สำหรับวินตาแล้วมันเป็นเพียงร้านธรรมดาๆ ร้านหนึ่งจึงพาลให้นึกสงสัยว่าคนที่พามากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้พาเธอแวะเข้าร้านที่เหมาะกับเด็กผู้หญิงแบบนี้ “จะซื้อของฝาก?” วินตาถามตามความคิดที่น่าจะเป็นไปได้แต่จาริลกลับให้คำตอบที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน “ผมมาตามหาสาวคนหนึ่งน่ะครับ ตอนจบคอนเสิร์ตเธอตามมาส่งเราขึ้นรถ แล้วก็สอดนามบัตรเข้ามาในแขนเสื้อผม” “แล้วนายก็มาจริงๆ เนี่ยนะ” วินตาหันขวับไปมองหน้ารุ่นน้องอย่างไม่อยากจะ เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่ารุ่นน้องคนนี้จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ “ครับ พี่อย่าบอกใครนะ” แม้แต่แฟนคลับที่ควรจะยกเว้น แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจงั้นเหรอ วินตาถึงกับพูดไม่ออก คนเป็นรุ่นพี่จึงทำใจนิ่งแล้วเดินเคียงคู่ร่างสูงเข้าไปหยุดอยู่ภายในร้านทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป แขกผู้มาเยือนจึงได้พบกับเจ้าของร้านหรือเจ้าของนามบัตรที่จาริลตั้งใจมาพบเจอ สาวสวยคนนั้นส่งยิ้มกว้างมาทักทายพวกเธอเป็นอย่างแรก บรรยากาศระหว่างพวกเธอทั้งสามเหมือนจะเป็นไปด้วยความอึดอัด หญิงสาวแสดงความ
หลงทาง วินตารำพึงในใจอย่างห่อเหี่ยว หญิงสาวเดินเต็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่าตนเองวนกลับมาทางเดิม เมื่อรู้ตัวเช่นนั้นเธอจึงไม่มีกะจิตกะใจจะเที่ยวเล่นอีกต่อไป สองเท้าหยุดเดินพลางคลำหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อสูท เมื่อหยิบมันขึ้นมาแล้วนิ้วเรียวรีบเลื่อนหารายชื่อก่อนจะกดโทรหาคนที่พึ่งพาได้มากหี่สุด รอไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้นเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นทักทายเธออย่างสดใส “ไงคะ” “พี่แอร์โรว์อยู่ไหนคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามรุ่นพี่ที่คาดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังเดินอยู่ที่ใดสักแห่งแถวๆ นี้ “พี่อยู่ที่... เอ่อ ที่ร้านขายไก่ย่างเสียบไม้ ตรงนี้มันโซนขายของกิน” “เอ่อ พี่คะ วินนี่หลงทางทำไงดี” วินตาพูดเหมือนจะร้องไห้ ใบหน้าหันมองรอบ กายแต่ไม่มีใครรู้จักเธอ อย่างน้อยยามนี้ถ้าเธอเจอแฟนคลับเข้าสักคน เธอก็คงจะ กล้าขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นบ้าง “แล้วจาริลไปไหน? วินนี่ ไปกับจาริลไม่ใช่เหรอ แล้วมันอยู่ไหน?” “ไม่รู้ วินนี่หลงกับน้อง” “โทรหารึยัง จะได้พากันกลับมา” แต่คำแนะนำนั้นกลับทำให้วินตารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จะให้เธอโทรตามอีกฝ่ายได้อย่างไร เธอไม่คิดจะไปขัดจังหวะคนทั้งสองและก็ไม่อยากเรีย
ความเงียบครอบคลุมอยู่นานจนกระทั่งรถตู้ของบริษัทพาทุกคนมาถึงสนามบิน วินตาเริ่มพูดคุยกับทุกคนยกเว้นจาริล เธอไม่สนใจรุ่นน้องที่มาด้วยกันแม้แต่น้อย เมื่อเธอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่เพิ่งมีกลุ่มคนลุกจากไป จาริลก็ทำท่าจะเดินตามลงไปนั่งข้างๆ แต่เธอก็รีบฉุดแขนของแม้นเมืองที่ยืนอยู่ให้นั่งตามลงมาแทน ทำให้ที่นั่งฝังนี้ไม่เหลือที่ว่างให้ร่างสูงอีกแล้ว จาริลมองรุ่นพี่อย่างเข้าใจดีทุกอย่าง แต่มันสายเกินไปที่เพิ่งจะมารับรู้ ความรู้สึกของอีกฝ่ายเอาตอนนี้ เขายอมรับว่าเขาผิดที่ทิ้งพี่วินนี่ให้อยู่คนเดียว แบบนั้น เขาน่าจะคิดให้ดีก่อนที่จะทำมันลงไป “พี่โกรธผมจริงๆ ใช่ไหม?” จาริลถามต่อหน้าสมาชิกในวงทั้งสามคนของเขา อคินที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกจากที่นั่งแล้วผลักจาริลให้นั่งลงแทนที่ตน ส่วน อีกสองคนที่เหลือต่างก็หันไปมองทิศทางอื่นทำราวกับไม่สนใจการมีอยู่ของชายและหญิงคู่นี้สองคนตรงนี้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าจาริลกำลังง้อรุ่นพี่อยู่ “โกรธผมเหรอ...” จาริลยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ร่างบางมากขึ้น จนวินตาต้องใช้ สองมือดันหน้าอกจาริลไ
“แฮ่กๆๆ” เสียงหอบหนักของวินตาดังขึ้นเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง แต่อย่าเป็นอิสระเสียยังดีกว่า หากมันจะดึงดูดความสนใจจากร่างสูงไว้ให้หยุดทุกอย่างอยู่เพียงเท่านี้ วินตาก็จะยอมให้อีกฝ่ายจูบต่อให้นานตราบเท่าที่อีกฝ่ายพึงพอใจ ทว่าการจูบไม่เคยเพียงพอสำหรับจาริล ชายหนุ่มผละกายออกมาก็เพื่อจะเริ่มบรรเลงบทรักที่แท้จริงต่อจากนี้ เขากำลังจะครอบครองเรือนร่างของวินตาในไม่ช้า “ริล... ริลอย่า...” วินตาอ้อนวอนรุ่นน้องด้วยหัวใจที่เต้นแรงด้วยความกลัว นัยน์ตาสีน้ำตาลเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสที่เตรียมจะไหลรินได้ทุกเมื่อ และในไม่ช้า... มันจะหลั่งไหลลงมาเพราะการกระทำของจาริล “จาริลอย่า... ฮือออ...” หญิงสาวยกแขนข้างหนึ่งขึ้นบิดบังใบหน้า เธอทำใจไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นคนที่กำลังทำร้ายเธอ จาริลยกขาเปลือยเปล่าของวินตาขึ้นอ้ากว้าง ก่อนจะยัดเอียดความเป็นชายของตนผ่านช่องทางคับแน่นจนไม่สามารถแทรกแก่นกายผ่านเข้าไปได้ ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ต่างอะไรจากการถูกเศษแก้วบาดเมื่อครู่ แต่ในวินาทีต่อมาเธอก็ได้รู้ว่ามันเจ็บยิ่งกว่าบาดแผลที่ถูกเศษแก้วแทงที่ต้นขาขนาดไหน จาร
นานเท่าไรแล้ว... วินตาไม่อาจรู้ เวลาแห่งความทุกข์ทรมานล่วงเลยผ่านไปนับชั่วโมงจนเธออยากจะหายตัวไปจากสถานที่แห่งนี้ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปถึงจุดสุดยอดแล้วกี่ครั้ง รวมถึงไม่สามารถนับหยดน้ำตาที่สูญเสียไปได้เช่นเดียวกัน ภายในห้องพักของวินตายามนี้กลับกลายเป็นสถานที่ก่อกิจกามของร่างสูงที่การเสพสมครั้งไหนก็ยังไม่สามารถสนองตัณหาของเขาได้ ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ร่างสูงไม่เคยถอนส่วนที่เชื่อมอยู่ภายในกายของอีกคนออกมาเลย... เสร็จแล้วก็เริ่มใหม่... เหมือนยังไม่หนำใจและจะดำเนินต่อไปแม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงและเริ่มเข้าสู่เช้ากันใหม่ สิ่งเดียวที่วินตาทำได้ในตอนนี้คืออดทนรอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป “อืม... นี่ฉันมีอะไรกับท่อนไม้เหรอเนี่ย ทำไมถึงได้นิ่งเงียบขนาดเน้” จาริลส่ายหน้าไม่พอใจ ก่อนจะก้มลงกดจูบไปที่ทรวงอกงามของหญิงสาวจนเป็นรอยแดง อีกฝ่ายพยายามดันใบหน้าของคนด้านบนออกห่างแต่ก็ถูกตรึงมือทั้งสองข้างไว้ กับเตียงแน่น ใบหน้าของวินตาเชิดขึ้นเมื่อปลายลิ้นของจาริลระรานยอดอกข้างซ้ายของเธอ “อื้มมม” อีกฝ่ายส่งเสียงครางในลำคออย่างอิ่มเอมใจเ
นี่เหรอ คนที่บอกว่าจะไม่ดื่มจนเมาปลิ้น จาริลที่คอยระมัดระวังตัวมาเสมอคนนั้น ยามนี้กลับเป็นที่น่าผิดหวังแก่หญิงสาวที่กำลังมองดูอยู่เหลือเกิน วินนี่ วินตา คือคนที่ถูกสั่งให้เดินทางแวะมารับรุ่นน้องกลับไปซ้อมการแสดงที่ค่ายเพลง แต่ทันทีที่เดินทางมาถึงและเข้าไปเจอตัวคนที่เฝ้าตามหา เจ้าตัวก็แทบจะอยากวิ่งหนีหลบฉากออกไปให้หน้าหายร้อนผะผ่าวเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ เมื่อภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังก่อกิจกามอยู่บนเตียงนอนในห้องพักที่ผู้ใช้บริการทั้งสองคนไม่แม้แต่จะใส่ใจปิดประตูล็อค ทำให้นักร้องสาวหน้าหวานมองเห็นทุกอย่างได้โดยไม่มีสิ่งใดมาบดบัง อีกทั้งสองร่างที่เกือบจะหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตรงนั้นก็ยังไม่สนใจรับรู้การมาเยือนของเธอ หญิงสาวเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นแทนความรู้สึกอับอายในตอนแรก เธอจำต้องรีบพาตัวเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้เพื่อให้หลุดพ้นจากภาพที่ไม่น่ามองของทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพการกระทำของจาริล รุ่นน้องร่วมค่าย เขาไม่อยากเห็นอีกฝ่ายในอิริยาบถที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้เลย “ริล ริล!” แต่ปราศจากการสนใจใดใดทั้งสิ้น คราวนี้ขาเรียวก้าวเข้าไปประชิดกับเตียงกว้างและพยายามไม
“พี่ส่งน้องแค่นี้นะ พรุ่งนี้เจอกัน” วินตาบอกชายหนุ่มที่เพิ่งถูกดันหลังให้เข้าไปยืนอยู่ภายในห้องของเธอชั่วคราว เพราะไม่รู้ว่าคนเมาไปลืมกุญแจห้องเอาไว้ที่ไหน เธอคิดว่าบางทีอาจจะเป็นที่ห้องวีไอพีในผับนั้นก็เป็นได้ และเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายเก็บกุญแจสำรองไว้ที่ไหน สำหรับเธอที่ทำหน้าที่รับรุ่นน้องร่วมค่ายกลับมาก็ถือว่าหมดหน้าที่ลงเพียงเท่านี้ ครั้นจะให้คนอย่างเธอเข้าไปดูแลคนเมาด้วยการถอดเสื้อผ้าแล้วเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดตามตัวรุ่นน้องล่ะก็ ลืมไปได้เลย เพราะวินตาไม่มีทางทำตามละครที่เคยดูเด็ดขาด ในเมื่อจาริลอยากดื่มเหล้าจนเมามายก็สมควรแล้วที่จะปล่อยทิ้งไว้ทั้งสภาพเช่นนั้น คนไม่สนใจอาการของคนเมาที่พากลับมาตัดสินใจหันหลังเดินจากไปและเตรียมจะกลับไปยังรถยนต์เพื่อหิ้วถุงอาหารเครื่องดื่มที่ซื้อตุนไว้ขึ้นมาเก็บในครัว ทว่าเสียงอะไรบางอย่างก็ทำเอาฝ่าเท้าของเธอชะงัก กึก! เสียงรองเท้าหล่นกระทบกับพื้นดังขึ้น เมื่อมือของคนเมาดึงรองเท้าข้างหนึ่งของเธอไว้จนมันหลุดออกมา หญิงสาวเหลียวกลับไปมองที่พื้นห้องก็พบว่าร่างของจาริลนอนควํ่าอยู่บนพื้นโดยที่มือข้างหนึ่งวางลงใกล้ๆ กับรองเท้าของเขาข้างที่ถู
“จาริลปล่อยสิวะ ปล่อย! ได้สติสักทีสิ!” วินตาที่อารมณ์ขาดผึงหันกลับไปใช้มือฟาดเข้าที่ใบหน้าของร่างสูงที่กำลังดึงกายเธอให้กลับไปหา ชายหนุ่มชะงักเพราะความเจ็บที่ได้รับ ทำให้แขนของวินตาลื่นหลุดออกจากกำมือนั้นได้ชั่วขณะแต่ไม่ทันไรร่างบางก็ล้มลงกับพื้นข้างเตียงด้วยอาการเสียหลัก ทำให้ต้นขาขวาของเธอถูกเศษกระจกทิ่มเข้ามาทะลุขากางเกงยีนส์ หญิงสาวอ้าปากค้าง รู้สึกเจ็บจนเสียงหาย อยากจะรีบลุกขึ้นจากพื้นแต่ก็ทำไม่ได้ เธอยังคงมองขากางเกงที่มีเลือดซึมชื้นออกมาอย่างน่าใจหาย เพราะร่างรุ่นพี่ได้รับบาดเจ็บจนลุกขึ้นไม่ไหวนั่นเองจึงกลายเป็นโอกาสให้จาริลฉุดร่างที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมานอนหงายหลังลงบนเตียงนอน ก่อนจะทำการปิดทางหนีทีไล่ด้วยวงแขนแกร่งที่กักขังอีกคนไว้ไม่ให้หนีรอดออกไปได้ ยามนี้เรี่ยวแรงครึ่งหนึ่งของวินตาหายไปพร้อมกับความเจ็บปวดจากบาดแผล ส่วนอีกครึ่งที่เหลืออยู่ก็กำลังถูกร่างสูงสูบเอาไปด้วยรสจูบฝาดเลือดที่แสนเจ็บปวดทรมาน ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่เธอต้องกลืนเลือดของตัวเองที่เกิดจากการถูกใครอีกคนขบกัดริมฝีปากด้านในจนเป็นแผล เลือดรสขมเค็มค่อยๆ ไหลลงคอเมื่อลิ้นของคนด้านบน ถูกส่งผ่านมาพร้อมรสจูบ
ความเงียบครอบคลุมอยู่นานจนกระทั่งรถตู้ของบริษัทพาทุกคนมาถึงสนามบิน วินตาเริ่มพูดคุยกับทุกคนยกเว้นจาริล เธอไม่สนใจรุ่นน้องที่มาด้วยกันแม้แต่น้อย เมื่อเธอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่เพิ่งมีกลุ่มคนลุกจากไป จาริลก็ทำท่าจะเดินตามลงไปนั่งข้างๆ แต่เธอก็รีบฉุดแขนของแม้นเมืองที่ยืนอยู่ให้นั่งตามลงมาแทน ทำให้ที่นั่งฝังนี้ไม่เหลือที่ว่างให้ร่างสูงอีกแล้ว จาริลมองรุ่นพี่อย่างเข้าใจดีทุกอย่าง แต่มันสายเกินไปที่เพิ่งจะมารับรู้ ความรู้สึกของอีกฝ่ายเอาตอนนี้ เขายอมรับว่าเขาผิดที่ทิ้งพี่วินนี่ให้อยู่คนเดียว แบบนั้น เขาน่าจะคิดให้ดีก่อนที่จะทำมันลงไป “พี่โกรธผมจริงๆ ใช่ไหม?” จาริลถามต่อหน้าสมาชิกในวงทั้งสามคนของเขา อคินที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกจากที่นั่งแล้วผลักจาริลให้นั่งลงแทนที่ตน ส่วน อีกสองคนที่เหลือต่างก็หันไปมองทิศทางอื่นทำราวกับไม่สนใจการมีอยู่ของชายและหญิงคู่นี้สองคนตรงนี้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าจาริลกำลังง้อรุ่นพี่อยู่ “โกรธผมเหรอ...” จาริลยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ร่างบางมากขึ้น จนวินตาต้องใช้ สองมือดันหน้าอกจาริลไ
หลงทาง วินตารำพึงในใจอย่างห่อเหี่ยว หญิงสาวเดินเต็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่าตนเองวนกลับมาทางเดิม เมื่อรู้ตัวเช่นนั้นเธอจึงไม่มีกะจิตกะใจจะเที่ยวเล่นอีกต่อไป สองเท้าหยุดเดินพลางคลำหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อสูท เมื่อหยิบมันขึ้นมาแล้วนิ้วเรียวรีบเลื่อนหารายชื่อก่อนจะกดโทรหาคนที่พึ่งพาได้มากหี่สุด รอไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้นเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นทักทายเธออย่างสดใส “ไงคะ” “พี่แอร์โรว์อยู่ไหนคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามรุ่นพี่ที่คาดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังเดินอยู่ที่ใดสักแห่งแถวๆ นี้ “พี่อยู่ที่... เอ่อ ที่ร้านขายไก่ย่างเสียบไม้ ตรงนี้มันโซนขายของกิน” “เอ่อ พี่คะ วินนี่หลงทางทำไงดี” วินตาพูดเหมือนจะร้องไห้ ใบหน้าหันมองรอบ กายแต่ไม่มีใครรู้จักเธอ อย่างน้อยยามนี้ถ้าเธอเจอแฟนคลับเข้าสักคน เธอก็คงจะ กล้าขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นบ้าง “แล้วจาริลไปไหน? วินนี่ ไปกับจาริลไม่ใช่เหรอ แล้วมันอยู่ไหน?” “ไม่รู้ วินนี่หลงกับน้อง” “โทรหารึยัง จะได้พากันกลับมา” แต่คำแนะนำนั้นกลับทำให้วินตารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จะให้เธอโทรตามอีกฝ่ายได้อย่างไร เธอไม่คิดจะไปขัดจังหวะคนทั้งสองและก็ไม่อยากเรีย
สำหรับวินตาแล้วมันเป็นเพียงร้านธรรมดาๆ ร้านหนึ่งจึงพาลให้นึกสงสัยว่าคนที่พามากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้พาเธอแวะเข้าร้านที่เหมาะกับเด็กผู้หญิงแบบนี้ “จะซื้อของฝาก?” วินตาถามตามความคิดที่น่าจะเป็นไปได้แต่จาริลกลับให้คำตอบที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน “ผมมาตามหาสาวคนหนึ่งน่ะครับ ตอนจบคอนเสิร์ตเธอตามมาส่งเราขึ้นรถ แล้วก็สอดนามบัตรเข้ามาในแขนเสื้อผม” “แล้วนายก็มาจริงๆ เนี่ยนะ” วินตาหันขวับไปมองหน้ารุ่นน้องอย่างไม่อยากจะ เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่ารุ่นน้องคนนี้จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ “ครับ พี่อย่าบอกใครนะ” แม้แต่แฟนคลับที่ควรจะยกเว้น แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจงั้นเหรอ วินตาถึงกับพูดไม่ออก คนเป็นรุ่นพี่จึงทำใจนิ่งแล้วเดินเคียงคู่ร่างสูงเข้าไปหยุดอยู่ภายในร้านทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป แขกผู้มาเยือนจึงได้พบกับเจ้าของร้านหรือเจ้าของนามบัตรที่จาริลตั้งใจมาพบเจอ สาวสวยคนนั้นส่งยิ้มกว้างมาทักทายพวกเธอเป็นอย่างแรก บรรยากาศระหว่างพวกเธอทั้งสามเหมือนจะเป็นไปด้วยความอึดอัด หญิงสาวแสดงความ
สัปดาห์ต่อมาหลังจากการเดินทางไปร่วมคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัดได้จบลง... “ทุกคนตัดสินใจกันรึยังว่าจะไปเที่ยวที่ไหน?” แม้นเมืองเดินเข้ามาวางกระเป๋าเดินทางลงบนพื้นข้างโซฟาตัวยาวบริเวณ ล็อบบี้ของโรงแรม หลังจากถามความคิดเห็นจากทั้งสี่คนที่มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาก็ได้รับคำตอบจากจาริลก่อนใครเพื่อน แต่คำตอบนั้นกลับเป็นไปในเชิงขอความคิดเห็น “เราแยกกันไปตามที่ที่เราอยากไปดีไหม?” “ไปกันทั้งหมดเลยสิ” วินตาที่นั่งอยู่ใกล้กับจาริลหันไปกล่าวทว่าความคิดนั้นกลับ ส่วนทางกับความคิดเห็นของรุ่นน้องอีกคนหนึ่ง เฮกเตอร์เอ่ยขึ้นบ้างเมื่อมีชื่อสถานที่เอาไว้แล้วในใจ “เราแยกไปในที่ที่เราอยากไปดีกว่า กูกับทีมงานบางคนจะไปร้านเหล้า” “งั้นผมขอไปกับทีมงานและพี่ผู้จัดการนะ เราจะไปซื้อของที่ถนนคนเดินน่ะ” แม้นเมืองเอ่ยบอก ยามนี้ทีมงานและศิลปินหลายคนต่างทยอยกันเดินเข้ามาจับจองที่นั่งบริเวณล็อบบี้เพื่อรอออกเดินทางกันจนเกือบจะครบทุกคนแล้ว เห็นดังนั้นแม้นเมืองจึงรีบพูดคุยเรื่องแพลนเที่ยว ทั้งตัวเขาและเฮคเตอร์ต่างก็มีสถานที่ที่อยากไปแตกต่างกัน และเมื่ออคินเลือกจะไปกับเฮคเตอร์ด้วยแล้วยามนี้เหลือคนคู่หนึ่งที่
“พี่วินนี่ นี่บีน่า แฟนผมเองครับ” เสียงแนะนำบุคคลตรงหน้าดังขึ้นมาจาก ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอ วินตาหันมองเสี้ยวหน้าของรุ่นน้อง นึกไม่ถึงว่าการชวนออกมาเที่ยวด้วยกันคืนนี้จะกลายเป็นการพามารู้จักกับแฟนสาวคนใหม่ของจาริล ซึ่งเป็นคนที่เท่าไรนับตั้งแต่เจ้าตัวเข้าวงการมาหญิงสาวก็จำไม่ได้ แม้ว่าทางค่ายจะไม่ได้คุมเข้มเรื่องการเดทของศิลปิน แต่พวกหนุ่มๆ ก็ไม่มีโอกาสคบหากับใครยกเว้นเพียงจาริล คนถัดมาจากช่อฟ้า สาวนอกวงการคนนั้น ก็คือบีน่ หรือซาบีน่า นางแบบลูกครึ่งนี่เอง วินตาหันไปส่งยิ้มทักทายสาวสวยตรงหน้าเป็นมารยาท เธอไม่คิดว่าจะได้รับคำชมกลับมาในทันที “ยินดีที่ได้เจอตัวจริงนะคะ พี่วินนี่ผิวเนียนใสมากๆ เลย” “ไม่ขนาดนั้นหรอก บีน่าก็ขาวนะ ขาวกว่าจาริลอีก” “ไปกันเถอะ ยืนอยู่ตรงนี้นานเดี๋ยวมีคนมาขอถ่ายรูปหรอก” จาริลเอ่ยก่อนจะผละกายจากวินตาแล้วก้าวเข้าไปคว้ามือของหญิงสาวตรงหน้ามากุมไว้ การกระทำนั้นคงจะทำให้วินตาน้อยใจเข้าแล้ว หากไม่ใช่ว่าร่างสูงหันกลับมาดึงแขนเสื้อเธอให้ก้าวเดินตามไป “พี่วินนี่มาเดินคนละฝังกับผมดิ ให้บีน่าอยู่ตรงกลาง คนจะได้ไม่สงสัยว่าเราเป็นแฟนกัน” จาริลว่าพลางสะกิดให้
“แม้แต่ในบ้านตัวเองก็ยังหลง” กล่าวจบแล้วก็เดินกลับเข้าห้องตัวเองไป ทิ้งให้หญิงสาวเพียงคนเดียวยืนหน้าร้อนผ่าวอยู่ตรงข้ามเจ้าของห้องวินตารู้สึกอายที่สับสนระหว่างห้องนอนของรุ่นน้องทั้งสอง“มีไรเหรอ…”“ขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหม?”“อื้อ”วินตาเดินตามเงาหลังของร่างสูงเข้าไปในห้อง เขานั่งลงปลายเตียงเคียงข้างชายหนุ่ม ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟและเธอก็ไม่ได้ขอให้อีกฝ่ายเปิดมัน เพราะเป็นพวกชอบอยู่ในความมืดอยู่แล้ว นาทีนี้เธอจึงบอกเล่าเรื่องราวผ่านความมืดที่มองไม่เห็นตัวผู้ฟัง“มีอะไรเหรอครับ?” จาริลถามเข้าเรื่องเพราะรู้ดีว่าหากไม่มีธุระรุ่นพี่คงไม่เข้ามาหาเขาถึงในห้อง และมันมักจะเป็นแบบนี้มาเสมอนับตั้งแต่ที่เขายังเป็นศิลปินฝึกหัด แม้พวกเขาจะมาสนิทกันภายหลังแต่รุ่นพี่ก็ยังมีระยะห่างกับทุกคนวินตาจ้องมองไปยังตำแหน่งที่คาดว่าเป็นใบหน้าของจาริล เขาถอนหายใจเหมือนคนสิ้นหวัง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยบอกจาริลออกไปถึงความทุกข์ในใจที่มีอยู่“พี่ชายน้องบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว”“ฮะ! ว่าไงนะครับ?”ร่างสูงรีบยื่นมือไปจับสองแขนของร
เป็นเวลากว่าหลายอาทิตย์แล้วที่วินตาติดต่อกับรามิลโดยไม่มีใครรู้นอกเหนือจากจาริล เธอใช้เวลาว่างที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละวันแชทหาอีกฝ่าย บางคืนก่อนนอนหากยังไม่เหนื่อยล้าพวกเธอจะวิดีโอคอลหากันเพื่อบอกฝันดีให้ชื่นใจ เมื่อตื่นขึ้นมาเช้าวันใหม่เธอมักจะได้อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้กำลังใจว่า 'สู้ๆ' นั่นยิ่งทำให้วินตาเบิกบานใจจนอยากให้ทุกๆ วันเป็นแบบนี้ไปอีกนานตอนนี้พวกเธออยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และกำลังรอเรียกคิวไปสแตนด์บายหลังเวทีประกาศรางวัล ศิลปินจากค่ายของเธอที่ถูกเชิญมาร่วมงานจึงยังมีท่าทีผ่อนคลายและบ้างก็พูดคุยกันเงียบๆ บ้างอัพสตอรี่ไอจีหรือติ๊กต็อก ในขณะที่วินตาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อยี่สิบห้านาทีก่อนรามิลส่งข้อความตอบแชทของเธอ ข้อความที่เธอส่งไปหาเขานั้นเป็นการบอกเล่าให้รู้ว่าเธอกำลังจะขึ้นทำการแสดงบนเวทีประกาศรางวัล หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงนับจากข้อความนั้นถูกส่ง ชายหนุ่มก็ตอบข้อความกลับมาด้วยประโยคที่เธอไม่อาจคาดเดาน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เลย'ถ้ากลับมา เรามีเรี่องต้องคุยกัน'หัวใจของวินตาเต้นแรงเมื่อได้อ่านประโยคที่ไม่รู้ว่าผู้ส่งกำลังคิดหรือ
จาริลรู้สึกเหมือนถูกขัดใจอย่างรุนแรงและก็คิดว่าอีกไม่นานตนเองคงรู้สึกเหมือนถูกแย่งคนสำคัญในชีวิตไป ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นแต่เป็นคนสำคัญตรงหน้านี้“เดี๋ยวมานะ”“ไปไหน?”รามิลเงยหน้าขึ้นถามเมื่อน้องชายลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง ฝ่ายคนที่ไม่อยากอยู่เห็นฉากใกล้ชิดของทั้งคู่จึงเอ่ยตอบโดยไม่หันกลับไปมองทั้งสองคนบนโซฟาด้านหลังอีก“ไปหาแม่”ร่างสูงเดินจากมาเพื่อปล่อยให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาไม่ได้เดินไปหาคุณแม่อย่างที่พูดเมื่อฝ่าเท้ามันเดินไปยังห้องว่างอีกห้องหนึ่งที่ปัจจุบันนี้ถูกใช้ต่างห้องเก็บของ เขาบิดประตูแล้วผลักมันเข้าไปก่อนคลำหาสวิตซ์ไฟข้างฝาผนังเมื่อไฟกลางห้องส่องสว่างจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน เขาก็ตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือเป็นสิ่งแรก สองมือเลื่อนลิ้นชักโต๊ะออกมาจนสุดแล้วหยิบกล่องทรงลี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีมือออกมาก่อนจะเคาะมันลงสามครั้งบนก้านนิ้วชี้เพื่อให้วัตถุสารเสพติดที่อัดแท่งอยู่ในมวนกระดาษสีขาวไหลลงมาตามแรงเคาะ จากนั้นจึงนำมันขึ้นมาคาบไว้คาริมฝีปาก มือหยิบไฟแช็กที่วางอยู่ในลิ้นชักตรงนั้นขึ้นมาจุดเปลวไฟพร้อมกับป้องปากกันลมสองนิ้วเ
“ถ้าบอกว่าจะมาก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ แล้วคืนนี้เลิกงานไม่ดึกมากเราถึงได้มากันได้ไง” “ไม่ดึกอะไร ตอนนี้มันสี่ทุ่มแล้วนะ อย่างนี้วินนี่ก็อยู่ได้แค่แปบเดียวน่ะสิ" ร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้จาริลที่นึกหมั่นไส้พี่ชายตนเองอยู่เป็นทุนเดิมนั้นยื่นมือไปตบลงบนบ่าของพี่ชาย “ไม่ต้องเสียดายจ้า เพราะคืนนี้พวกเราจะนอนที่นี่” “จริงเหรอ?” “ใช่ ริลขออนุญาตคุณน้าแล้วด้วย”เมื่อเธอยิ้มมันก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มตามไปด้วย “น้าเตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ห้องนอนแขกอยู่ชั้นล่าง อาจจะรกไปหน่อยเพราะใช้เก็บของบางส่วนของสองคนนี้” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูนอนได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ให้มารบกวน” เมื่อคุณแม่ของลูกชายทั้งสองคนขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้พวกเด็กๆ อย่างเธอได้พูดคุยกัน ภายในห้องนั่งเล่นก็เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ห้องนั่งเล่นมีโซฟาตัวยาวแค่เพียงตัวเดียว จาริลจึงเสียสละนั่งลงบนพี้นแล้วให้รุ่นพี่กับพี่ชายนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ปกติแล้วจาริลไม่เคยยอมให้เพื่อนใกล้ชิดกับพี่ชาย วินตายังเคยถูกกีดกันให้ออกห่างจากรามิลมาแล้วเมื่อครั้งที่เคยเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่นี่ในปีก่อน แ