“นางเด็กสารเลว!! ออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!! พวกเจ้าเอาความกล้าจากที่ใดถึงได้กล้าฆ่าไก่ของข้า วันนี้ยายแก่อย่างข้าจะให้เจ้าได้เห็นฤทธิ์ว่าการมาแตะต้องสิ่งของของข้าต้องมีจุดจบอย่างไร”
แม่เฒ่าหวังไม่รู้เรื่องที่เซี่ยชิงหลีบีบคอสะใภ้ใหญ่จนเกือบตาย จึงได้วางท่าทีใหญ่โตดั่งเช่นกาลก่อน ร่างกายของเซี่ยชิงหลีแม้จะอ่อนแอกว่าแต่ก่อนทว่าก็ไม่แย่ไปกว่าบุรุษวัยฉกรรจ์
เมื่อได้ยินเสียงโวยวาย ร่างผอมบางเดินออกมานอกกระท่อมพร้อมหม้อน้ำแกงไก่ที่ว่างเปล่า แม่เฒ่าหวังเห็นท่าทางเฉยชาของหลานสาวไม่รักดียิ่งทำให้นางมีโทสะ ด้านข้างแม่เฒ่ายังมีสะใภ้ใหญ่ที่คอยเป่าหูให้ลงโทษบ้านรอง
ทว่าทุกการกระทำของคนเหล่านั้นล้วนไม่อยู่ในสายตาของนาง
“ท่านย่า...ท่านมีอะไรกับบ้านรองของเราหรือ”
เซี่ยจื่อเฉิงใช้ไม่ค้ำเดินกะเผลกออกมานอกกระท่อมพร้อมกับน้องสาว ตนเองที่เป็นคนไร้ค่ามาตลอด วันนี้หากน้องสาวต้องถูกลงโทษตัวเขาจะรับเอาไว้เองทั้งหมด
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ พวกเจ้าทำสิ่งใดเอาไว้รู้ดีแก่ใจ”
“พวกเราทำอะไรหรือ”
เซี่ยชิงเป่าเดินออกมาพร้อมกับอาเหิง ปากยังถามย่าแท้ๆ ของตนด้วยดวงตาใสซื่อ
“เจ้า!! พวกเจ้ากบฏแล้ว!! กล้าตั้งคำถามกับผู้อาวุโสอย่างข้าหรือ โธ่เอ้ย!! สวรรค์ท่านมาเอาชีวิตยายแก่เช่นข้าไปเถิด เหตุใดครอบครัวเซี่ยถึงได้มีหมาป่าตาขาวอย่างเด็กสารเลวเหล่านี้”
แม่เฒ่าหวังทิ้งกายลงบนพื้นตีอกชกตัวเพื่อเรียกร้องให้ชาวบ้านเข้ามาเป็นพยาน นางคิดว่าคนหน้าบางอย่างหลี่หลันฮวาจะต้องไม่กล้าต่อปากกับตน แต่นางคิดผิด
“ท่านย่า ท่านเป็นอะไร ถ้าไม่สบายก็ควรไปหาหมอนะเจ้าคะ”
เซี่ยชิงเป่าเอ่ยกับแม่เฒ่าหวังด้วยสีหน้ารำคาญ เมื่อก่อนนางเป็นคนหัวแข็งไม่ยอมถูกกดขี่จึงถูกตีมากกว่าพี่น้องคนอื่น ครั้งนี้พี่สาวของตนแสดงให้เห็นแล้วว่าจะไม่ยอมถูกบ้านใหญ่และปู่ย่ากดขี่อีก นางจึงเผยนิสัยส่วนตัวออกมา
“เจ้าเด็กหน้าเหม็นเจ้ากล้าสาปแช่งข้าหรือ ดี! วันนี้ข้าหวังกุ้ยเฟินจะแทนตระกูลเซี่ย ใช้กฎของตระกูลลงโทษพวกเจ้า”
“ท่านแม่ ท่านอย่าโทษพวกเขาเลย พวกเขายังเด็กมีอะไรท่านมาลงที่ข้า”
หลี่หลันฮวารีบถลาออกมาจากกระท่อม นางคุกเข่าลงตรงหน้าแม่เฒ่าหวังอ้อนวอนมิให้ใช้กฎตระกูลลงโทษลูกๆ ของตน
“กฎบ้าบออันใด ของเหล่านี้ใช้ได้เฉพาะกับคนอ่อนแอเท่านั้น ใช่ไหมภรรยา อาเหิงพูดถูกหรือไม่”
ชายหนุ่มใช้ดวงตาใสซื่อมองไปยังหญิงสาวเพื่อรอคอยคำตอบการกระทำของเขาราวกับลูกหมาที่ต้องการคำเอ่ยชม เห็นเขาแสดงออกเช่นนั้น ร่างบางจำต้องพยักหน้าให้อย่างเสียมิได้
“ไหนยายเฒ่าบอกมาซิว่าอาเหิงทำผิดอะไร”
อาเหิงที่ยืนกอดอกอยู่กับเซี่ยชิงเป่าเอ่ยออกมาด้วยท่าทางอวดดี
“เจ้า!...เจ้ายังไม่รู้ความผิดของตนหรือ เช่นนั้นข้าจะบอกให้นะ เพราะพวกเจ้าบังอาจฆ่าไก่ที่ข้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม”
“ท่านย่า ท่านหรือเลี้ยงดูพวกมัน เช่นนั้นท่านก็ทำให้ข้าได้เปิดกะโหลกแล้ว ตาข้างไหนของพวกท่านเห็นเราฆ่าไก่”
“หลักฐานก็อยู่ในมือยังกล้าเสแสร้ง”
จางซุนโหรวชี้ไปยังหม้อดินที่อยู่ในมือของเซี่ยชิงหลี
“นี่! อ๋อ...อันนี้หรือ....นี่เป็นไก่ที่บ้านรองเลี้ยงดูเหตุใดจะกินไม่ได้เล่า”
เซี่ยชิงเป่าแม้จะอายุเพียงแปดขวบ ทว่าบัดนี้กลายเป็นกำลังหลักในการต่อต้านคนตระกูลเซี่ยไปแล้ว
มารดาที่อ่อนแอไม่สู้คน พี่ชายที่ร่ำเรียนจนไม่รู้วิธีต่อว่าผู้อื่น และพี่สาวที่แสร้งเป็นใบ้ บัดนี้คงเหลือเพียงนางและพี่อาเหิงเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับแม่เฒ่าปีศาจได้
“เจ้า! ที่นี่คือตระกูลเซี่ยทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นของตระกูลเซี่ยไม่ใช้ของบ้านรองของเจ้า”
เซี่ยชิงเป่าอยากตบมือให้กับคำพูดของป้าสะใภ้ใหญ่ ใบหน้ากลมแหงนมองร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“พี่อาเหิง แล้วพวกเราไม่ใช่คนตระกูลเซี่ยหรือ เหตุใดถึงไม่มีสิทธิ์กินไก่ที่พวกเราเลี้ยง”
จางซุนโหรวเมื่อเห็นเด็กน้อยมีท่าทีสลดลง ก็รีบแสดงความเป็นใหญ่เพื่อข่มพวกเขา
“พวกเจ้าหรือพวกเดียวกับเรา ดูแต่ละคนไร้ค่าทั้งนั้น แม่ผู้อ่อนแอของเจ้า พี่ชายพิการพี่สาวเป็นใบ้ พี่เขยปัญญาอ่อน ครอบครัวพวกเจ้ามีใครสมบูรณ์บ้าง นอกจากเด็กอย่างเจ้า”
“ป้าสะใภ้ท่านยังลืมอีกคน บิดาที่ขี้เกียจสันหลังยาวของข้าก็เป็นครอบครัวบ้านรองของเรา”
เซี่ยชิงเป่าไม่ลืมเอ่ยเตือนป้าสะใภ้ใหญ่ ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำพูดเหน็บแนมผู้เป็นบิดาที่ตะวันสายโด่งป่านนี้ยังไม่ลุกจากที่นอน ทำเอาแม่เฒ่าหวังหันไปส่งค้อนให้กับสะใภ้ใหญ่ที่ปากไม่มีหูรูด เปิดช่องโหว่ให้ศัตรูเอาคืนได้
“เจ้ารองของข้าจะเป็นครอบครัวเดียวกับกลุ่มคนไร้ค่าอย่างพวกเจ้าได้อย่างไร”
แม่เฒ่าหวังเอ่ยอย่างรังเกียจ เด็กน้อยยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ยี่หระ หลายปีมานี้ตัวเขาก็ไม่เคยทำหน้าที่ของสามีและบิดา ตอนนี้จะอย่างไรก็ได้ ตนเองไม่สนใจอยู่แล้ว
“อืม...ก็ได้ท่านย่า ถ้าท่านพ่อไม่ใช่ครอบครัวของบ้านรองเรา เช่นนั้นนางเป็นครอบเดียวกับหญิงหม้ายอย่างป้าสะใภ้ใหญ่หรือ จิ!จิ! น่าสงสารลุงใหญ่ ตายไปไม่กี่ปีก็ถูกสวมหมวกเขียวเสียแล้ว”
คำพูดของเด็กน้อยทำเอาคนทั้งบ้านถึงกับสะอึกไปเลยทีเดียว
“เจ้า!! เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด คิดทำลายชื่อเสียงตระกูลเซี่ยของข้าหรือ”
เมื่อเซี่ยชิงเป่าเอ่ยออกมาเช่นนั้น จางซุนโหรวก็แสดงท่าทีร้อนรนราวกับทำเรื่องที่ไม่ควรทำลับหลังบ้านรอง
“ช่างเถอะๆ ถ้าพวกท่านเห็นเราบ้านรองไร้ค่าเช่นนั้นพวกท่านก็ทำงานทุกอย่างด้วยตนเองเถอะ ต่อไปพวกเราจะไม่ทำงานเหล่านี้แล้ว”
เซี่ยชิงเป่าเอ่ยออกมาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ทว่าแม่เฒ่าหวังมีหรือจะยอมให้หลานในไส้มาอยู่เหนือตนได้
“ไม่ทำงานหรือ ถ้าพวกเจ้าไม่ทำงานเช่นนั้นก็อย่ากินอาหารจากตระกูลเซี่ยของข้า”
“ไม่กินก็ไม่กิน พวกเราบ้านรองคนเยอะเพียงนี้ไม่กินข้าวบ้านท่านพวกเราก็ไม่มีทางอดตาย”
เด็กน้อยจีบปากจีบคอตอบหญิงชราด้วยท่าทางไม่แยแส เซี่ยชิงหลีไม่คิดว่าน้องสาวคนเล็กจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่สตรีปากร้ายอย่างแม่เฒ่าหวังยังหมดหนทางต่อกรกับนาง
“เจ้า!! เจ้าเด็กคนนี้! หลี่หลันฮวาเจ้าเป็นแม่ เป็นผู้ใหญ่เหตุใดถึงปล่อยให้เด็กมายืนเถียงกับผู้อาวุโสฉอดๆ เจ้าไม่เอาหน้าแล้วใช่หรือไม่ โอ๊ย!! ใครก็ได้ ดูเจ้าตัวล้างผลาญพวกนี้สิ เกิดมาเพื่อเอาชีวิตของข้าหรืออย่างไร!! สวรรค์!! ท่านเหตุใดต้องให้พวกมันมาเกิดในตระกูลเซี่ยด้วย”
หญิงชราทรุดตัวลงบนพื้นตีอกชกตัวหวังให้พวกเขารู้สึกละอายแก่ใจ ทว่าเซี่ยชิงเป่ากลับยืนหน้าตายไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ชายชุดดำกระชากสาบเสื้อของหมอวัยกลางคนจนหลุดลุ่ย เวลานั้นเองเซี่ยชิงหลีได้เอ่ยแทรกขึ้น“นี่!...ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”“เจ้าเป็นใคร!”ชายชุดดำหันขวับมาที่นางทันที สายตาที่จับจ้องมานั้นราวกับจะสังหารคนเสียให้ได้“ข้าคือคนที่ผ่านทางมาและพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“แม่นาง...เจ้าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเลย ไม่เห็นหรือว่าเขาตายไปแล้ว ถ้าหากเจ้าช่วยคนผู้นี้ไม่ได้เจ้าอาจต้องตาย เห็นหรือไม่เขามีอาวุธ”ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูช่วยเอ่ยทัดทานหญิงสาว“ข้ารู้...”แม้จะรู้เช่นนั้น เซี่ยชิงหลีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ช่างผิดวิสัยของคนปกตินักหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของคนผู้นั้น นางพลันจดจำได้ทันที เขาคือชายชราที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่จ้าว เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่ ชายชุดดำเห็นสายตาของหญิงสาวดูเปลี่ยนไปเหมือนกับนางเคยรู้จักนายท่านของตนมาก่อน เขาทำท่าชักกระบี่ทว่าคนที่มาด้วยห้ามเอาไว้“เจ้าคนหนึ่งมานี่ ทำตามที่ข้าบอก”เซี่ยชิงหลีจัดท่าให้ชายชรานอนหงายแล้วเปิดทางหายใจให้โล่ง ด้วยการกดหน้าผากและยกขากรรไกรล่างขึ้น จากนั้นสั่งให้ชายชุดดำผายปอดให้ชายชราตามวิธีการของนางผู
“เนื้อกวางหรือ หอหว่านหรงของเรารับซื้อทว่าเห็ดป่านั้น...เจ้าให้ข้าดูก่อนได้หรือไม่”ชายหนุ่มมีท่าทีลังเล เซี่ยชิงหลีพอเข้าใจเพราะก่อนหน้านี้คนบ้านหลี่ก็แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ไม่ใช่เห็ดทุกชนิดที่จะสามารถกินได้“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”หญิงสาวเปิดผ้าคลุมตะกร้าออก เห็ดสนที่ถูกล้างอย่างดีวางเรียงภายในตะกร้าอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดมพบว่ามันส่งกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงป่าเขียวชื้นในยามเช้า มันไม่ใช่กลิ่นหอมหวานฉุนหรือสดใสเหมือนดอกไม้ หากแต่เป็นกลิ่นหอมที่อบอุ่น ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว“นี่คือเห็ดอะไรหรือ”“สิ่งนี้คือเห็ดสนเจ้าค่ะ ชาวบ้านอย่างเราใช้ปรุงอาหารสามารถทำได้หลายอย่าง หากผู้ดูแลวางใจข้าจะลองทำให้ทานสักสองสามอย่าง”ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าอนุญาต“ได้...เช่นนั้นเจ้าตามเขาเข้าไปในครัว”เซี่ยชิงหลีเดินตามเสี่ยวเอ้อเข้าไปด้านหลังร้าน ที่นั่นมีพ่อครัวอยู่สี่ห้าคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร เพียงหญิงสาวก้าวเข้าไปทุกอย่างก็หยุดชะงักลง“ต่อเลยเจ้าค่ะ ต่อเลย ไม่ต้องสนใจข้า ข้าเพียงแวะมาชั่วคราวเท่านั้น”หญิงสาวคำนับให้เหล่าพ่อครัว จากนั้นเริ่มทำอาหารของตนเมื่อ
เพราะการแต่งกายที่ดูซอมซ่อของทั้งสาม ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าหอกุ้ยเซียงก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เซี่ยชิงหลีแอบสบถในใจ วันหน้านางสัญญาว่าจะทำให้ที่นี่เจ๊งไม่เป็นท่าหลังจากออกจากหอกุ้ยเซียงทั้งสามก็ตรงไปเหลาอาหารและสุราที่ชื่อหว่านหรง ซึ่งชาวอำเภอหลิงหนานต่างรู้ดีว่าสองร้านนี้เป็นคู่แข่งกันมาช้านาน ทว่าหอกุ้ยเซียงนั้นมีทั้งหญิงสาวงดงามที่คอยให้บริการและยังมีกวีนักเล่าเรื่องมาคอยเล่านิทานให้เหล่าลูกค้าได้เพลิดเพลิน ทำให้หอหว่านหรงต้องตกเป็นรอง“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”ยังไม่ทันจากไปหญิงสาวก็ถูกขวางทางโดยคนที่เกลียดขี้หน้าที่สุด เซี่ยจิ่งเฉิง ที่พึงออกจากหอกุ้ยเซียงเดินโซเซตรงมายังนาง เมื่อได้พบคนที่ไม่ชอบหน้าหญิงสาวมีหรือจะยอมพูดดีด้วย“เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“ก็เพราะ...ขะ...ข้าคือพี่ชายของเจ้า! เอ๊ะ!เหตุใดเจ้าพูดได้!...แล้วช่างเถอะ...เหตุใดจะไม่เกี่ยวกับข้า บอกมาว่าเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลิงหนาน”เซี่ยจิ่งเฉิงคิดคว้าแขนหญิงสาวมาซักถามให้รู้เรื่อง ทว่านางกลับหมุนตัวหลบทำให้เขาเสียจังหวะล้มคว่ำไป“เจ้า!..”เมื่อถูกนางทำให้ต้องได้รับความอับอายบวกกับฤทธิ์สุราทำให้เขาลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าหญิงสาวเคยทำอะไรเอ
ชายหนุ่มก้มตัวลงแตะริมฝีปากลงบนแก้มนวลแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยความดีใจ“เย้! อาเหิงได้รับรางวัลแล้ว”ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นต่างมองการกระทำของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง อาเหิงแม้จะดูใสซื่อและบริสุทธิ์ทว่ากลับทำให้คนกำหมัดอยากจะชกหน้าสักครั้งร่างบางถูกฉวยโอกาสโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตางามเบิกโพลงเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีราวกับเลือดทั้งหมดพุ่งตรงขึ้นมาที่พวงแก้มในเสี้ยวอึดใจ หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา“อ๊ะ…!”เซี่ยชิงหลีหันขวับไปมองร่างสูง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจปนเขินอาย ริมฝีปากบางขยับเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่มีคำใดหลุดออกเลยนอกจากเสียงพึมพำในลำคอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มของตนแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง… หรือฝันไป“ภรรยา เจ้าเป็นอะไรหรือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวด้วยดวงตาใสซื่อ“ขะ...ข้า พวกเรากลับกันได้แล้ว”ร่างบางรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของทุกคนภายหลังเมื่อคนตระกูลหลี่กลับมายังหมู่บ้าน ข่าวที่บ้านหลี่ล่ากวางตัวใหญ่ได้ก็ถูกลือกระฉ่อนในชั่วพริบตา เซี่ยชิงหลีคือเพชฌฆาตคนนั้น ทุกคนจึงรอฟั
“หลีเอ๋อ เจ้าจะบอกว่าตนเองรู้เรื่องสมุนไพรหรือ”“ใช่สิเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไหว้หมอพเนจรท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ กระทั่งตอนนี้ที่พูดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ข้าหรือ”ชายชราหันมายิ้มกับหลานสาวผู้โชคดีของตน“ดี! ดีจริงๆ ไม่คิดว่าในความโชคร้ายของพวกเจ้าจะยังมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วย นี่ท่านแม่ของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือยัง”“อืม...ท่านแม่ของข้าจะรู้หรือไม่นั้น...บาดแผลของนางข้าก็เป็นคนรักษา อีกอย่างข้ายังคิดว่าจะใช้ความรู้ของตนพัฒนาเป็นอาชีพ ต่อไปครอบครัวของเราจะต้องร่ำรวยไปด้วยกัน”สองตาหลานเดินพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน หูที่ได้รับการฝึกฝนของเซี่ยชิงหลีพลันได้ยินความเคลื่อนบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป“ท่านตา!...รอสักครู่”หญิงสาวเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูขี้เล่นเป็นจริงจังในทันที ร่างบางย่องตามเสียงนั้นไปเมื่อพ้นเขตป่าสมุนไพรกลายเป็นลานทุ่งกว้าง ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายกำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินทันใดนั้นกวางหนุ่มตัวเขื่องค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากแนวพุ่มไม้มันเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ด้วยจังหวะที่สงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จมูกของมันก้มลงเล็มยอดหญ้าอ่อนสีเขียวสดอย่างละเมียดละไม ทว่าทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความร
หลี่หมิงเจ๋อบุตรชายคนเล็กของลุงรองที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้าถามหญิงสาวด้วยท่าทางสงสัย อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้มีมากกว่าอาหารที่กินในวันปีใหม่เสียอีก แต่ส่วนใหญ่ทำจากเห็ดที่นางเก็บมาวันนี้“ทานได้แน่นอน ข้าจะทานให้ท่านดู...”หญิงสาวใช้ตะเกียบคีบเห็ดเข้าปาก“เห็ดเหล่านี้ล้วนเป็นเห็ดที่ขึ้นเฉพาะที่ที่มีต้นสนขึ้น มันเรียกว่าเห็ดสน นี่คือเห็ดสนผัดน้ำมัน ส่วนนี่เห็ดสนผัดไข่ นี่คือเห็ดสนผัดรวมมิตรเนื้อหมูป่า เห็ดสนคั่วพริกเกลือและเห็ดสนย่างราดน้ำจิ้มที่ข้าทำเอง และรายการอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าคิดขึ้นมา”วันนี้เก็บเห็ดสนได้สองตะกร้าใหญ่ โชคดีที่ชาวบ้านสนใจหมูป่าจึงไม่มีใครตามมาดูว่าในตะกร้าของพวกเขามีอะไรบ้างแม้หญิงสาวจะเอ่ยเช่นนั้นทว่าคนบ้านหลี่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทาน มีเพียง อาเหิง เซี่ยจื่ออี้ และเซี่ยชิงเป่าที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังชมฝีมือการทำอาหารของหญิงสาวไม่หยุดปาก“น่าจะทานได้ไม่มีพิษกระมัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีอาการแล้ว”ตู้เฟิงอิงหันไปเอ่ยกับสามี“ข้าจะเป็นคนเสียสละทดลองเอง”หลี่เยว่หยางน้องชายของหลี่เยว่สิงลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้อายุสิบหกอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเ