ปุณณิศากลับมาถึงบ้านก็เกือบจะตีสามเพราะวันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวคนเยอะกว่าปกติ หญิงสาวอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาที่มารดาตื่นมาทำขนมพอดี
“ปุณ แม่ว่าหนูไปพักเถอะลูก ยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปุณช่วยแม่ก่อน เดี๋ยวค่อยนอนพักทีเดียวก็ได้ค่ะ” ปุณณิศาต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่อรในเวลาสิบโมงเช้าหลังจากช่วยมารดาเตรียมของเสร็จเธอก็ได้นอนพักอย่างน้อยก็สามชั่วโมง
“ไหวแน่นะลูก”
“ค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ งานร้านพี่อรไม่ได้หนักหนาอะไรเลยค่ะ”
“แล้วงานที่ไปทำกับกัญญาล่ะลูกเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีค่ะแม่ คืนหนึ่งได้เยอะเลยค่ะ อย่างเมื่อคืนปุณได้มาเกือบสี่พันเลยค่ะ นี่ยังไม่รวมเงินเดือนนะคะ”
“รายได้มันดีก็จริงแต่แม่กลัวสุขภาพเราจะแย่ไปด้วย ถ้าเปิดเทอมแม่ว่าจะให้หนูหยุดทำงานกลางคืนนะลูก”
“ปุณคุยกับเจ้าของร้านไว้แล้วค่ะแม่ ถ้าเปิดเทอมปุณไปแค่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ค่ะ”
“แม่นึกว่าเปิดเทอมจะหยุดทำงาน”
“หยุดทำไมล่ะคะแม่รายได้ดีขนาดนั้น ปุณว่าอีกไม่นานเราคงใช้หนี้เจ๊น้ำหมด ถ้ามีเงินเหลือจะได้ส่งให้ปั้นด้วย”
“เอาที่ตัวเองไหวนะปุณ”
“ค่ะ แม่ก็เหมือนกันนะคะ อย่าหักโหมมาก กลับมาจากตลาดแล้วนอนพักสักนิดแล้วค่อยทำขนมต่อก็ได้ค่ะ”
“ทำขนมมันไม่เหนื่อยอะไรเลย แค่ปวดหลังนิดหน่อยเอง”
“เดี๋ยวเย็นนี้ปุณนวดหลังให้แม่ก่อนไปทำงานดีไหมคะ”
“ก็ได้จ้ะ”
สองแม่ลูกช่วยกันทำขนมหวานจนเสร็จ จากนั้นปนัดดาก็จะเอาของทั้งหมดใส่รถจักรยานยนต์แบบพ่วงข้างไปขายที่ตลาด ส่วนปุณณิศาก็ปลุกน้องชายให้ลุกมาหุงข้าวก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปนอน
หญิงสาวตื่นนอนอีกครั้งในเวลาเก้าโมงเช้า ตอนนี้บนโต๊ะอาหารในห้องครัวมีผัดผักรวมกับแกงเทโพวางอยู่
“พี่ปุณเอาไข่เจียวเพิ่มไหม” ปุณณพัฒน์เพิ่งกลับมาจากตลาดถามพี่สาว เด็กหนุ่มจะตื่นนอนแล้วหุงข้าวทิ้งไว้ก่อนจะปั่นจักรยานไปช่วยมารดาขายของที่ตลาด ส่วนขากลับก็จะซื้อกับข้าวมาด้วย เป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำกันมานาน ถ้าเป็นช่วงปิดเทอมก็จะกลับมาสายหน่อย แต่ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมก็จะช่วยมารดาไม่นานเพราะต้องรีบมาทานข้าวและไปโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
“ไม่ล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว วันนี้ปั้นมีเรียนกี่โมง”
“สิบเอ็ดโมงครับพี่”
“เรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับอาจารย์ชมว่าปั้นหัวไว”
“อีกเดือนเดียวก็จะต้องไปเรียนแล้วตื่นเต้นไหม”
“ตื่นเต้นสิครับผมอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ แต่พอคิดอีกทีก็ไม่อยากไปเลย ผมคงคิดถึงแม่กับพี่ปุณมากๆ แน่เลย” เพราะตั้งแต่เกิดมาเขากับพี่สาวไม่เคยห่างกันนาน
“ท่องไว้ปั้น เพื่ออนาคต”
“ครับพี่ปุณ ถ้าผมเรียนจบผมจะเป็นคนหาเลี้ยงพี่ปุณกับแม่เอง ผมจะซื้อบ้านหลังใหม่พี่ว่าดีไหม”
“ดีสิ ได้ยินแบบนี้หายเหนื่อยเลย” ปุณณิศารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะที่เธอขยันทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้น้องชายได้ไปเรียนในสิ่งที่เขาชอบ
“พี่ปุณ กับแม่เหนื่อยเพื่อผมมามาก ผมสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนนะครับ”
สองพี่น้องนั่งทานข้าวโดยที่ไม่รอมารดาเพราะปกติแล้วปนัดดาจะทานข้าวแกงที่ร้านติดๆ กันก่อนกลับเสมอ
หลังทานอาหารเสร็จปุณณพัฒน์ก็ปั่นจักรยานไปช่วยมารดาเก็บร้านส่วนเธอก็เตรียมตัวไปทำงานที่ร้านกาแฟ
“พี่ปุณ พี่ปุณ”
“อ้าวปั้น ไหนว่าจะไปช่วยแม่เก็บร้านแล้วทำไม่วิ่งหน้าตื่นมาแบบนี้”
“แม่แย่แล้วพี่ปุณ แม่โดนรถชนตอนนี้รถกู้ภัยกำลังพาแม่ไปโรงพยาบาล”
“อะไรนะ แล้วแม่เป็นอะไรมากไหม แล้วไปโรงพยาบาลไหน”
“โรงพยาบาลหน้าตลาดครับ”
ทั้งสองคนรีบช่วยกันปิดบ้านจากนั้นปุณณพัฒน์ก็ปั่นจักรยานออกมาหน้าปากซอย
“พี่ว่าเอาจักรยานฝากร้านของชำไว้ก่อน นั่งวินไปไวกว่า”
“ครับพี่ไปก่อนเลยเดี๋ยวผมรีบตามไปนะครับ”
ปุณณิศามาถึงโรงพยาบาลที่อยู่หน้าตลาดแล้วรีบตรงไปยังห้องฉุกเฉินทันที
“คุณคะเข้าไม่ได้นะคะ” พนักงานที่อยู่ด้านหน้ารีบห้าม
“คือ ฉันมาหาแม่ค่ะ เขาบอกว่ารถกู้ภัยส่งมาที่นี่”
“ใช่คนไข้ที่ขี่รถพ่วงข้างไหมคะ”
“ใช่ค่ะ แม่ของฉันเป็นยังไงบ้างคะ”
“หมอกำลังช่วยอยู่ค่ะ ญาติรอด้านนอกก่อนนะคะ”
ปุณณิศาได้แต่ภาวะนาให้มารดาไม่เป็นอะไรมาก ระหว่างนั้นน้องชายของเธอก็ตามมาถึงพอดี
“พี่ปุณแม่เป็นยังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าหมอกำลังช่วยอยู่ ปั้นพี่ใจคอไม่ดีเลย”
ปุณณพัฒน์จับมือพี่สาวไว้แน่นขณะที่ตาก็จ้องไปยังประตูห้องฉุกเฉิน
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดที่นอนอยู่บนรถเข็น
“เดี๋ยวเราจะพาคนเจ็บไปห้องผ่าตัด ญาติช่วยเซ็นยินยอมด้วยนะคะ”
ปุณณิศารีบเข้าไปเซ็นชื่อย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าถ้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวมารดาของเธอจะเป็นอะไรไป
สองพี่น้องเดินตามรถเข็นที่มีร่างไร้สติของมารดามายังหน้าห้องผ่าตัด
“แม่ขา แม่อย่าเป็นอะไรนะคะ ปุณกับปั้นรอแม่อยู่นะคะ”
หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง เธอมองนาฬิกาเห็นว่าเกือบจะถึงเวลาเรียนของน้องชายก็รีบบอก
“ปั้น เดี๋ยวพี่จะอยู่กับแม่ที่นี่ ปั้นไปเรียนก่อนนะ”
“พี่ปุณ แม่เจ็บหนักขนาดนี้ปั้นไม่มีสมาธิเรียนหรอกนะครับ”
“ปั้นก็คิดสิว่าทำเพื่อแม่ เชื่อพี่นะ ถึงอยู่เราก็ช่วยอะไรแม่ไม่ได้”
“แต่ผมว่า...”
“ปั้น ถ้าแม่ตื่นมาแล้วรู้ว่าปั้นขาดเรียนเพราะเอาแต่เป็นห่วงแม่ แม่คงเสียใจ”
“ถ้าแม่ออกจากห้องผ่าตัดพี่ปุณต้องรีบโทรบอกผมเลยนะครับ”
“อือ พี่จะรีบโทรบอกเลย”
พอน้องชายไปแล้วปุณณิศาก็โทรไปลางานที่ร้านกาแฟ ก่อนจะกลับมานั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด หญิงสาวฟุบใบหน้าลงกับฝ่ามือ จากนั้นน้ำตาที่เก็บไว้มันก็ไหลอาบทั้งสองแก้ม
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมงมารดาก็ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัด เธอไม่รู้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ยังไงแล้วคู่กรณีอยู่ที่ไหน เพราะตอนมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่เห็นรถกู้ภัยแล้ว แต่ปุณณิศาไม่อยากเสียเวลาหาคนผิดเพราะตอนนี้สิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุดก็คืออาการของมารดา
ไฟเหนือประตูห้องผ่าตัดดับลงพร้อมกับประตูที่เปิดออกหญิงสาวรีบเข้าไปถามคุณหมอที่เดินออกมาด้วยความร้อนใจ
“หมอค่ะ แม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตอนนี้ปลอดภัยดีครับ แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะรู้สึกตัว ช่วงนี้คนไข้ต้องอยู่ในห้องไอซียูก่อนนะครับ”
“เวลาที่คุณหมอพูดถึงมันนานแค่ไหนคะ”
“แล้วแต่คนไข้ครับ บางคนก็ภายใน 24 ชั่วโมง บางคนก็อาจจะหลายวันหน่อย”
“หลายวันเหรอคะ”
“ครับ หมอพูดตามประสบการณ์ที่เจอ”
“หนูขอเขาไปเยี่ยมแม่ได้ไหม”
“ได้ครั้งละไม่เกิน 15 นาทีนะครับ ไปติดต่อพยาบาลก่อนเขาจะบอกเองว่าต้องทำยังไงบ้าง”
“ขอบคุณนะคะคุณหมอ”
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว