LOGINมู่ตานยังคงนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองในห้องของหลี่เฉียง นางจ้องมองแววตาที่เย็นชาและล้ำลึกของตนเองในนั้น ราวกับกำลังทำความรู้จักกับสตรีแปลกหน้าที่เกิดใหม่จากกองเถ้าถ่าน
นางนั่งอยู่อย่างนั้นนานเท่าใดมิอาจทราบได้จนกระทั่งเสียงประตูห้องถูกเปิดออก ร่างของ จางมามปรากฏขึ้นที่ทางเข้า ใบหน้าของหญิงชรายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นเดิม นางปรายตามองมู่ตานที่บัดนี้แต่งกายเรียบร้อยแล้ว ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“กลับเรือนของเจ้าได้แล้ว” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ก่อนจะหันหลังเดินนำไป
มู่ตานบังคับกายที่เจ็บระบมให้ลุกขึ้นยืน แผ่นหลังตั้งตรง นางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วก้าวตามออกไป
การเดินทางกลับไปยังเรือนไผ่เร้นในยามเช้าตรู่คือความอัปยศที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกคมดาบกรีดร่าง แสงตะวันยามเช้าได้สาดส่องไปทั่วจวนแล้ว บ่าวไพร่ที่เริ่มตื่นขึ้นมาทำงานตามลานกว้างต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นนาง....องค์หญิงเชลย เดินออกมาจากเรือนพักของท่านแม่ทัพใหญ่ในยามรุ่งสางด้วยสภาพที่บอบช้ำ ทุกสายตาที่ลอบมองมาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสมเพช และแววตาเหยียดหยามที่ซ่อนเร้นอยู่จาง ๆ
นางคือองค์หญิงเชลยที่เพิ่งถูกย่ำยีโดยผู้เป็นนาย
มู่ตานกัดริมฝีปากล่างจนแน่น บังคับให้ตนเองเงยหน้าขึ้น สบตาทุกคู่ที่มองมาด้วยแววตาที่เย็นชาและทระนงเช่นเดิม นางจะไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น จะไม่ยอมให้ใครได้สมเพชเวทนา
เมื่อกลับมาถึงเรือนไผ่เร้นและประตูไม้ถูกปิดลงกั้นนางออกจากโลกภายนอกและขังนางไว้ในกรงของตนเองอีกครั้ง มู่ตานใช้เวลาที่เหลืออยู่ในความเงียบงัน นางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งซึ่งหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่า แผ่นหลังตั้งตรงสง่าแม้จะเจ็บระบมไปทั่วทั้งร่าง นางไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้คร่ำครวญ นางเพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นการรวบรวมสติและสร้างเกราะป้องกันแห่งใจขึ้นมาใหม่ทีละชั้น ๆ ราวกับช่างตีเหล็กที่กำลังเผาและทุบโลหะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อสร้างดาบที่แข็งแกร่งที่สุด
ความอัปยศและความเจ็บปวดจากเมื่อคืนคือเปลวไฟ ส่วนความนิ่งสงบในขณะนี้คือน้ำเย็นที่ใช้ชุบเหล็กให้แข็งกล้า
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดนางมิอาจทราบได้ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูที่แผ่วเบาดังขึ้นทำลายความเงียบ เสี่ยวเหลียนก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวังที่สุด ในมือนางถือถาดอาหารเล็ก ๆ ที่มีเพียงถ้วยข้าวต้มร้อน ๆ หนึ่งถ้วย ไข่เค็มครึ่งซีก และผักดองอีกเล็กน้อย กลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวต้มลอยมาแตะจมูก กระตุ้นกระเพาะที่ว่างเปล่าของมู่ตานให้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าอาย
แต่ภาพของอาหารที่เรียบง่ายนั้นเอง ที่กลับกระแทกความทรงจำอันหรูหราให้หวนกลับมาทำร้ายนางอีกครั้งอย่างรุนแรง...
...โต๊ะไม้จันทน์หอมตัวยาวในห้องเสวยส่วนพระองค์ บนโต๊ะนั้นเรียงรายไปด้วยเครื่องเสวยสำหรับมื้อเช้าไม่ต่ำกว่าสามสิบอย่าง เสด็จพ่อของนางจะประทับอยู่ที่หัวโต๊ะเสมอ พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น
“กินเยอะ ๆ เถิดมู่ตาน...”
ภาพในอดีตเลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยถ้วยกระเบื้องสีขาวธรรมดา ๆ ในเรืองพักของเชลย ความแตกต่างนั้นช่างโหดร้ายจนทำให้นางเจ็บปวดเสียดยิ่งกว่าบาดแผลใด ๆ บนร่างกาย
“องค์หญิงทานอะไรสักหน่อยนะเจ้าคะ” เสียงของเสี่ยวเหลียนสั่นเทาเล็กน้อย นางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบาที่สุด
มู่ตานละสายตาจากความว่างเปล่าหันมามองถ้วยข้าวต้ม นางรู้ดีว่านางต้องกิน ร่างกายนี้คืออาวุธเพียงชิ้นเดียวที่นางเหลืออยู่ หากมันล้มป่วยหรืออ่อนแอลง นางก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้หรือแก้แค้นได้อีกต่อไป
นางจึงหยิบช้อนขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แล้วเริ่มตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเงียบ ๆ รสชาติของมันจืดชืด แต่มันคืออาหารที่ให้พลังงาน คืออาหารของคนที่ต้องสู้รบเพื่อเอาชีวิตรอด
ขณะที่นางกำลังทานอาหาร นางก็ลอบสังเกตเสี่ยวเหลียนไปด้วย เด็กสาวคนนี้ยืนตัวลีบอยู่ที่มุมห้อง ไม่กล้าขยับไปไหน รอคอยคำสั่งอย่างนอบน้อม มู่ตานจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นเดินหมากตาแรกของนาง
“ที่นี่อาหารเป็นเช่นนี้ทุกมื้อรึ” นางเอ่ยถามขึ้นลอย ๆ น้ำเสียงยังคงแหบแห้งแต่ก็ชัดเจน
เสี่ยวเหลียนสะดุ้งเล็กน้อย นางก้มหน้าต่ำลงไปอีก “เอ่อ...เจ้าค่ะองค์หญิง ที่จวนแม่ทัพทุกคนจะทานอาหารที่เรียบง่ายเน้นให้ท้องอิ่มเพคะ”
“รวมถึงนายของเจ้าทั้งสองด้วยรึ”
คำถามนั้นทำให้เสี่ยวเหลียนหน้าซีดเผือด นางส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “บะ...บ่าวไม่กล้ากล่าวถึงท่านแม่ทัพกับท่านอิงเฟิงเพคะองค์หญิง! บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ!”
มู่ตานพยักหน้ารับช้า ๆ นางได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ความหวาดกลัวที่ฝังรากลึกในใจของบ่าวไพร่คือเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของสองพี่น้อง
เขาช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้ววางลงบนตั่งเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าที่เปราะบางที่สุด เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะแพรหนานุ่ม มู่ตานก็ปลดเปลื้องความแข็งกร้าวทิ้งไป เหลือไว้เพียงจริตมารยาที่นางจงใจปรุงแต่งขึ้นมาลวงล่อ นางปรือตาขึ้นมองพญาอินทรีย์ด้วยแววตาที่ฉ่ำหวานระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจสั่นพร่ายามที่อิงเฟิงโน้มกายลงมาทาบทับ “ท่านช่างงดงามจนข้ามิอาจละสายตา” เสียงกระซิบของเขาพร่าเลือนชิดใบหู ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะเริ่มประทับตราลงบนซอกคอขาวผ่อง มันมิใช่การขบกัดที่ดุดัน แต่เป็นการดูดดึงและเล็มเลียอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นของเขาตวัดไล้ไปตามชีพจรที่เต้นตุบ ๆ ของนาง ลากไล้ต่ำลงมายังเนินอกอวบอิ่ม “อื้อ...ท่านอิงเฟ
พวกเขาเดินหมากกันไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปหลายสิบตามีเพียงเสียงหมากกระทบกระดานไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ บรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งแม่ทัพสองนายกำลังบัญชาการรบอยู่ในกระโจมกลางสมรภูมิ จนกระทั่งมู่ตานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางวางหมากดำเม็ดหนึ่งลงไปในตำแหน่งที่ดูประหนึ่งการฆ่าตัวตาย เป็นการเดินหมากที่บุกทะลวงเข้าไปในใจกลางวงล้อมศัตรูอย่างหุนหันพลันแล่น แววตาของอิงเฟิงทอประกายวูบหนึ่ง “เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญยิ่งนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน การบุกทะลวงเข้าไปในแดนศัตรูโดยไร้ทัพหนุนเปรียบเสมือนการส่งทหารไปตายโดยเปล่าประโยชน์” “บางครา...” มู่ตานตอบกลับเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาน “การสร้างความปั่นป่วนในใจกลางทัพของศัตรู แม้จักต้องสูญเสียไพร่พลไปบ้าง ก็อาจจะสามารถเปิดช่องทางรอดใหม่ที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนได้”&n
ความมืดมิดและความเงียบงันภายในเรือนไผ่เร้นนั้นหนักอึ้งดุจผืนผ้ากำมะหยี่สีนิลที่กดทับลงมาบนร่างระหง แสงเทียนไขบนโต๊ะเตี้ยสั่นไหววูบวาบทุกคราที่สายลมหนาวเล็ดลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามา ส่งผลให้เงาของนางที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่งไม้ทอดยาวบิดเบี้ยวไปบนผนัง ราวกับเป็นเงาของภูตพรายที่กำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่ง มู่ตานนั่งอยู่ในท่วงท่านี้มานานนับชั่วยามแล้ว นานจนร่างกายเริ่มชาหนึบ ทว่าสติสัมปชัญญะกลับตื่นตัวและเฉียบคมถึงขีดสุด ในห้วงความคิด นางกำลังซ้อมรบในสมรภูมิแห่งวาจา ทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินตนาการถึงทุกหมากที่พญาเหยี่ยวอาจจะเดิน เตรียมถ้อยคำโต้ตอบสำหรับทุกคำถามที่เขาอาจจะเอ่ย และตอกย้ำปณิธานของตนให้แข็งแกร่งดุจกำแพงเมืองที่หล่อหลอมจากเหล็กกล้า นางจักมิยอมให้มายาภาพจากราตรีก่อนกลับมาบดบังสติปัญญาได้อีก นางรู้แจ้งแก่ใจว่าความอ่อนโยนนั้นเป็นเพ
จุดอ่อนของเขายังไม่ปรากฏแน่ชัด เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเพียงเอาชนะพี่ชาย หรือเขามีความรู้สึกเสน่หาต่อนางจริง ๆ หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวงซ้อนกลเพื่อเป้าหมายอื่นที่นางยังมองไม่เห็น ความไม่รู้นี้เปรียบเสมือนการเดินปิดตาอยู่ริมหน้าผา ‘ต้องระวังตัวให้ถึงที่สุด...’ นางย้ำเตือนตนเอง ‘ต้องไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริง ต้องเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนเล่ห์เหลี่ยมของเขากลับไป ต้องเร่งค้นหาเจตจำนงที่แท้จริงของเขาให้พบ และที่สำคัญที่สุด ต้องก่อกำแพงปกป้องสติของตนให้แข็งแกร่ง อย่าได้หลงกลไปกับความสะดวกสบายและความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาหยิบยื่นให้ จงตระหนักเสมอว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคือยาพิษรสหวาน ที่มุ่งหมายจะกัดกร่อนเขี้ยวเล็บและความระแวดระวังของนางให้ทื่อลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นคมดาบที่สังหารนางได้เลือดเย็นกว่าพละกำลังของหลี่เฉียงเสียอีก’ และท้ายที่สุด หมากสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่วางอย
การเดินทางกลับจากเรือนของหลี่เฉียงในรุ่งอรุณครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แม้ร่างกายทุกส่วนจะยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระบมไม่ต่างกัน แต่จิตใจของนางนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มู่ตานก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่เย็นเฉียบด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและสงบนิ่ง นางไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนอีกต่อไป แต่กลับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นไหว สายลมยามเช้าที่พัดมาปะทะร่างทำให้ชายแขนเสื้อที่กว้างของนางปลิวไสวไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ข้อมือ ร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่บัดนี้นางมองมันไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ของความอัปยศ แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความแค้นที่ต้องชำระ นางสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นอย่างน่าประหลาด นางเห็นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำการณ์อยู่ไกล ๆ ที่มองมายังนางเปลี่ยนไป ความเหยียดหยามในวันแรก ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและอาจจะมีความ
ทว่าเนิ่นนานไปขณะที่เขายังคงครอบครองเรือนร่างอันอ่อนระทวยนั้น โทสะที่เคยลุกโชนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น ความอยากเอาชนะเริ่มจางหาย เหลือเพียงความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่มืดมิดและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว สติสัมปชัญญะของแม่ทัพผู้ต้องการเอาชนะกำลังถูกกลืนกินโดยสัญชาตญาณของบุรุษ เขาลืมเลือนการต่อสู้ ลืมเลือนกำแพงที่นางสร้าง รับรู้เพียงความนุ่มลื่นของผิวเนื้อภายใต้ฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ ของนางที่ผสมกับกลิ่นสุรา และร่างกายที่ตอบสนองเขาอย่างไม่เต็มใจ จังหวะของเขาเริ่มเปลี่ยนไป จากการลงทัณฑ์ที่เกรี้ยวกราดกลายเป็นการแสวงหาที่ลึกซึ้งและไม่รู้จักพอ มู่ตานผู้ซึ่งบัดนี้เป้าหมายได้เปลี่ยนไปแล้วไม่ได้พยายามจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่นางกำลังเฝ้ารอ อดทนรอคอยให้พายุลูกนี้พัดผ่านไป&n







