Home / รักโบราณ / เชลยรักสองพยัคฆ์ / บทที่ 5 รุ่งอรุณแห่งเถ้าถ่าน

Share

บทที่ 5 รุ่งอรุณแห่งเถ้าถ่าน

last update Last Updated: 2025-12-04 01:33:11

          แสงสีเทาซีดของรุ่งอรุณค่อย ๆ ทอดลำ ผ่านช่องหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดสนิท ตัดผ่านความมืดอันเย็นเยียบภายในห้องอย่างเชื่องช้า ก่อนจะทาบทับลงบนเปลือกตาที่บอบช้ำของมู่ตาน แต่ทว่าสิ่งที่ปลุกนางให้ตื่นจากห้วงฝันร้ายที่ไร้ภาพ กลับไม่ใช่แสงสว่าง หากแต่เป็นความเจ็บปวด

          มันเริ่มต้นขึ้นอย่างช้า ๆ ความปวดเมื่อยที่หนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่วางทับอยู่ทุกส่วนของร่างกาย ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวที่ชัดเจนขึ้นในทุกอณูของกล้ามเนื้อ นางรู้สึกถึงความระบมที่หัวไหล่ข้างซ้ายราวกับมันจะหลุดออกจากบ่า ความปวดหนึบที่สะโพก และความเจ็บแสบที่ต้นขาด้านใน ความรู้สึกแปลกปลอมและถูกย่ำยีที่อยู่ใจกลางกายของนางนั้นชัดเจนจนน่าสะอิดสะเอียน และมันคือสิ่งที่ตอกย้ำว่าค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ใช่เพียงแค่ฝันร้าย แต่มันคือความจริง

          นางยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เปลือกตาหนักอึ้งราวกับมีเหล็กถ่วงไว้ กลิ่นของสุรา กลิ่นเหงื่อไคล และกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ของบุรุษผู้นั้นยังคงอบอวลอยู่บนผ้าห่มขนสัตว์ที่หยาบกระด้างและบนผิวหนังของนางเอง มันเป็นกลิ่นแห่งความพ่ายแพ้และความอัปยศที่นางอยากจะหนีไปให้ไกลแสนไกล

          ความทรงจำจากยามค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถมกลับเข้ามาในหัวอย่างบ้าคลั่ง ทั้งสัมผัสที่จาบจ้วง คำพูดที่เหยียดหยาม และร่างกายที่ถูกบังคับให้รองรับแรงอารมณ์อันดิบเถื่อน

          ความว่างเปล่าเข้าเกาะกุมหัวใจของนางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ว่างเปล่าจนรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก

          นี่น่ะหรือคือชะตากรรมขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ นี่น่ะหรือคือจุดจบของสายเลือดแห่งอวิ๋นฮวา ความคิดที่จะปล่อยให้ทุกอย่างจบสิ้นลงตรงนี้ที่จะหลับตาลงแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยมันช่างหอมหวานและเย้ายวนเหลือเกิน

          แต่แล้วท่ามกลางความมืดมิดในจิตใจนั้นเอง ประกายไฟเล็ก ๆ ก็ถูกจุดขึ้น ประกายไฟที่เรียกว่าสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด นางยังตายไม่ได้ นางจะตายในฐานะเชลยผู้ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีในจวนของศัตรูไม่ได้เป็นอันขาด หากจะตาย ก็ต้องตายอย่างทระนงในสนามรบแห่งการแก้แค้น!

          ความคิดนั้นเองที่ทำให้นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ค่อย ๆ พยุงกายที่บอบช้ำให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ทุกการเคลื่อนไหวสร้างความเจ็บปวดจนนางต้องกัดฟันกรอด เสียงลมหายใจของนางหอบกระเส่าอยู่ในความเงียบของห้องกว้าง

          แอ๊ด...

          เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาทำให้นางสะดุ้งสุดตัว ร่างเล็กของเสี่ยวเหลียนก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบที่สุด ในมือของนางถืออ่างทองเหลืองใบเล็กและผ้าสะอาด เมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นสภาพของมู่ตานที่นั่งอยู่บนเตียง เห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยรอยแดงช้ำซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มออกมา และเห็นร่องรอยความป่าเถื่อนบนผ้าปูที่นอน ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างสุดขีด นางรีบก้มหน้าลงต่ำทันที ตัวสั่นเทาราวกับลูกนกที่ต้องลมหนาว

          มู่ตานมองภาพนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า นางเข้าใจได้ในทันทีว่าค่ำคืนเช่นนี้คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในจวนแห่งนี้ ความหวาดกลัวของบ่าวไพร่คือเครื่องพิสูจน์ความโหดเหี้ยมของผู้เป็นนายได้ดีที่สุด

          นางพยายามรวบรวมสติและวิเคราะห์สถานการณ์ นางต้องเริ่มต้นจากจุดที่เล็กที่สุด ต้องหาข้อมูล และต้องหาพันธมิตร แม้จะเป็นเพียงเด็กสาวรับใช้ที่ขี้ขลาดก็ตาม

          “น้ำ...”

          เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอของนางแหบพร่าและเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เสี่ยวเหลียนสะดุ้งอีกครั้ง เด็กสาวรีบพยักหน้ารับอย่างลนลาน วางอ่างน้ำในมือลงแล้ววิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก นางก็กลับมาพร้อมกับกาน้ำชาและถ้วยใบเล็ก

          มู่ตานรับถ้วยชามาถือไว้ด้วยสองมือที่สั่นเทา ความอุ่นจากถ้วยชากระเบื้องช่วยเรียกสติของนางให้กลับมาได้บ้าง นางค่อย ๆ จิบชาร้อนลงคออย่างเชื่องช้า พลางลอบสังเกตท่าทีของเสี่ยวเหลียนไปด้วย ในแววตาที่หลุบต่ำของเด็กสาวคนนั้น นอกจากความกลัวแล้วนางยังมองเห็นความสงสารเจืออยู่จาง ๆ นั่นคือสิ่งดี ความสงสารสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความภักดีได้ หากนางเดินหมากอย่างถูกต้อง

          ภาพของเสี่ยวเหลียนที่คอยปรนนิบัติอย่างเงียบ ๆ นั้นเอง ที่กระแทกความทรงจำอันแสนเจ็บปวดให้หวนคืนมา

          ...แสงอาทิตย์ยามเช้าที่อบอุ่นส่องผ่านม่านไหมเนื้อบางเข้ามาในห้องบรรทม กลิ่นหอมของดอกม่อลี่ที่ลอยมาจากอุทยานหลวงเคล้ากับกลิ่นกำยานจาง ๆ

         “องค์หญิงเพค ตื่นได้แล้วนะเพคะ เดี๋ยวก็เสด็จไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทสายหรอก” เสียงหวานใสของชุนฮวา นางกำนัลคนสนิทดังขึ้นข้างพระแท่น พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของเหล่านางกำนัลคนอื่น ๆ

         มู่ตานในวัยสิบเจ็ดชันษาค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย ชุนฮวาจะรีบเข้ามาประคองแล้วยื่นชาน้ำผึ้งอุ่น ๆ ให้จิบเป็นอันดับแรก จากนั้นนางกำนัลคนอื่น ๆ ก็จะเข้ามาช่วยกันปรนนิบัติ ทั้งหวีผมที่ยาวสลวยให้ เลือกอาภรณ์ผ้าไหมปักลายงดงาม และประทินโฉมด้วยเครื่องหอมที่ดีที่สุด บรรยากาศในห้องบรรทมของนางเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอันสดใส มันคือความอบอุ่น ความปลอดภัย และความรักที่นางได้รับมาตลอดชีวิต...

          ความทรงจำอันแสนหวานตัดกลับมาสู่ความจริงอันโหดร้ายอย่างรุนแรงจนนางแทบหยุดหายใจ ความแตกต่างระหว่างวันนั้นกับวันนี้มันช่างมากมายราวฟ้ากับเหว น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตาอีกครั้ง แต่นางก็รีบข่มมันกลับลงไปอย่างรวดเร็ว เวลาแห่งการร้องไห้ได้จบลงแล้ว

          “ข้าต้องการอาบน้ำ” นางกล่าวกับเสี่ยวเหลียน เสียงของนางเริ่มกลับมามั่นคงขึ้นเล็กน้อย

          เสี่ยวเหลียนรีบพยักหน้ารับแล้ววิ่งวุ่นไปเตรียมน้ำอาบในห้องที่อยู่ติดกัน ไม่นานนัก ไอร้อนกรุ่นก็ลอยออกมา มู่ตานค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล ทุกย่างก้าวสร้างความเจ็บปวดจนต้องกัดฟันแน่น นางคว้าผ้าห่มขนสัตว์ที่หยาบกระด้างผืนนั้น ผืนที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นของเขา ขึ้นมาพันรอบกายที่สั่นเทาของตนเองไว้แน่น แล้วเดินเข้าไปในห้องชำระกาย ทิ้งให้เสี่ยวเหลียนยืนรออยู่ด้านนอก

         นางปล่อยให้ผ้าห่มผืนนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างรังเกียจ แล้วก้าวลงไปในถังไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อนผสมสมุนไพร

          นางจ้องมองร่างกายของตนเองใต้น้ำที่ใสสะอาด รอยจ้ำสีแดงอมม่วงปรากฏอยู่ทั่วทุกแห่งหน ราวกับภาพวาดอันน่ารังเกียจที่ถูกแต่งแต้มโดยปีศาจร้าย นางค่อย ๆ ใช้ผ้าขัดถูร่างกายของตนเองอย่างเชื่องช้าครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับจะขจัดทุกร่องรอยสัมผัสของเขาออกไปให้หมดสิ้น แต่ลึกลงไปนางรู้ดี ความอัปยศนี้ได้ฝังลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ และไม่มีน้ำใดในโลกที่จะชำระล้างมันออกไปได้

          ขณะที่แช่อยู่ในน้ำนั้นเอง ท่ามกลางไอร้อนที่อบอวลอยู่รอบกาย ความโศกเศร้าของนางก็ค่อย ๆ ถูกหลอมละลายแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น มันคือความเยือกเย็นความนิ่งสงบอันน่าประหลาดที่เข้ามาแทนที่ความสับสนวุ่นวาย ความเจ็บปวดทางกายช่วยปลุกสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดของนางให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ไฟแค้นที่เคยลุกโชนอยู่ในใจอย่างสะเปะสะปะ บัดนี้ได้ถูกความเจ็บปวดและความอัปยศหลอมรวมให้กลายเป็นเหล็กกล้าอันแหลมคม

          นางจะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป นางจะเป็นผู้ล่า

          หลังจากใช้เวลาอยู่ในห้องชำระกายยาวนานจนน้ำเริ่มเย็น มู่ตานก็ก้าวออกมา นางเช็ดตัวแล้วสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีซีดที่เสี่ยวเหลียนเตรียมไว้ให้อย่างเชื่องช้า นางเดินไปนั่งลงหน้าคันฉ่องทองเหลืองที่ขุ่นมัว แล้วหยิบหวีไม้ขึ้นมาสางผมที่พันกันยุ่งเหยิงของตนเองอย่างใจเย็น

          ภาพที่สะท้อนกลับมานั้นคือสตรีที่นางแทบไม่รู้จัก ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากบวมช้ำ ดวงตาบอบช้ำจนเห็นเส้นเลือดฝอย แต่ทว่าแววตาที่จ้องตอบกลับมานั้นกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้ทอประกายแห่งความทระนงสดใสอย่างองค์หญิงมู่ตานคนเดิม และมันก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวหรือแตกสลายอย่างที่ใคร ๆ คาดหวัง

          แววตาคู่นั้นบัดนี้กลับนิ่งสงบเย็นชาและล้ำลึกราวกับมหาสมุทรยามค่ำคืน เป็นแววตาของคนที่ได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง และได้เกิดใหม่จากกองเถ้าถ่านแห่งความแค้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 3

    เขาช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้ววางลงบนตั่งเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าที่เปราะบางที่สุด เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะแพรหนานุ่ม มู่ตานก็ปลดเปลื้องความแข็งกร้าวทิ้งไป เหลือไว้เพียงจริตมารยาที่นางจงใจปรุงแต่งขึ้นมาลวงล่อ นางปรือตาขึ้นมองพญาอินทรีย์ด้วยแววตาที่ฉ่ำหวานระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจสั่นพร่ายามที่อิงเฟิงโน้มกายลงมาทาบทับ “ท่านช่างงดงามจนข้ามิอาจละสายตา” เสียงกระซิบของเขาพร่าเลือนชิดใบหู ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะเริ่มประทับตราลงบนซอกคอขาวผ่อง มันมิใช่การขบกัดที่ดุดัน แต่เป็นการดูดดึงและเล็มเลียอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นของเขาตวัดไล้ไปตามชีพจรที่เต้นตุบ ๆ ของนาง ลากไล้ต่ำลงมายังเนินอกอวบอิ่ม “อื้อ...ท่านอิงเฟ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 2

    พวกเขาเดินหมากกันไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปหลายสิบตามีเพียงเสียงหมากกระทบกระดานไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ บรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งแม่ทัพสองนายกำลังบัญชาการรบอยู่ในกระโจมกลางสมรภูมิ จนกระทั่งมู่ตานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางวางหมากดำเม็ดหนึ่งลงไปในตำแหน่งที่ดูประหนึ่งการฆ่าตัวตาย เป็นการเดินหมากที่บุกทะลวงเข้าไปในใจกลางวงล้อมศัตรูอย่างหุนหันพลันแล่น แววตาของอิงเฟิงทอประกายวูบหนึ่ง “เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญยิ่งนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน การบุกทะลวงเข้าไปในแดนศัตรูโดยไร้ทัพหนุนเปรียบเสมือนการส่งทหารไปตายโดยเปล่าประโยชน์” “บางครา...” มู่ตานตอบกลับเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาน “การสร้างความปั่นป่วนในใจกลางทัพของศัตรู แม้จักต้องสูญเสียไพร่พลไปบ้าง ก็อาจจะสามารถเปิดช่องทางรอดใหม่ที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนได้”&n

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 13 ระบำหน้ากาก 1

    ความมืดมิดและความเงียบงันภายในเรือนไผ่เร้นนั้นหนักอึ้งดุจผืนผ้ากำมะหยี่สีนิลที่กดทับลงมาบนร่างระหง แสงเทียนไขบนโต๊ะเตี้ยสั่นไหววูบวาบทุกคราที่สายลมหนาวเล็ดลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามา ส่งผลให้เงาของนางที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่งไม้ทอดยาวบิดเบี้ยวไปบนผนัง ราวกับเป็นเงาของภูตพรายที่กำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่ง มู่ตานนั่งอยู่ในท่วงท่านี้มานานนับชั่วยามแล้ว นานจนร่างกายเริ่มชาหนึบ ทว่าสติสัมปชัญญะกลับตื่นตัวและเฉียบคมถึงขีดสุด ในห้วงความคิด นางกำลังซ้อมรบในสมรภูมิแห่งวาจา ทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินตนาการถึงทุกหมากที่พญาเหยี่ยวอาจจะเดิน เตรียมถ้อยคำโต้ตอบสำหรับทุกคำถามที่เขาอาจจะเอ่ย และตอกย้ำปณิธานของตนให้แข็งแกร่งดุจกำแพงเมืองที่หล่อหลอมจากเหล็กกล้า นางจักมิยอมให้มายาภาพจากราตรีก่อนกลับมาบดบังสติปัญญาได้อีก นางรู้แจ้งแก่ใจว่าความอ่อนโยนนั้นเป็นเพ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 12 กระดานหมากชี้ชะตา 2

    จุดอ่อนของเขายังไม่ปรากฏแน่ชัด เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเพียงเอาชนะพี่ชาย หรือเขามีความรู้สึกเสน่หาต่อนางจริง ๆ หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวงซ้อนกลเพื่อเป้าหมายอื่นที่นางยังมองไม่เห็น ความไม่รู้นี้เปรียบเสมือนการเดินปิดตาอยู่ริมหน้าผา ‘ต้องระวังตัวให้ถึงที่สุด...’ นางย้ำเตือนตนเอง ‘ต้องไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริง ต้องเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนเล่ห์เหลี่ยมของเขากลับไป ต้องเร่งค้นหาเจตจำนงที่แท้จริงของเขาให้พบ และที่สำคัญที่สุด ต้องก่อกำแพงปกป้องสติของตนให้แข็งแกร่ง อย่าได้หลงกลไปกับความสะดวกสบายและความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาหยิบยื่นให้ จงตระหนักเสมอว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคือยาพิษรสหวาน ที่มุ่งหมายจะกัดกร่อนเขี้ยวเล็บและความระแวดระวังของนางให้ทื่อลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นคมดาบที่สังหารนางได้เลือดเย็นกว่าพละกำลังของหลี่เฉียงเสียอีก’ และท้ายที่สุด หมากสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่วางอย

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 12 กระดานหมากชี้ชะตา 1

    การเดินทางกลับจากเรือนของหลี่เฉียงในรุ่งอรุณครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แม้ร่างกายทุกส่วนจะยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระบมไม่ต่างกัน แต่จิตใจของนางนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มู่ตานก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่เย็นเฉียบด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและสงบนิ่ง นางไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนอีกต่อไป แต่กลับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นไหว สายลมยามเช้าที่พัดมาปะทะร่างทำให้ชายแขนเสื้อที่กว้างของนางปลิวไสวไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ข้อมือ ร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่บัดนี้นางมองมันไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ของความอัปยศ แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความแค้นที่ต้องชำระ นางสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นอย่างน่าประหลาด นางเห็นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำการณ์อยู่ไกล ๆ ที่มองมายังนางเปลี่ยนไป ความเหยียดหยามในวันแรก ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและอาจจะมีความ

  • เชลยรักสองพยัคฆ์   บทที่ 11 พายุที่หวนคืน 2

    ทว่าเนิ่นนานไปขณะที่เขายังคงครอบครองเรือนร่างอันอ่อนระทวยนั้น โทสะที่เคยลุกโชนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น ความอยากเอาชนะเริ่มจางหาย เหลือเพียงความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่มืดมิดและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว สติสัมปชัญญะของแม่ทัพผู้ต้องการเอาชนะกำลังถูกกลืนกินโดยสัญชาตญาณของบุรุษ เขาลืมเลือนการต่อสู้ ลืมเลือนกำแพงที่นางสร้าง รับรู้เพียงความนุ่มลื่นของผิวเนื้อภายใต้ฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ ของนางที่ผสมกับกลิ่นสุรา และร่างกายที่ตอบสนองเขาอย่างไม่เต็มใจ จังหวะของเขาเริ่มเปลี่ยนไป จากการลงทัณฑ์ที่เกรี้ยวกราดกลายเป็นการแสวงหาที่ลึกซึ้งและไม่รู้จักพอ มู่ตานผู้ซึ่งบัดนี้เป้าหมายได้เปลี่ยนไปแล้วไม่ได้พยายามจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่นางกำลังเฝ้ารอ อดทนรอคอยให้พายุลูกนี้พัดผ่านไป&n

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status