์บอก
“แกจะมาแต่งตัวเหมือนพร้อมจะไปปลูกผัก หรือปีนต้นไม้ วิ่งเล่นทโมนเหมือนอยู่ที่ไร่ไม่ได้นะ มาอยู่ในเมืองใหญ่ก็ต้องตามแฟชั่นบ้าง”
“ยัยอิ้งยุ่งเรื่องแต่งตัวของเอิงทำไม” อินทุอรดุลูกสาว เพราะของแบบนี้มันสไตล์ใครสไตล์มัน
“ก็อยากให้ทันสมัยไงคะแม่ ที่สำคัญเสียดายหน้าสวยๆ ถ้าไว้ผมยาวหน้าจะสวยหวานมากเลยนะ”
“อือ น่าสน เปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างก็ดีนะ แต่ฉันไม่ชอบใส่กระโปรงเหมือนแกนะ” ถ้าเธอน่ารักขึ้น เผื่ออาวิณจะรักเธอบ้าง
“กางเกงทันสมัย น่ารักๆ มีตั้งเยอะแยะ เสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ลายน่ารักๆ ก็มีถมเถ ถ้าแกไม่อยากเปลี่ยนสไตล์ แต่หาแนวใกล้เคียงสไตล์เดิมก็ได้”
“อือ ก็ดี แต่ทรงผม คงอีกนานกว่าจะยาว”
“ไม่เป็นไร แค่เก็บให้เข้าทรงกว่านี้ก็น่ารักแล้ว”
เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว อินทุอรจึงพาทั้งสองไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
นอกจากต้องปรับตัวกับบ้านหลังใหม่แล้ว ซึ่งโชคดีที่เธอรู้จักมักคุ้นกับคุณป้าอินทุอรกับอารียามานานแล้ว มันจึงไม่มีปัญหา ถ้าจะมีก็คือเธอยังคิดถึงไร่ภูวิณและผู้คนที่นั่น โดยเฉพาะเจ้าของไร่ แต่ตอนนี้เขากำลังคลั่งรักอยู่กับมะลิ ยังไม่กลับจากไปเที่ยว ตามรายงานของคำแพง พี่เลี้ยงสาวคนสนิทที่อรองค์พูดคุยติดต่อไม่ได้ขาด ส่วนวสุนั้นเธอจะพูดคุยเรื่องเพื่อนๆ มากกว่า
คำแพงยังบอกอีกว่ามะลินั้นเป็นญาติห่างๆ ของกำนันประโยชน์ ซึ่งเธอเคยได้ยินภูวิณคุยกับคุณย่าพิสมัยว่า สงสัยกำนันประโยชน์อยู่เบื้องหลังการตายของพ่อเขากับพ่อของเธอ
แล้วทำไมอาวิณไปยุ่งกับเครือญาติของกำนันประโยชน์ อรองค์ไม่เข้าใจภูวิณจริงๆ
หรือความรักเข้าตา จนมองข้ามเรื่องที่มะลิเป็นญาติของกำนันประโยชน์!
สำหรับเธอ การตายของบุคคลทั้งสองสำคัญกับชีวิตมาก ตั้งใจไว้แล้วว่าหากมีโอกาสแก้แค้น เธอจะไม่ลังเล แม้คำสอนของคุณย่าจะบอกเสมอว่า ‘เวรระงับด้วยการไม่จองเวร’ แต่เธอก็ปัดความคิดแก้แค้นออกจากหัวไม่ได้
การปรับตัวในโรงเรียนแห่งใหม่ มันก็ไม่ง่ายสำหรับอรองค์ เพราะเพื่อนใหม่ก็ไม่ได้น่ารักทุกคน แต่ยังโชคดีที่ได้เรียนห้องเดียวกับอารียา ไม่หัวเดียวกระเทียมลีบให้เพื่อนใหม่กลั่นแกล้งเพียงลำพัง
ซึ่งหัวโจกนั้นก็คือนิรชา หรือยัยน้อยหน่าตัวแสบ มีลูกน้องไว้รองมือรองเท้าอยู่สองคน คือเหมียวกับกวาง
อรองค์โดนรับน้องจากน้อยหน่า ด้วยการถูกอีกฝ่ายแกล้งเลื่อนเก้าอี้ออก ขณะที่เธอกำลังจะนั่ง จึงก้นกระแทกพื้นให้เจ็บก้นกบพอสมควร ท่ามกล่างเสียงหัวเราะของเดอะแก๊ง ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่อีกหลายคนก็มองเห็นอย่างเห็นใจ และตำหนิน้อยหน่า
“น้อยหน่า อย่าแกล้งเพื่อนสิ” มิ้นท์ หรือมัทนา หัวหน้าห้องที่ดูแก่เรียน และเคร่งครัดวินัยหันไปตำหนิน้อยหน่า
“ต้อนรับเด็กใหม่บ้างสิ และนี่เอาไป ของขวัญ” น้อยหน่าโยนงูเขียวลงบนตักของอรองค์ ผู้หญิงในห้อง รวมทั้งอารียาร้องกรี๊ดลั่น แล้วพากันไปเกาะกลุ่มมุมห้อง
ขณะคนที่ถูกแกล้งกลับหยิบงูจากตักขึ้นมาดู ก็ถึงรู้ว่ามันเป็นงูเขียวปลอม
“แน่จริงก็เอางูจริงมาเลยสิ” อรองค์ว่า แล้วโยนงูปลอมให้เจ้าของ พร้อมยิ้มหยันมุมปาก
เพื่อนๆ เลยโล่งใจ แล้วเดินมารุมตัวอรองค์ ถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“รู้ตั้งแต่แรกเหรอว่าเป็นงูปลอม”
“อือ”
“ถ้าเป็นงูจริง จะกลัวไหม”
“ก็ต้องรอให้คนจับงูจริงโยนใส่ก่อน ถึงจะรู้ว่ากลัวหรือเปล่า” เธอเคยจับงูจริง ที่ไม่มีพิษโยนใส่ผู้หญิงคนหนึ่งของภูวิณ อีกฝ่ายตกใจจนเป็นลม และเธอก็ถูกภูวิณกักบริเวณให้อยู่แต่ในเรือนหลังเล็กหนึ่งสัปดาห์
“จริงสิ แต่คงไม่มีใครกล้าจับงูจริงมาแกล้งคนอื่นหรอกมั้ง ฮ่าๆ”
ทุกคนพากันหัวเราะขบขัน ทำให้น้อยหน่ามองอย่างไม่พอใจ เพราะดูเหมือนเพื่อนๆ ในห้องจะชอบเด็กใหม่คนนี้มาก รวมทั้งไม้ หรือมัชกร เพื่อนร่วมห้องที่เธอชอบตั้งแต่มัธยมต้น อีกฝ่ายมอง
อรองค์อย่างสนใจ ปกติมัชกรแทบจะไม่เคยมองใครอย่างสนใจแบบนี้วันๆ เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือมากกว่าพูดคุยกับใครด้วยซ้ำ และนั่นทำให้น้อยหน่ายิ่งไม่ชอบเด็กใหม่
คอยดูนะจะแกล้งให้จนต้องลาออกจากโรงเรียนไปเลย!
ขณะที่เดินไปยังโรงอาหารพร้อมกับอารียาและเพื่อนใหม่อีกสองคน จู่ๆ มีแบงก์ยี่สิบหล่นมาจากกางเกงของคนที่เดินอยู่ข้างหน้า อรองค์รีบก้มลงเก็บ เพราะมันอยู่ตรงหน้าเธอพอดี
“เฮ้ย นาย นี่เงินนายหล่นจากกระเป๋ากางเกง” อรองค์วิ่งไปข้างๆ แล้วยื่นแบงก์ให้เด็กหนุ่มที่เธอจำได้ว่าเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่อีกฝ่ายนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนเงียบๆ ไม่ทักทายเธอเหมือนคนอื่น
“ขอบใจนะ” เขาพูดสีหน้าเรียบนิ่ง หลังจากหยิบแบงก์ยี่สิบจากมือเธอ แล้วเดินต่อไปข้างหน้า
“เขาชื่อไร” อรองค์ถามเพื่อนๆ
“ชื่อไม้ อย่าไปยุ่งกับเขาล่ะ” อารียาบอก
“ทำไม”
“มีคนจองเขาแล้ว”
“ใครเหรอ”
“ยัยน้อยหน่าไง”
“เขาเป็นแฟนกันเหรอ”
“เปล่า ยัยน้อยหน่าชอบไม้อยู่ฝ่ายเดียว ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ไม้โดนเล่นงานตลอด”
พอได้ยินแบบนั้นอรองค์ก็นิ่งงันไปทันที ตอนแรกจะขำยัยน้อยหน่า แต่พอคิดถึงเรื่องตัวเองแล้วก็ขำไม่ออก เพราะเหมือนจะหัวอกเดียวกัน
เพราะเธอเองก็ชอบแกล้งบรรดาผู้หญิงของภูวิณเช่นกัน
“ยัยน้อยหน่านิสัยไม่ดี แกก็ระวังตัวหน่อยนะ ท่าทางมันจะไม่ชอบแกมากๆ เลย” อารียาเตือน เมื่อทั้งสองอยู่บนรถ โดยมีคนขับรถประจำบ้านชื่อลุงชมเป็นคนรับส่งทั้งสอง
ส่วนอินทุอรนั้นดูแลร้านกาแฟ ซึ่งร้านอยู่ปากซอยบ้านนั่นเอง ลุงชมจึงพาทั้งสองส่งที่ร้าน เพื่อกินของว่าง จากนั้นก็นั่งทำการบ้านกันจนเสร็จ แล้วอินทุอรก็พาอรองค์ไปร้านค้าเกษตร เพื่อเลือกซื้อดิน และเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูก รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้
หลังจากนั้นเวลากลับจากโรงเรียน เมื่อทำการบ้านเสร็จแล้ว อรองค์จะขลุกอยู่กับการทำสวน บางวันอารียาก็มาช่วยบ้าง
มันช่วยให้อรองค์คลายความคิดถึงไร่ภูวิณ แต่ความคิดถึงเจ้าของไร่ก็ยังมีอยู่
นอกจากปลูกผักแล้ว อรองค์ยังซื้อต้นกล้าผลไม้ที่สามารถปลูกภายในบริเวณบ้านได้ เช่นมะม่วง ฝรั่ง ชมพู ลำไย มะละกอ ต้นกล้วย
วันเวลาผ่านไปเชื่องช้ามากในความรู้สึกของอรองค์ เพราะตอนนี้เธอมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้หนึ่งเดือนแล้ว
วันนี้อารียาก็ไม่มาเรียน เพราะปวดท้องประจำเดือน มีไข้ด้วย อรองค์จึงมาโรงเรียนเพียงลำพัง แต่ไม่เหงาเพราะมีเพื่อนใหม่ที่น่ารักพูดคุย อย่างมิ้นท์ มัทนา หัวหน้าห้องที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่ และเคร่งระเบียบวินัยมากๆ กับมะเหมี่ยว เพื่อนสนิทของมัทนาที่นิสัยตรงข้ามกับมิ้นท์ทุกอย่าง แต่ทั้งสองคบกันมานาน
กินมื้อเที่ยงอิ่มเธอกับเพื่อนๆ ก็เข้าห้องน้ำ ก่อนจะเข้าเรียนคาบแรกช่วงบ่าย แต่พอออกจากห้องส้วม อรองค์ก็รู้สึกงง เมื่อเห็นแค่มัทนากับมะเหมี่ยวและกลุ่มของน้อยหน่า คนอื่นๆ หายไปไหนหมด ตอนเข้ามาก็คนเต็มห้องไปหมดเลย
“มีอะไรกัน” อรองค์ถามขึ้น หันไปทางมิ้นกับมะเหมี่ยว
“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากสั่งสอนคน” น้อยหน่าพูดแล้วพยักหน้าไปยังลูกน้อง
กระแตกับหนุงหนิงจึงเข้ามาจับตัวอรองค์ไว้ แต่มัทนากับมะเหมี่ยวเข้ามาดึงกระแตกับหนุงหนิงเพื่อให้ปล่อยอรองค์
“อย่าเสือกได้ไหมมิ้นท์ เหมี่ยว ถอยไปถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
“เธอจะบ้าเหรอ ทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันจะฟ้องครู”
“ก็เคยฟ้องตั้งหลายครั้ง แล้วไง ได้อะไรบ้างล่ะ ฮ่าๆ”
มัทนาชะงัก แต่ยังดึงดันให้กระแตกับหนุงหนิงปล่อยมือจากอรองค์
“ทำไมเหรอ เธอเป็นเจ้าของโรงเรียนนี้หรือไง”
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่เว้ย เพราะพ่อแม่กูบริจาคให้โรงเรียนนี้มากที่สุดกว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ”
“อ๋อ เลยใช้อภิสิทธิ์ในการรังแกคนอื่นเหรอ กระจอก” อรองค์พูดแล้วเบ้ปาก
“อีนี่ปากดีนัก ต้องสั่งสอนเสียแล้ว” น้อยหน่าปรี่เข้ามาจะตบ แต่อรองค์หลบได้ มืออีกฝ่ายเลยโดนหน้ากระแตเต็มๆ
จากนั้นอรองค์ก็สลัดจากการเกาะกุมของกระแตกับหนุงหนิง
เธอตั้งการ์ดขึ้น เตรียมชก พร้อมท้าทาย
“ถ้าไม่อยากปากแตกก็เข้ามาเลย!”
“เอิง จะไหวเหรอ” มัทนาถามอย่างห่วงใย สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไหวสิ มาเล้ย อย่าคิดว่าจะตบตีกันได้ง่ายๆ ไม่รู้เหรอฉันเป็นใคร ฉันอรองค์ ศิษย์ลุงทิน แห่งไร่ภูวิณเว้ย!”
“มึงจะแค่ไหนเชียว!” น้อยหน่าถลาเข้าไปอย่างมั่นใจ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครเก่งในเรื่องตบตีมากกว่าตนเอง
ทว่าพอเข้าใกล้อรองค์ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“อ๊าก!” น้อยหน่าเจอหมัดฮุกเข้าที่ปลายคาง ล้มตึงลงกับพื้นทันที
::::::::::::::::::::::
พอลูกสาวหลับไปแล้ว ภูวิณก็เก็บหนังสือนิทานไว้บนโต๊ะ ห่มผ้านวมให้ หอมแก้มเบาๆ ไม่ลืมที่จะปิดโคมไฟหัวเตียง เหลือเพียงโคมไฟหน้าห้องน้ำ จากนั้นก็กลับห้องนอนของเขากับภรรยาที่อยู่ห้องถัดไป คั่นกลางด้วยห้องแต่งตัวที่ประตูทั้งสองห้องเชื่อมต่อกันได้ภูวิณยิ้มกริ่มเมื่อเปิดประตูห้องแต่งตัวเข้ามาก็เห็นภรรยากำลังสวมชุดนอนสีดำสายเดี่ยว ยิ่งขับผิวขาวนวลลออตา ชุดสั้นเหนือเข่ามาเกือบคืบ โชว์เรียวขาสวยที่เขามองไม่เคยเบื่อ ผมยาวดำขลับทิ้งสยายเต็มกลางหลังใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มกลับเห็นผิวขาวใสไร้รอยด่างดำ แม้จะออกไปช่วยงานในไร่บ่อยครั้ง สลับกลับไปทำงานในรีสอร์ต แต่อรองค์ก็ดูแลตัวเองอย่างดีอรองค์ในวัยสามสิบต้นๆ เหมือนเจ้าตัวเพิ่งเป็นสาวเต็มตัว มีเสน่ห์มากยิ่งกว่าเด็กสาวในวันวานทั้งรูปร่างที่ผอมเพรียว แต่ก็เฟิร์มไปทั้งเนื้อตัว ช่วงอกอวบอิ่มขึ้น ดวงตากว้างเป็นประกายรู้ทันเมื่อเห็นสายตาโลมเลียของเขา“เซ็กซี่จัง” ภูวิณเดินมาโอบกอดภรรยาจากด้านหลัง ซุกจมูกที่ลำคอระหง ก่อนย้ายไปยังซอกหู มือใหญ่นั้นเริ่มไล้เบาๆ ตั้งแต่โค้งสะโพก ผ่านชุดนอนเนื้อบางเบา ทำให้อรองค์วูบไหวจนร่างสะท้าน พร้อมครางเสียงแผ่วริมฝีปากอุ่น
ตอนพิเศษ “คุณแม่ขาหนูอยากปั่นจักรยานเล่นที่ไร่ค่ะ” เด็กหญิงอิงจันทร์ วัยสี่ขวบเอ่ยขึ้นในเวลาบ่ายวันหยุด กำลังกินของว่างกับแม่ในสวนข้างบ้านเด็กหญิงอิงจันทร์มีหน้าตาคล้ายแม่ค่อนข้างมาก ทั้งใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตาโตกว้างเป็นประกายสดใส ริมฝีปากจิ้มลิ้มได้รูป ผมสั้นเคลียหูและมีหน้าม้า ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นเหมือนตุ๊กตาเดินได้“งั้นกินนมให้หมดก่อนค่ะ เดี๋ยวแม่พาไป” เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กหญิงก็ยกแก้วนมที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วดื่มจนหมด“หมดแล้วค่ะ”“งั้นเราไปเปลี่ยนรองเท้าและใส่หมวกกันค่ะ” อรองค์ที่ตอนนี้อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ บอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลูกสาวตัวน้อยก็รีบลงจากเก้าอี้ แล้วเดินลิ่วเข้าไปในบ้านทันทีไม่กี่นาทีต่อมาสองแม่ลูกก็อยู่ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับการปั่นจักรยาน รองเท้าผ้าใบและหมวกกันน็อค“น้องเอิงคะ ป้าศรีถาม ค่ำนี้กินอะไรดี”“อ๋อ เอิงลืมบอก ตอนค่ำเอิงจะพาน้องอิงไปกินข้าวที่ รีสอร์ตกับพ่อเขาน่ะ”อรองค์หันมาบอกคำแพง ที่ตอนนี้รับหน้าที่หลักเป็นพี่เลี้ยงเด็กหญิงอิงจันทร์ ช่วยงานบ้านอื่นๆ ยามว่างเว้นจากการดูแลเด็กหญิง เช่นวันหยุดที่อรองค์ไม่ได้ทำงาน เธอก็จะดูแลลูกสาวเอง
บทส่งท้าย หกปีต่อมาที่ไร่ภูวิณในเวลาเช้าตรู่ อรอรงค์กำลังแต่งหน้าทำผมเสร็จ สวมใส่ชุดไทยประยุกต์สีครีม ส่งผลให้รูปร่างสูงเพรียวนั้นยิ่งหน้ามองเครื่องประดับน้อยชิ้น แต่ใบหน้าสวยที่แต่งแบบเรียบๆ กลับยิ่งโดดเด่นนัยน์ตาเรียวกว้างและคมหวานเป็นประกายมีชีวิตชีวา ริมฝีปากยิ้มแย้มอิ่มเต็มและเย้ายวนอยู่ในที“แกสวยมาก” มะเหมี่ยวเอ่ยปากชม“เหมือนนางฟ้าเลยแก” มัทนาชมบ้าง“ฉันเห็นเอิงใส่ชุดแต่งงานครั้งที่สองแล้วนะ ครั้งแรกแต่งแทนคนอื่น ตอนนั้นเอิงยังเด็กอยู่ก็สวยน่ารัก ตอนนี้ดูเป็นสาวเต็มตัว เฉิดฉายมากเลย ออร่าแบบพุ่งสุดๆ” อารียาเอ่ยชมด้วยสีหน้าสุดปลื้มปริ่มกับเพื่อนรัก ที่ตอนนี้เพิ่มสถานะอาสะใภ้เข้าไปด้วย“ครั้งนี้ต้องพิเศษสิ เพราะงานแต่งของฉันจริงๆ ไม่ได้แต่งแทนคนอื่น” อรองค์เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกว้าง ปลื้มกับคำชมของเพื่อนๆ จนจะลอยได้อยู่แล้ว“สรุป แกเป็นเจ้าสาวสองครั้งในชีวิตของอาวิณ”“ฉันถือครั้งนี้ คืองานแต่งของฉันจริงๆ”“เด็กๆ ไปข้างล่างกันเถอะ ได้กฤกษ์ทำพิธีแล้ว” อินทุอรโผล่หน้ามาบอกทุกคนในห้องแต่งตัวเมื่อลงมาถึงชั้นล่างที่สวนข้างบ้าน ก็เห็นเจ้าบ่าวยืนอยู่กับมัชกร และกลุ่มเพื่อนๆ เพื่อรอเ
“เราชอบอิ้งตั้งแต่ตอนมอต้น แต่เราไม่กล้าแม้จะคุยกับอิ้ง กลัวยัยน้อยหน่าแกล้งอิ้ง”“เราก็คิดว่าไม้ชอบเอิงเสียอีก”“ใครจะกล้าชอบ อิ้งบอกย้ำเราตลอดว่าเอิงจะเป็นเจ้าสาวของอาวิณของอิ้ง”“แฮะๆ ขอโทษนะ ตอนนั้นเรากลัวไม้ชอบเอิงน่ะ เลยบอกย้ำ” เธอสารภาพน้ำเสียงเขินๆ“ก็ตอนนั้นเราชอบอิ้งแล้ว จะชอบใครได้อีก”“แล้วทำไมไม่บอก ถ้าบอกตั้งแต่ตอนนั้นเราคงคบกันได้หลายปีแล้ว แล้วตอนนั้นไม้เหมือนสนใจเอิงด้วยนะ”“ก็สนใจ เพราะเอิงดูสู้คนไง”“เลยให้เอิงไปสู้กับยัยน้อยหน่าว่างั้นเถอะ”“อือ คิดว่าเอิงจัดการได้”“แต่เสียดาย น่าจะบอกกันบ้าง”“ถึงเราจะชอบอิ้ง แต่ก็ยังเด็ก และไม่แน่ใจว่าจะชอบต่อไปได้นานแค่ไหน”“งั้นตอนนี้ก็ยังชอบนะ”“ก็ชอบอยู่”“งั้นเรามาเป็นแฟนกันไหม” เพราะอย่างไรก็คบในฐานะเพื่อนมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักกันอะไรกันเพิ่มเติม“ได้ แต่อย่าเพิ่งบอกคนอื่นๆ ได้ไหม”“ทำไม อายเหรอที่จะเป็นแฟนกับเรา” น้ำเสียงมีแววน้อยเนื้อต่ำใจ“ถ้าอิ้งไม่กลัวพวกเขาแซวก็ตามใจอิ้งนะ”“งั้นปิดไว้ก่อนเหอะ แอบๆ คบกันก็น่าสนุกดีนะ” น้ำเสียงเธอร่าเริงขึ้นมาทันที“แต่อิ้งควรบอกผู้ใหญ่ของอิ้งก่อนนะ”“หมายถึงคุณแม่กับอาวิ
“จะไปไหน แต่งตัวซะสวยเชียว” อรองค์ถามขึ้นเมื่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ในโถงชั้นล่างพร้อมกินของว่างไปด้วย ก็เห็น อารียาใส่เดรสสีครีมดูอ่อนหวานนุ่มนวล แถมยังแต่งหน้าอ่อนๆ ให้ดูหวานละมุนเข้ากับชุดที่สวมใส่“ไปดูหนังกับไม้”“แกไปล่อลวงไม้ให้ไปดูหนังได้ด้วยเหรอ”“บ้า ล่อลวงอะไร ปกติไม้ก็ไปดูหนังกับฉันกับยัยเหมี่ยวบ่อยๆ” ส่วนอรองค์กับมัทนาไม่ชอบเข้าโรงหนัง รวมทั้งมัชกรด้วย แต่ทุกครั้งที่ชวนเขาก็ไม่เคยปฏิเสธ“ก็ไม้ไปเป็นเพื่อนแกกับยัยเหมี่ยวไง แต่ครั้งนี้เหมี่ยวไปด้วยหรือเปล่า”“ก็ชวนแล้ว แต่มันไม่ว่าง และฉันก็อยากดูหนังเรื่องนี้มาก” เจ้าตัวก็บอกชื่อภาพยนตร์ที่จะไปดู“มีแผนไรหรือเปล่าเนี่ย ชวนไม้ไปดูหนังผี แล้วตัวเองแต่งตัวเป็นนางฟ้า”“อุ๊ย ฉันสวยมากใช่ไหมแก” น้ำเสียงของอารียาร่าเริงขึ้นมาทันที“ไปถามป้าอินที่ร้านดูก่อนไหม”“บ้าสิ ขืนไปถาม แม่ก็ซักไซ้ว่าฉันแอบกิ๊กผู้ชายไม่บอกเขาน่ะสิ”“คิดว่าป้าอินจะไม่รู้เหรอ แกมองไม้ที โหหวานซึ้งตรึงใจไปถึงสามโลก”“เว่อร์น่า”“ไม่เชื่อก็ไปถามไอ้ไม้ดู”“แกว่าฉันควรถามตรงๆ เหรอ”“เออ จะอมพะนำไปทำไม ค้างๆ คาๆ”“งั้นฉันจะลองทำใจกล้าถามเขาดู”“แต่ก็ต้องเผื่อใจด้วยน
ชอบมาตั้งนาน อรองค์กับแก๊งเพื่อนสนิทนั่งอ่านข่าวเด่นข่าวดังด้วยความชื่นมื่นในร้านชาบู ซึ่งจองห้องวีไอพีเฉพาะพวกเขาเท่านั้นข่าวลูกชายนักการเมืองจัดปาร์ตี้ยาได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมค่อนข้างมาก ในคืนนั้นใครตรวจเจอฉี่ม่วงก็โดนกันไป เรียกว่าไม่มีใครรอดสักคน แต่คนที่หนักสุดคือดรีม เพราะเป็นถึงลูกชายนักการเมืองที่เป็นถึงระดับผู้ช่วยรัฐมนตรี แถมตำรวจเจอคลิปลับในโทรศัพท์ของอีกฝ่ายอีกหลายสิบคลิปในโซเซียลฯ ก็ถูกประจานสันดานเลวๆ ของดรีม ส่วนใหญ่ผู้หญิงออกมาพูดว่าดรีมชอบเอาคลิปลับมาขู่ให้ยอมมีเซ็กซ์ในครั้งต่อๆ ไป บางคนก็ถูกล่อลวง แอบถ่ายต่างๆ นานา เรียกว่างานนี้เรียกโจทย์ทั้งเก่าและใหม่มาทัวร์ลงเท่านั้นยังไม่พอทำพ่อเสียชื่อไปด้วย ได้ยินข่าวมาว่า ประกันตัวออกมาแล้ว ดรีมถูกพ่อส่งไปเมืองนอก เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามประสาคนรวย พอมีเรื่องก็อยู่เมืองไทยไม่ได้ เพราะกระแสจากสังคมตอนนี้แรงมากทางมหาวิทยาลัยก็สั่งพักการเรียนทุกคนในงานที่ตรวจเจอฉี่ม่วง รวมทั้งน้ำผึ้งด้วย ที่คืนนั้นแม้จะออกมาก่อนตำรวจจะมาถึง แต่อีกฝ่ายก็เป็นเจ้าของงานวันเกิด ถึงแม้คนที่เป็นเจ้าของปาร์ตี้ตัวจริงจะคือดร