มันคือกระท่อมหญ้าหลังเล็กที่ถูกสร้างห่างจากเรือนหลักเพื่อให้บ้านรองอาศัยอยู่
สองปีก่อน ตั้งแต่ที่เซี่ยจื่ออี้กลายเป็นคนขาพิการ บ้านรองก็ต้องย้ายมาอยู่นอกเรือน พวกเขาเป็นเพียงคนนอกในสายตาคนตระกูลเซี่ย ต่อให้อยู่ในเรือนใหญ่ก็ยังถูกข่มเหงอยู่ดี การย้ายมาอยู่เองทำให้รู้สึกดีกว่าต้องทนอยู่รวมกับคนเหล่านั้น
“น้องสามเจ้าไปตามหมอจวงมาดูอาการท่านแม่เร็วเข้า”
เซี่ยจื่ออี้สั่งน้องสาวคนเล็กด้วยท่าทีร้อนรน แม้เงินทุกเหวินจะถูกแม่เฒ่าหวังยึดไปจนหมด ทว่าเมื่อก่อนตัวเขาเคยคัดตำราส่งในเมืองจึงแอบซ่อนเงินเอาไว้บ้าง คงพอค่ายาให้มารดา
“ไม่ต้อง นางแค่หมดสติเพราะอ่อนเพลียเท่านั้น”
“เจ้า!! พูดได้ตั้งแต่เมื่อใด”
เซี่ยจื่ออี้มองน้องสาวของตนด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่คิดว่าคนที่พูดไม่ได้ตั้งแต่เกิดจะสามารถพูดได้ในตอนนี้ สวรรค์ได้เมตตาครอบครัวของพวกเขาแล้ว
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนข้าจะกลับมาอธิบายทีหลัง ตอนนี้ต้องทำอาหารบำรุงท่านแม่ พวกเจ้าอยู่ที่นี่ดูแลนางก็แล้วกัน”
หญิงสาวกำลังก้าวออกจากกระท่อมฟางพลันร่างสูงโปร่งได้พุ่งเข้าหานาง ทำเอาหญิงสาวถึงกับเซถลาไปด้านหลัง เซี่ยชิงหลีไม่คิดว่าร่างกายของตนจะแย่ถึงเพียงนี้ แค่คนธรรมดาพุ่งเข้าหาก็ไม่สามารถหลบได้ จากนี้ไปตนคงต้องฝึกร่างกายให้หนักมากกว่านี้
“ภรรยา! กลับมาแล้วหรือ เมื่อคืนเจ้าหายไปไหนมาอาเหิงรอตั้งนานรู้ไหมว่าข้าคิดถึงเจ้า”
เซี่ยชิงหลีตกตะลึงในทันที ตนลืมคนผู้นี้ได้อย่างไร สามีสติไม่สมประกอบที่ร่างเดิมเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อสองเดือนก่อน ภายหลังเพราะคำยุแยงของป้าสะใภ้ใหญ่ทำให้นางถูกบังคับให้ต้องแต่งกับเขา
หญิงสาวแกะมือเหนียวหนึบของชายหนุ่มออกจากแขนตน นางมองใบหน้าอันหล่อเหล่าด้วยท่าทีเหม่อลอย แม้ชีวิตก่อนจะมีชีวิตอยู่เกือบสามสิบ ทว่าเรื่องชายหญิงช่างห่างไกลนัก ผู้ชายหน้าตาดีในชีวิตของตนล้วนเคยเห็นเพียงในโซเชี่ยล ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มองอย่างประชิดเช่นนี้
“นี่! เจ้าถอยออกไปก่อน ข้าต้องไปทำอาหาร”
เซี่ยชิงหลีลืมตัวพูดกับชายหนุ่มตรงหน้า ในดวงตาของเขาบัดนี้มองหญิงสาวเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
“ภรรยาเจ้าพูดกับข้าแล้ว ดีใจจังเลย”
ชายหนุ่มกอดเซี่ยชิงหลีแน่น ในสายตาของร่างเดิมมองบุรุษผู้นี้ไม่ต่างจากน้องชายไม่มีความคิดของหนุ่มสาว ทว่าตนเองมิใช่พระอิฐพระปูน ถูกหนุ่มหล่อกอดบ่อยๆ ก็แอบมีหวั่นไหวในใจ
หญิงสาวดันร่างสูงออกห่าง
“เรื่องที่ข้าพูดได้เจ้าต้องสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ เจ้าด้วยเป่าเอ๋อ หากให้คนตระกูลเซี่ยรู้พวกเขาจะต้องขายข้าออกไปแน่ พวกเจ้าคงไม่ต้องการให้พี่สาวถูกขายใช่หรือไม่”
หญิงสาวเอ่ยข่มขู่เล็กน้อย นางต้องการให้เก็บเป็นความลับก่อน เพราะหลังจากนี้ยังมีแผนจัดการกับคนบ้านเซี่ยในใจ
“ไม่นะพี่รองข้าไม่ต้องการให้ท่านถูกขาย ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดให้ใครฟัง”
“อาเหิงก็สัญญา”
เซี่ยชิงหลียกยิ้มอย่างพอใจ
“ดี! เช่นนั้นพวกเจ้ารออยู่ที่นี่ข้าจะไปทำของอร่อยมาให้ทาน”
“ภรรยาดีกับอาเหิงที่สุดเลย”
ชายหนุ่มปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมแขน เขาถูกเซี่ยชิงเป่าจูงไปล้างหน้าที่ด้านข้างกระท่อม ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มฟื้นคืนสติและกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ บ้านรองก็ดูแลเขามาตลอด แม้แม่เฒ่าหวังจะไม่พอใจทว่าถูกสะใภ้ใหญ่เป่าหูจึงได้ยอมให้เขาอาศัยอยู่ในเรือนของตน แต่ถึงกระนั้นอาเหิงยังคงต้องทำงานเพื่อแลกอาหารอยู่ดี
เซี่ยชิงหลีจัดการฆ่าไก่ที่เลี้ยงเอาไว้เพื่อออกไข่ให้หลานชายคนโตอย่างเซี่ยจิ่งเฉิงบำรุงร่างกาย หลายปีที่อาศัยอยู่บ้านเซี่ยครอบครัวรองไม่เคยได้ทานแม้แต่ไข่ต้ม นอกจากแป้งย่างหยาบระคายคอแล้วก็มีแค่ผักต้มเท่านั้นที่พวกเขามีสิทธิ์กิน
ผ่านไปครึ่งชั่วยามกลิ่นน้ำแกงไก่หอมโชยเข้าไปในเรือน เซี่ยจิ่งเฉิงแม้จะได้รับความรักจากแม่เฒ่าหวังและผู้เฒ่าเซี่ยผู้เป็นปู่ ทว่าแม่ไก่อันมีค่าของนางแม้แต่หลานรักอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิ์กิน ไม่รู้เกิดเรื่องดีอันใดวันนี้ถึงได้อนุญาตให้ฆ่าไก่เพื่อทำอาหาร
จมูกหมาได้กลิ่นของดี หลานชายคนโตของแม่เฒ่าเซี่ยเดินตามกลิ่นหอมเข้ามาในครัว เมื่อเห็นแผ่นหลังบอบบางกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตา จึงกระแอมไอให้ได้ยิน
“อะแฮ่ม...นี่น้องสามเจ้ากำลังทำอะไร”
เซี่ยชิงหลีแสร้งไม่ได้ยิน นางยังคงเติมฟืนเข้าไปในเตาด้วยสีหน้าเฉยชา หากต้องเสวนากับสวะเหล่านี้นางยอมไม่มีปากพูดเสียดีกว่า เห็นลูกพี่ลูกน้องไม่สนใจเซี่ยจิ่งเฉิงจึงมีโทสะเล็กน้อย ทว่าตอนนี้เรื่องอาหารย่อมสำคัญกว่า บ้านรองเลิกคิดเรื่องของอร่อยไปได้เลยส่วนตนที่เป็นหลานรักย่อมต้องมีส่วนอยู่แล้ว
“ยังไม่เสร็จอีกหรือ ข้าหิวแล้วนะ”
เซี่ยชิงหลียกหม้อน้ำซุปไก่ออกจากเตา ก่อนหน้านี้โจ๊กผักต้มนางได้ยกกลับไปที่กระท่อมด้านหลังแล้ว ร่างบางไม่สนใจคำถามของเขาที่ดูกระตือรือร้นกว่าปกติ
ตลอดมาคนผู้นี้มักดูถูกมารดาและพี่ชายของตนอยู่ตลอด ธุระอะไรนางจะต้องยอมให้เขามีส่วนในอาหารที่นางทำ หญิงสาวยกหม้อซุปไก่เดินผ่านหน้าเซี่ยจิ่งเฉิงอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาเขาถึงกับพูดไม่ออก
“นี่เจ้าเด็กใบ้! เจ้าทำอะไร! นั่นมันอาหารบ้านใหญ่ของเรานะ”
ชายหนุ่มรีบวิ่งตามไปอย่างร้อนใจทว่ากลับถูกเซี่ยชิงหลีที่หยุดอย่างกะทันหันขัดขาทำให้เขาล้มคะมำเข้าไปในเล้าไก่ ทั้งมือและใบหน้าของชายหนุ่มล้วนเปื้อนไปด้วยเศษขนและมูลไก่
กลิ่นเหม็นที่โชยเข้าจมูกทำเอาชายหนุ่มแทบทนไม่ไหว
“โอ้ก! แหวะ! เจ้าเด็กใบ้เจ้ากล้าขัดขาของข้า”
ร่างบางมองต่ำด้วยสายตาดูถูก ผอมบางท่าทางอ้อนแอ้นไม่ต่างจากสตรี บุรุษเช่นนี้มีหรือจะดูแลปกป้องตนเองได้ ก็แค่สวะตัวหนึ่ง
หญิงสาวไม่สนเสียงร้องโหยหวนของอีกฝ่าย เมื่อเซี่ยชิงหลีก้าวเข้าไปในกระท่อม สองพี่น้อง อาเหิง และหลี่หลันฮวาผู้เป็นมารดาที่ได้สติกลับมาแล้ว มองหม้อน้ำแกงไก่ในมือหญิงสาวด้วยสายตาสงสัย
“หลีเอ๋อหม้อนั่น...”
นางไม่อยากจะคิดเลย หากแม่เฒ่าหวังรู้เรื่องที่บุตรสาวฆ่าไก่อันมีค่าของนางทำน้ำแกงให้บ้านรอง บุตรสาวจะถูกลงโทษหนักขนาดไหน
เซี่ยชิงหลีอ่านสายตาของมารดาและเข้าใจความคิดของนาง ทว่าตนเองมิใช่ร่างเดิมมีหรือจะปล่อยให้ตนเสียเปรียบ
“นี่คือน้ำแกงไก่ ข้าต้มมาบำรุงร่างกายให้ท่าน ท่านแม่ท่านลุกขึ้นมาทานก่อน”
“หลีเอ๋อเจ้า...เจ้าพูดได้แล้วหรือ”
หลี่หลันฮวาลืมความกังวลก่อนหน้าไปจนสิ้น เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวเป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าหลังจากอายุได้สองเดือนนางก็ไม่เคยได้ยินเสียงบุตรสาวอีกเลย ครั้งนี้สวรรค์เมตตาครอบครัวของตนแล้ว
หญิงสาวส่งยิ้มให้มารดาด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“เอาไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทีหลัง ตอนนี้ทุกคนต้องทานน้ำแกงไก่และเนื้อไก่ในหม้อให้หมด ก่อนคนบ้านเซี่ยจะมาแย่งไป”
เซี่ยชิงหลีเอ่ยกระตุ้นคนในครอบครัว นางตักน้ำแกงและเนื้อไก่ให้ทุกคนก่อนลงมือทานในส่วนของตน แม้ยุคโบราณเครื่องปรุงจะมีไม่มาก ทว่าตอนนี้ลำบากจำต้องทำเท่าที่มี เอาไว้วันหน้าตนมีโอกาสจะทำของอร่อยมากกว่านี้ให้พวกเขาทาน
ชายชุดดำกระชากสาบเสื้อของหมอวัยกลางคนจนหลุดลุ่ย เวลานั้นเองเซี่ยชิงหลีได้เอ่ยแทรกขึ้น“นี่!...ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”“เจ้าเป็นใคร!”ชายชุดดำหันขวับมาที่นางทันที สายตาที่จับจ้องมานั้นราวกับจะสังหารคนเสียให้ได้“ข้าคือคนที่ผ่านทางมาและพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“แม่นาง...เจ้าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเลย ไม่เห็นหรือว่าเขาตายไปแล้ว ถ้าหากเจ้าช่วยคนผู้นี้ไม่ได้เจ้าอาจต้องตาย เห็นหรือไม่เขามีอาวุธ”ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูช่วยเอ่ยทัดทานหญิงสาว“ข้ารู้...”แม้จะรู้เช่นนั้น เซี่ยชิงหลีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ช่างผิดวิสัยของคนปกตินักหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของคนผู้นั้น นางพลันจดจำได้ทันที เขาคือชายชราที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่จ้าว เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่ ชายชุดดำเห็นสายตาของหญิงสาวดูเปลี่ยนไปเหมือนกับนางเคยรู้จักนายท่านของตนมาก่อน เขาทำท่าชักกระบี่ทว่าคนที่มาด้วยห้ามเอาไว้“เจ้าคนหนึ่งมานี่ ทำตามที่ข้าบอก”เซี่ยชิงหลีจัดท่าให้ชายชรานอนหงายแล้วเปิดทางหายใจให้โล่ง ด้วยการกดหน้าผากและยกขากรรไกรล่างขึ้น จากนั้นสั่งให้ชายชุดดำผายปอดให้ชายชราตามวิธีการของนางผู
“เนื้อกวางหรือ หอหว่านหรงของเรารับซื้อทว่าเห็ดป่านั้น...เจ้าให้ข้าดูก่อนได้หรือไม่”ชายหนุ่มมีท่าทีลังเล เซี่ยชิงหลีพอเข้าใจเพราะก่อนหน้านี้คนบ้านหลี่ก็แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ไม่ใช่เห็ดทุกชนิดที่จะสามารถกินได้“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”หญิงสาวเปิดผ้าคลุมตะกร้าออก เห็ดสนที่ถูกล้างอย่างดีวางเรียงภายในตะกร้าอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดมพบว่ามันส่งกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงป่าเขียวชื้นในยามเช้า มันไม่ใช่กลิ่นหอมหวานฉุนหรือสดใสเหมือนดอกไม้ หากแต่เป็นกลิ่นหอมที่อบอุ่น ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว“นี่คือเห็ดอะไรหรือ”“สิ่งนี้คือเห็ดสนเจ้าค่ะ ชาวบ้านอย่างเราใช้ปรุงอาหารสามารถทำได้หลายอย่าง หากผู้ดูแลวางใจข้าจะลองทำให้ทานสักสองสามอย่าง”ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าอนุญาต“ได้...เช่นนั้นเจ้าตามเขาเข้าไปในครัว”เซี่ยชิงหลีเดินตามเสี่ยวเอ้อเข้าไปด้านหลังร้าน ที่นั่นมีพ่อครัวอยู่สี่ห้าคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร เพียงหญิงสาวก้าวเข้าไปทุกอย่างก็หยุดชะงักลง“ต่อเลยเจ้าค่ะ ต่อเลย ไม่ต้องสนใจข้า ข้าเพียงแวะมาชั่วคราวเท่านั้น”หญิงสาวคำนับให้เหล่าพ่อครัว จากนั้นเริ่มทำอาหารของตนเมื่อ
เพราะการแต่งกายที่ดูซอมซ่อของทั้งสาม ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าหอกุ้ยเซียงก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เซี่ยชิงหลีแอบสบถในใจ วันหน้านางสัญญาว่าจะทำให้ที่นี่เจ๊งไม่เป็นท่าหลังจากออกจากหอกุ้ยเซียงทั้งสามก็ตรงไปเหลาอาหารและสุราที่ชื่อหว่านหรง ซึ่งชาวอำเภอหลิงหนานต่างรู้ดีว่าสองร้านนี้เป็นคู่แข่งกันมาช้านาน ทว่าหอกุ้ยเซียงนั้นมีทั้งหญิงสาวงดงามที่คอยให้บริการและยังมีกวีนักเล่าเรื่องมาคอยเล่านิทานให้เหล่าลูกค้าได้เพลิดเพลิน ทำให้หอหว่านหรงต้องตกเป็นรอง“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”ยังไม่ทันจากไปหญิงสาวก็ถูกขวางทางโดยคนที่เกลียดขี้หน้าที่สุด เซี่ยจิ่งเฉิง ที่พึงออกจากหอกุ้ยเซียงเดินโซเซตรงมายังนาง เมื่อได้พบคนที่ไม่ชอบหน้าหญิงสาวมีหรือจะยอมพูดดีด้วย“เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“ก็เพราะ...ขะ...ข้าคือพี่ชายของเจ้า! เอ๊ะ!เหตุใดเจ้าพูดได้!...แล้วช่างเถอะ...เหตุใดจะไม่เกี่ยวกับข้า บอกมาว่าเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลิงหนาน”เซี่ยจิ่งเฉิงคิดคว้าแขนหญิงสาวมาซักถามให้รู้เรื่อง ทว่านางกลับหมุนตัวหลบทำให้เขาเสียจังหวะล้มคว่ำไป“เจ้า!..”เมื่อถูกนางทำให้ต้องได้รับความอับอายบวกกับฤทธิ์สุราทำให้เขาลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าหญิงสาวเคยทำอะไรเอ
ชายหนุ่มก้มตัวลงแตะริมฝีปากลงบนแก้มนวลแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยความดีใจ“เย้! อาเหิงได้รับรางวัลแล้ว”ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นต่างมองการกระทำของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง อาเหิงแม้จะดูใสซื่อและบริสุทธิ์ทว่ากลับทำให้คนกำหมัดอยากจะชกหน้าสักครั้งร่างบางถูกฉวยโอกาสโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตางามเบิกโพลงเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีราวกับเลือดทั้งหมดพุ่งตรงขึ้นมาที่พวงแก้มในเสี้ยวอึดใจ หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา“อ๊ะ…!”เซี่ยชิงหลีหันขวับไปมองร่างสูง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจปนเขินอาย ริมฝีปากบางขยับเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่มีคำใดหลุดออกเลยนอกจากเสียงพึมพำในลำคอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มของตนแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง… หรือฝันไป“ภรรยา เจ้าเป็นอะไรหรือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวด้วยดวงตาใสซื่อ“ขะ...ข้า พวกเรากลับกันได้แล้ว”ร่างบางรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของทุกคนภายหลังเมื่อคนตระกูลหลี่กลับมายังหมู่บ้าน ข่าวที่บ้านหลี่ล่ากวางตัวใหญ่ได้ก็ถูกลือกระฉ่อนในชั่วพริบตา เซี่ยชิงหลีคือเพชฌฆาตคนนั้น ทุกคนจึงรอฟั
“หลีเอ๋อ เจ้าจะบอกว่าตนเองรู้เรื่องสมุนไพรหรือ”“ใช่สิเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไหว้หมอพเนจรท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ กระทั่งตอนนี้ที่พูดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ข้าหรือ”ชายชราหันมายิ้มกับหลานสาวผู้โชคดีของตน“ดี! ดีจริงๆ ไม่คิดว่าในความโชคร้ายของพวกเจ้าจะยังมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วย นี่ท่านแม่ของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือยัง”“อืม...ท่านแม่ของข้าจะรู้หรือไม่นั้น...บาดแผลของนางข้าก็เป็นคนรักษา อีกอย่างข้ายังคิดว่าจะใช้ความรู้ของตนพัฒนาเป็นอาชีพ ต่อไปครอบครัวของเราจะต้องร่ำรวยไปด้วยกัน”สองตาหลานเดินพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน หูที่ได้รับการฝึกฝนของเซี่ยชิงหลีพลันได้ยินความเคลื่อนบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป“ท่านตา!...รอสักครู่”หญิงสาวเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูขี้เล่นเป็นจริงจังในทันที ร่างบางย่องตามเสียงนั้นไปเมื่อพ้นเขตป่าสมุนไพรกลายเป็นลานทุ่งกว้าง ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายกำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินทันใดนั้นกวางหนุ่มตัวเขื่องค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากแนวพุ่มไม้มันเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ด้วยจังหวะที่สงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จมูกของมันก้มลงเล็มยอดหญ้าอ่อนสีเขียวสดอย่างละเมียดละไม ทว่าทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความร
หลี่หมิงเจ๋อบุตรชายคนเล็กของลุงรองที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้าถามหญิงสาวด้วยท่าทางสงสัย อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้มีมากกว่าอาหารที่กินในวันปีใหม่เสียอีก แต่ส่วนใหญ่ทำจากเห็ดที่นางเก็บมาวันนี้“ทานได้แน่นอน ข้าจะทานให้ท่านดู...”หญิงสาวใช้ตะเกียบคีบเห็ดเข้าปาก“เห็ดเหล่านี้ล้วนเป็นเห็ดที่ขึ้นเฉพาะที่ที่มีต้นสนขึ้น มันเรียกว่าเห็ดสน นี่คือเห็ดสนผัดน้ำมัน ส่วนนี่เห็ดสนผัดไข่ นี่คือเห็ดสนผัดรวมมิตรเนื้อหมูป่า เห็ดสนคั่วพริกเกลือและเห็ดสนย่างราดน้ำจิ้มที่ข้าทำเอง และรายการอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าคิดขึ้นมา”วันนี้เก็บเห็ดสนได้สองตะกร้าใหญ่ โชคดีที่ชาวบ้านสนใจหมูป่าจึงไม่มีใครตามมาดูว่าในตะกร้าของพวกเขามีอะไรบ้างแม้หญิงสาวจะเอ่ยเช่นนั้นทว่าคนบ้านหลี่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทาน มีเพียง อาเหิง เซี่ยจื่ออี้ และเซี่ยชิงเป่าที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังชมฝีมือการทำอาหารของหญิงสาวไม่หยุดปาก“น่าจะทานได้ไม่มีพิษกระมัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีอาการแล้ว”ตู้เฟิงอิงหันไปเอ่ยกับสามี“ข้าจะเป็นคนเสียสละทดลองเอง”หลี่เยว่หยางน้องชายของหลี่เยว่สิงลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้อายุสิบหกอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเ