หลังผ่าตัดผ่านไปหนึ่งสัปดาห์มารดาของปุณณิศาก็ฟื้น แต่หมอก็ยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลเพราะจะต้องอยู่พักฟื้นต่ออีกจนกว่าจะมั่นใจว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อน
“แม่ขา ปุณดีใจมากที่แม่ตื่น” หญิงสาวจับมือมารดาแน่น เธอยิ้มทั้งน้ำตา
“ปั้นก็ดีใจครับแม่ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไหมครับ ปวดหัวไหม เวียนหัวไหมครับ”
“แม่ปวดหัวนิดหน่อยจ้ะ แม่นึกว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นหน้าลูกสองคนอีกแล้ว” ปนัดดาน้ำตาซึมเธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอด จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ยังมีสติได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ
“แม่นอนไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เลยค่ะ”
“ตายล่ะ แม่นอนไปนานขนาดนั้นแล้วค่ารักษาล่ะลูก แล้วนี่โรงพยาบาลเอกชนใช่ไหม” สีหน้าคนเจ็บซีดลงเพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินค่ารักษามาจากที่ไหน
“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ คู่กรณีเขามีประกันชั้นหนึ่ง เขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ”
“จริงเหรอปุณ”
“จริงสิคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลยค่ะ”
“ถึงเราจะไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแต่เราก็ขาดรายได้ แล้วรถแม่ล่ะ”
“ตอนนี้รถอยู่ที่อู่ซ่อมค่ะแม่”
“มันซ่อมใช่ไหม” ปนัดดาเป็นห่วงเพราะถ้าไม่มีรถพ่วงข้างเธอก็จะไปตลาดลำบาก
“ได้ค่ะ รถไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงช่วงนี้ก็พักผ่อนให้หายดีก่อน”
“แล้วแม่ไม่อยู่ เราสองคนทำอะไรกันบ้างเล่าให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
หลังจากคุยกับมารดาได้จนถึงเย็นปุณณิศาก็ขอตัวกลับบ้านเพราะเย็นนี้เธอยังต้องไปทำงานที่ผับ
“ปั้นจะกลับไปเอาของที่บ้านก่อนไหม”
“ไม่เป็นไรครับพี่ปุณ ปั้นค่อยไปเอาพรุ่งนี้ก่อนไปเรียนก็ได้ แล้วพี่ปุณล่ะครับ เลิกงานแล้วจะมาที่นี่หรือกลับไปนอนที่บ้าน”
“พี่จะไปนอนที่บ้าน ไม่อยากให้แม่ตื่นกลางดึก แล้วพรุ่งนี้เช้าพี่จะรีบมาแต่เช้า”
“ไม่ต้องรีบมาก็ได้นะปุณ แม่อยู่คนเดียวได้หนูนอนพักให้เต็มที่ ตอนเที่ยงค่อยมาหาแม่ก็ได้”
“ถ้างั้นปุณตื่นตอนไหนก็มาหาแม่ตอนนั้นดีไหมคะ”
“จ้ะลูก ดูแลตัวเองด้วยนะ อยู่คนเดียวก็ปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยนะลูก”
“ค่ะแม่”
ปุณณิศาออกจากห้องมารดาก็ตรงไปยังแผนกการเงินเพื่อสอบถามค่ารักษาพยาบาลอีกครั้ง เพราะตอนเที่ยงวันนี้เธอได้รับสายจากแผนกการเงินให้เข้ามาติดต่อเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกิน
ใบหน้าสวยซีดลงทันทีเมื่อเห็นว่าค่าใช้จ่ายมันมากกว่าที่เธอคิดไวมาก
“ทำไมมันเยอะจังล่ะคะ ไหนว่าคู่กรณีรับผิดชอบไงคะ”
“ค่าใช้จ่ายจริงๆ มันคือแปดแสนกว่านะคะ เบิกประกันของคู่กรณีแล้วก็เหลือยอดที่ต้องจ่ายเพิ่มประมาณอีกประมาณแสนกว่าบาทคู่กรณีจ่ายส่วนต่างให้ครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งคุณต้องชำระเองค่ะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินบอก
“ถ้าหนูไม่มีเงินจ่ายล่ะคะ”
“ทางโรงพยาบาลมีส่วนลดให้สิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกจ่ายทั้งหมดก็ทำเรื่องผ่อนกับทางโรงพยาบาลเป็นงวดได้ แต่ก็จะมีดอกเบี้ยที่เพิ่มเข้ามา หรือจะไปกู้เงินก็ได้นะคะ มันมีโครงการกู้เงินเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลอยู่หลายธนาคาร”
“แต่หนูยังเรียนอยู่ เขาจะให้กู้เหรอคะ”
“ต้องลองไปคุยกับเขาก่อนค่ะ อาจจะต้องใช้หลักทรัพย์อย่างอื่นมาค้ำ เช่นพวกบ้าน รถ หรือไม่ก็ที่ดินค่ะ น้องลองไปติดต่อดูนะคะ พี่ก็ไม่แน่ใจ”
“หนูมีเวลาถึงตอนไหนคะ”
“ก่อนที่คนไข้จะออกจากโรงพยาบาลค่ะ”
“แล้วค่าใช้จ่ายจะเพิ่มจากนี้ไหมคะ”
“ที่แจ้งไว้ตอนนี้คือคำนวณถึงวันที่คนไข้ต้องออกจากโรงพยาบาลค่ะ บวกลบจากนี้เกินหนึ่งหมื่น แต่ถ้าออกช้ากว่าที่กำหนดก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม คืนหนึ่งก็ประมาณห้าพันค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ แล้วหนูจะรีบหาเงินมาชำระค่ะ” ปุณณิศาแทบไม่มีแรงเดิน เงินส่วนต่างอีกหกหมื่นกว่าบาทเธอจะไปหามาจากที่ไหน ตอนนี้เงินสดที่เธอมีเหลืออยู่ประมาณสองหมื่น กะเอาไว้ว่าถ้าได้ครบสามหมื่นจะเอาทั้งหมดให้น้องชายเพื่อเป็นเงินติดตัวไปเรียน แต่ตอนนี้มันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้แล้ว
ทั้งค่ารักษาของมารดา ค่าดอกเบี้ยที่ต้องส่งให้กับเจ๊น้ำอีก เธอจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นจากไหนภายในเวลาแค่ไม่กี่วัน ถ้าจะเบิกเงินเดือนล่วงหน้ามันก็ได้เพิ่มมาแค่หมื่นกว่าบาทรวมกับที่ได้จากการเชียร์แขกในแต่ละคืนแล้วมันก็ยังไม่พออยู่ดี
ปุณณิศามาขอเบิกเงินล่วงหน้ากับเมคินและบอกถึงความจำเป็นที่เธอต้องใช้เงิน เมคินเห็นใจเธออยู่มากเขาให้เธอเบิกเงินล่วงหน้าสองเดือน แม้ว่าใจจริงอยากช่วยมากกว่านั้นแต่เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงสิ้นเดือน เขายังมีพนักงานอีกหลายคนที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้
“คุณเมคินคะ ถ้าปุณจะไปนั่งในตู้นั้นได้ไหมคะ”
“คิดให้ดีนะปุณ” เขาไม่อยากเด็กดีอย่างปุณณิศาไปทำงานแบบนั้น แต่ก็ช่วยเธอได้ไม่เต็มที่
“ปุณคิดดีแล้วค่ะ แต่ปุณจะทำแค่ครั้งเดียว เป็นไปได้ไหมคะถ้าปุณจะเรียกเงินห้าหมื่น”
“มันอยู่ที่ความพอใจของแขกว่าเขาจะยอมจ่ายไหม”
“มีคนเคยเรียกสูงสุดเท่าไหร่คะ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ แต่น้องเขามีคนรู้จักเยอะเพราะเคยเป็นพริตตี้มาก่อน พอมีคนรู้ว่าเธอจะมาทำงานแบบนั้น พวกเสี่ยทั้งหลายก็เลยแย่งกันจ่าย”
“แต่หนูไม่มีใครรู้จักเลย จะมีใครยอมจ่ายไหม”
“ก็ต้องลองเสี่ยงดูนะ คืนนี้เป็นคืนวันเสาร์แขกก็จะเยอะหน่อย ถ้าปุณตัดสินใจดีแล้วก็ไปเปลี่ยนชุด ใจจริงพี่ไม่อยากให้เราทำงานแบบนั้นเลย แต่พี่ก็ช่วยได้เท่านี้จริงๆ นะ” เมคินเองก็จนใจ
“ค่ะ ปุณจะไปเปลี่ยนชุดแล้วก็ติดเบอร์”
พอปุณณิศาเดินออกไปแล้ว เมคินก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ชานนท์กำลังต้องการจ้างใครสักคนมาแสดงเป็นแฟนของเขา ถ้าเพื่อนของเขาจ้างปุณณิศาเธอก็คงได้เงินจำนวนมากพอที่จะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล
เขากดโทรออกหาเพื่อนเป็นครั้งที่สามแต่เพื่อนตัวดีก็ไม่ยอมรับสายจึงได้ทิ้งข้อความไว้ เมคินหวังว่าชานนท์จะอ่านข้อความและมาที่ร้านก่อนที่จะมีเสี่ยใจป้ำคนไหนมาหิ้วปุณณิศาออกไปจากร้านเสียก่อน
“สันติ ถ้าคืนนี้เสี่ยบรรจงมาให้รีบพาขึ้นไปชั้นสองเลยนะ อย่าให้เข้าเฉียดไปที่ด้านนั้นอย่างเด็ดขาด”
“วันนี้มีเด็กมาใหม่เหรอครับ”
“อือ แต่พี่ยังไม่อยากให้เสี่ยเห็น”
“ทำไมล่ะครับ ปกติเวลามีใหม่เสี่ยแกก็จ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว”
“ก็คนนี้ไม่เหมือนคนอื่น”
“ครับ”
“อ้อ แล้วก็บอกคนเชียร์แขกด้วยว่า ห้ามเชียร์เด็กใหม่เบอร์ตองให้ใครเด็ดขาด”
สันติมองหน้าเจ้าของร้านอย่างสงสัย เพราะถ้ามีเด็กใหม่เข้ามาก็ต้องรีบเชียร์ให้แขก แต่วันนี้เจ้านายของเขามาแปลกกว่าทุกวัน
เมคินสั่งลูกน้องแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาถ่วงเวลาได้มากสุดก็แค่นี้ครั้นจะจ่ายให้เธอไปก่อนแล้วมาเก็บกับเพื่อนทีหลังเขาก็กลัวว่าชานนท์จะจ้างคนอื่นไปแล้ว
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว