บางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดี
เฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด
หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน
ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไร
นางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่
พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน ยามหยางซิงอีเกิดมาพร้อมพรากลมหายใจของพระมเหสีไป องค์จักรพรรดิจึงเกลียดชังองค์ชายพระองค์นี้นัก และยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งเกลียดจนไม่อาจสบพักตร์ เหตุเพราะหยางซิงอีมีใบหน้าละม้ายคล้ายพระนาง
หยางซิงอีถูกสั่งห้ามมิให้แย้มยิ้มและแสดงสีหน้าแต่เล็ก จะหัวเราะก็ไม่ได้ จะขมวดคิ้วก็ไม่ได้ เวลาผ่านไปชายหนุ่มจึงกลายเป็นคนไม่มีสีหน้า จะสุขหรือทุกข์ใบหน้าก็เรียบนิ่ง แต่ก็ใช่ว่าหยางซิงอีจะไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวออกมาเลย
ภายใต้พระพักตร์เรียบนิ่งและพระสุรเสียงราบเรียบ พระองค์แสดงความทุกข์ด้วยการขว้างปาสิ่งของ ยามสุขก็รับสั่งขอของหวานที่โปรดปราน มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่บอกได้ว่า หยางซิงอีในเวลานั้น ๆ มีอารมณ์เช่นไร
ในวัยเยาว์ เฉินฝู่หมิงจำได้ดี หากหยางซิงอีรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว พระองค์จะตรัสขอมือนางมาจับไว้คลายหนาว และหากร้อนก็จะขอให้นางช่วยเตรียมน้ำสำหรับลงสรง พระองค์จะคอยทอดพระเนตรทุกการกระทำของนางด้วยพระเนตรทองคำสุกใส
หยางซิงอีแม้จะโหดร้ายแต่ก็มีมุมที่น่ารักเอ็นดูสำหรับนางไม่น้อย
นั่นละ หยางซิงอีของนาง
แต่ก็เพราะเป็นหยางซิงอีอีกเช่นกัน ยามพระองค์ตรัสแก่นางว่า จำอะไรไม่ได้ นางจึงไม่อาจทำใจเชื่อพระองค์ได้
เพราะหยางซิงอี...จะโกหกหรือพูดความจริงสีหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยน
นางไม่เชื่อพระองค์แม้ในยามที่พระองค์สติแตก จนไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ ไม่เชื่อพระองค์แม้จะเห็นพระองค์บรรทมกันแสงทั้งวันทั้งคืนราวกับหัวใจแหลกสลาย ไม่เชื่อพระองค์แม้พระองค์จะเอาแต่เหม่อทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง จนลืมสนพระทัยสำรับอาหารที่นางยกมาถวาย ไม่เชื่อแม้พระองค์จะถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวราวกับไม่เคยรู้จักสิ่งใดมาก่อน และไม่เชื่อแม้ในยามที่ทุกคนในตำหนักเชื่อกันหมด
นางไม่เชื่อพระองค์ ไม่เชื่อจนกระทั่งพลบค่ำวันนั้น วันที่นางนำสำรับอาหารมาถวายถึงห้องบรรทม แล้วพระองค์แย้มพระสรวลอ่อนหวานมาให้ รอยแย้มพระสรวลที่แทบจะทำให้นางเห็นภาพซ้อนทับของพระมเหสีผู้ลาไกล
แค่หนึ่งยิ้มแล้วนางก็เชื่อพระองค์ เพราะนี่คือสิ่งที่หยางซิงอีไม่มีวันกระทำ
นับตั้งแต่นางเฝ้าดูแลองค์ชายเจ็ดมา 17 ปี นี่เป็นรอยแย้มพระสรวลแรกที่นางได้รับจากพระองค์ แม้ผู้ที่ส่งยิ้มให้นาง จะมิใช่องค์ชายหยางซิงอีพระองค์เดิมอีกแล้วก็ตาม
บางที...นี่อาจเป็นสวรรค์เมตตาให้องค์ชายน้อยของนางหลงลืมทุกสิ่งอย่างในวังหลวง หญิงสูงวัยคิด ขณะแผ่นหลังเล็กของนางแนบประตูไม้ด้านนอกของห้องบรรทมที่จงใจอิงไว้เพื่อให้มีแรงยืน
มือเหี่ยวย่นหยาบกระด้างยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ไม่มีอีกแล้วองค์ชายเจ็ดผู้โหดร้ายเย็นชา ไม่มีอีกแล้ว หยางซิงอีที่นางเลี้ยงดูมากับมือ ไม่ว่าจะพระหัตถ์เล็กที่เคยขอให้นางจับเพื่อคลายหนาว พระเนตรสุกใสที่เคยเห็นยามนางตักน้ำให้สรง หรือพระพักตร์เย็นชาล้วนหายไปหมดสิ้น จะเหลือก็แต่หยางซิงอีคนนี้ หยางซิงอีผู้ไม่รู้สิ่งใด หยางซิงอีผู้สะอาดบริสุทธิ์จากมลทินของวังหลวง...หยางซิงอีผู้มีรอยแย้มพระสรวลของพระมเหสี
ทั้ง ๆ ที่คืนนั้น นางจะรั้งพระองค์ไว้ในวังก็ยังได้ ทั้ง ๆ ที่ในสมองคล้ายได้ยินเสียงเตือนบางอย่าง แต่นางก็ยังเลือกที่จะปล่อยพระองค์ไป หรือลึกลงไปแล้วเป็นนางเองที่อยากให้พระองค์จากไป จากไปจากสถานที่แห่งนี้ จากไปจากบาปกรรมที่พระองค์ได้ก่อไว้ ให้พระองค์ได้เป็นอิสระจากวังหลวงและราชสำนักที่ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดมากมายราวกับท้องทะเล นางก็ไม่อาจบอกได้
หยางซิงอีของนาง องค์ชายน้อยที่นางเฝ้าภาวนาต่อเทพเซียนและพุทธองค์ ขอให้พระองค์มีความสุข
หากพระองค์จากไปแล้วมีความสุข เช่นนั้น นางก็จะยินดีกับพระองค์ แต่หากพระองค์เพียงอยากลืมเลือนทุกสิ่งอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ เช่นนั้น นางก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ไปกับพระองค์
เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน...นางจะอยู่กับพระองค์เอง
จะดูแลให้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง จะดูแลให้ดียิ่งกว่าเดิมจนลมหายใจสุดท้ายอย่างที่มารดาคนหนึ่งจะกระทำให้บุตรได้
ฉะนั้น เมื่อพระองค์เรียกหานาง นางย่อมขานรับพระองค์อย่างที่เคยทำทุกคืนวัน
ไม่ชิน อันวาร์ วราหะรู้สึกไม่ชินกับตู้เสื้อผ้าของหยางซิงอีอย่างแรง
เมื่อจิตใจเข้มแข็งขึ้น อันวาร์ก็เริ่มใส่ใจรายละเอียดรอบตัวตั้งแต่เตียงในห้องไปจนถึงฝ้าเพดาน
ห้องของหยางซิงอีเป็นสีขาวจะมีสีสันอื่นก็เพียงเครื่องเรือนจากไม้ขัดมันสีดำ และดอกไม้สีแดงสดในแจกันกระเบื้องเคลือบ ดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชื่อ ดอกไม้ที่ดูเหมือนเปลวไฟ ห้องนี้มีหน้าต่างกลมอยู่บานหนึ่งขนาดใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าความสูงของหยางซิงอีราวครึ่งคนเห็นจะได้ ที่ริมหน้าต่างมีเก้าอี้ไม้ตัวยาวสีดำสนิทซ้อนเบาะนิ่มสีขาวประดับหมอนอิง คาดว่าใช้สำหรับนั่งชมต้นบ๊วยด้านนอก แต่ถึงจะมีข้าวของภายในห้องพร้อมสรรพจัดเก็บเป็นระเบียบมากมายเพียงไร ในสายตาอันวาร์ ห้องนี้กลับดูว่างเปล่าอย่างน่าประหลาดจนทำให้เขารู้สึกหดหู่
ต้องเป็นเพราะสีแน่ ๆ ชายหนุ่มคิด ก่อนจะเริ่มรื้อดูตู้เสื้อผ้าและหีบสมบัติของหยางซิงอี ผ่านไปครึ่งชั่วยามกับห้องรก ๆ อีกหนึ่งห้อง อันวาร์ วราหะก็พบว่า ข้าวของของหยางซิงอี ไม่ว่าจะเครื่องประดับหรือเพชรนิลจินดาล้วนเป็นแนวเดียวกันหมด สีขาวและดำ
หมอนี่มันไม่มีเสื้อสีอื่นใส่เลยหรือไงวะ ห้องก็มีแค่ 2 สี เสื้อผ้าก็มีแค่ 2 สี คือชีวิตจะมีแต่ขาวกับดำเหรอ โอเค ถ้ามันเป็นความชอบเขาก็เข้าใจ แต่หยางซิงอีนี่มันจะเกินจริงไปแล้วนะ คือนายเป็นองค์ชายไง จะไม่มีเสื้อสำหรับออกงานหรือเสื้อผ้าตามธีมงานพิธีต่าง ๆ เลยจริง ๆ เหรอ
แปลกนี่มันแปลกมาก แต่ในเมื่ออีกคนไม่อยู่ให้เขาถามแล้วว่า ทำไมสภาพความเป็นอยู่ทางสีสันถึงมาได้ไกลจนเหลือแค่ 2 สีขนาดนี้ เขาก็ได้แต่ปลงตก
หมายถึงปลงที่ถามไม่ได้ ไม่ได้ปลงที่จะไม่เปลี่ยนสีนะ! เพราะของจังซี่มันต้องถอน มันต้องถอน เขาจะบอกลาความพิการทางสีสันนี้ให้ดู ความหดหู่เหรอ เฮอะ! มาเจอสีเสื้อมงคลเหมือนรุ้งเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงของเขาหน่อยเป็นไง
“บอกเลย หายแน่! พลังแห่งสีสันจะเยียวยาทุกสิ่ง
และเพราะเป็นเช่นนี้เขาจึงเรียกหาหญิงรับใช้ที่คล้ายจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้เห็นหน้ามาเข้าพบ
...เฉินฝู่หมิง
“องค์ชายเจ็ดเรียกหาหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าพระองค์มีสิ่งใดให้เฉินฝู่หมิงผู้นี้รับใช้หรือเพคะ” แล้วนางก็ขานรับเขาเช่นทุกวันที่ได้เจอ
“คุณป้าครั- เอ๊ย ท่านป้าเฉิน” เฉินฝู่หมิงฟังองค์ชายตรงหน้าเรียกนาง เห็นนัยน์ตาทองคำฉายแววลังเล และเมื่อนางไม่ขานรับ พระองค์ก็คล้ายจะนึกอะไรได้
นางเห็นพระองค์แย้มพระโอษฐ์แหยครั้งหนึ่ง ก่อนพระองค์จะช้อนพระเนตรทองคำขึ้นมองใบหน้านางจากหน้าโต๊ะหนังสือ
“เอ่อ...เฉินฝู่หมิง” พระองค์ตรัสออกมาเสียงแผ่วคล้ายจะขอโทษไปในที
“เพคะองค์ชาย” และเมื่อนางขานรับ พระองค์ก็แย้มพระสรวลยินดี
“ที่นี่...ข้ามีเสื้อผ้าสีอื่นไหมเฉินฝู่หมิง”
“ไม่มีเพคะองค์ชาย”
“เป็นเช่นนั้น...”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“เยี่ยงนั้น ข้าหาซื้อเสื้อผ้าได้ที่ใดบ้างหรือเฉินฝู่หมิง ข้าว่าเสื้อผ้าของข้ามันออกจะดูน่าหดหู่ไปเสียหน่อยน่ะ”
สดใสราวกับดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิหลังฤดูหนาวอันยาวนาน
วันใหม่...หยางซิงอีคนใหม่
เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน...นางจะอยู่กับพระองค์เอง
หลินซีในฐานะอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของซูมู่ถงและซานหลิน ทั้งชีวิตจัดว่าเคยเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมายทั้งสิ่งแปลกพิสดาร สิ่งสวยงาม และสิ่งไม่สวยงาม แต่ไม่มีสักครั้งที่สิ่งเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดดวงตาจนแทบจะร้องไห้ และเขาก็ไม่เคยเชื่อด้วยว่า การมองบางอย่างเช่นเสื้อผ้าจะสามารถทำให้ชายอกสามศอกเช่นตนหลั่งน้ำตาได้ไม่เชื่อจนกระทั่งเขาเห็นฉลองพระองค์ขององค์จักรพรรดิหยางในสายวันหนึ่ง ที่พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการด่วน...ตาแทบบอด เจ็บตาจนไม่ได้ยินสิ่งที่องค์จักรพรรดิตรัสถามแค่เห็นสีฟ้าสดบนพระวรกาย หลินซีผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าให้ผู้ใดเห็นก็แทบจะยู่หน้ายิ่งพระองค์ย่างพระบาทมาใกล้เขายิ่งอยากถอยห่าง ใจกรีดร้องว่า ได้โปรดหยุด เขายังไม่อยากให้ตาเห็นเพียงสีฟ้า เขายังอยากเห็นโลกที่สดใส อยากเห็นดอกไม้ใบหญ้า และสาวงามใต้ตาของหลินซีกระตุกสลับซ้ายขวา ไม่รู้เป็นเพราะดวงตาอยากจะติดขาออกมาวิ่งหนีสีฟ้าที่ใกล้เข้ามา หรือธาตุไฟกำลังจะเข้าแทรกกันแน่สวรรค์ประทานพร! ยิ่งมององค์จักรพรรดิเขายิ่งเจ็บตาเขาทราบดีว่า องค์จักรพรรดิมีพระร
องค์จักรพรรดิอยากพบเขา?อันวาร์ยืนมองร่างของหยางซิงอีที่สะท้อนมาในกระจก แม้จะผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เขาก็ยังไม่ชินกับการตื่นมาเห็นตัวเองร่างใหม่นัก อย่างว่าเขาอยู่กับร่างเดิมมายี่สิบหกปี อยู่ ๆ ตื่นมากลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด มันก็ต้องมีปรับตัวใหม่กันบ้าง แต่เรื่องชินไม่ชินมันก็เรื่องหนึ่ง เรื่องสำคัญคือเรื่องนี้ต่างหากเรื่องที่องค์จักรพรรดิอยากพบเขาโอเค ไม่แปลกที่พี่น้องจะอยากเจอหน้ากันบ้าง เพราะอย่างไรองค์จักรพรรดิกับหยางซิงอีก็เป็นพี่น้องกัน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมเป็นตอนนี้ ทำไมเพิ่งมาอยากพบเขาเอาป่านนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าก็สามารถพบกันได้ตลอด ยิ่งหยางซิงอีเกิดเหตุประหลาดตื่นมาความจำเสื่อม จริง ๆ อีกคนน่าจะเรียกเขาเข้าพบเร็วกว่านี้ หรือไม่ก็ตั้งแต่ทราบข่าวอาการประหลาดของหยางซิงอีเสียด้วยซ้ำ แต่นี่กลับทิ้งเวลามายาวนานถึงเดือนกว่าเพราะอะไร เพื่ออะไร นี่คือคำถามอันวาร์เดินจากหน้ากระจกไปที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดสมุดปกน้ำเงินพลิกไปจนเจอหน้าว่าง แล้วเขียนชื่อหยางซิงอีและองค์จักรพรรดิหยางลงไปก่อนหน้านี้เขาเคยสอบถามคนในตำหนักถึงองค์จักรพรรดิอยู
หลังทราบรายงานของสายข่าวเกี่ยวกับข่าวคราวขององค์ชายเจ็ด หญิงสาวในร่างหนุ่มเนื้อคู่ก็รู้สึกเหมือนวิญญาณตนหลุดออกไปนอกโลก และลอยคว้างอยู่กลางอวกาศสายข่าวของหล่อนรายงานว่า องค์ชายเจ็ดเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตื่นมาความจำเสื่อม พระองค์เปลี่ยนไปหมดตั้งแต่อุปนิสัย รสนิยมการตกแต่งตำหนัก ตลอดจนการแต่งกายของพระองค์ที่คล้ายจะเวียนใส่ฉลองพระองค์อยู่เจ็ดสีในเจ็ดวัน โดยเริ่มที่สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแสด สีคราม สีม่วง และสีแดงเข้มบางอย่างสะกิดใจรจนา บางอย่างที่คล้ายจะเป็นสีประจำวันที่คุณครูของประเทศหนึ่งในทวีปเอเชียอาคเนย์ต้องสอนเด็กอนุบาลทุกคน“เอาล่ะเด็ก ๆ ท่องตามคุณครูนะคะ วันจันทร์สีเหลือง...” ราวกับได้ยินเสียงคุณครูส้มโอ อดีตครูประจำชั้นสมัยอนุบาล 3 ดังขึ้นมาในหูไทยแลนด์โอนนี่ นี่มัน...สีของเจ็ดวันจากกะลาแลนด์แดนไทยไม่ใช่เหรอ!? ถึงจะไม่ตรงตามที่หล่อนจำได้เป๊ะ ๆ แต่หล่อนว่าก็ใกล้เคียงไปแล้วถึงหกในเจ็ดสีไม่หรอกมั้งอาจจะแค่บังเอิญ หล่อนคิด แต่ยิ่งฟังรายงานจากสายข่าว หล่อนยิ่งรู้สึกว่าใช่“ฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดนอกจากเรื่องพฤติกรรมการซื้อเครื่องเรือนและการแต่งกาย เท่าที่กระหม่อมตรวจสอบมาทั้งจากที่ลอบปล
เพราะร่างกายของชาวยุทธ์มีอุณหภูมิสูงกว่าคนปกติกระมัง ยามอากาศหนาวเย็นจนเกินทานทน พระองค์จึงมักขอมือนางไปจับไว้เพื่อคลายหนาวเมื่อครั้งพระชนมายุได้ 11 ชันษา หยางซิงอีเคยถูกพระสนมไป๋หวังเยี่ยนลักพาตัวไปนานราวเจ็ดวันทันทีที่ทราบผลการสืบสวนจากซูมู่ถง เฉินฝู่หมิงในวัย 47 ปีก็รู้สึกราวกับฟ้าจะถล่มลงมาเดี๋ยวนั้น และเมื่อเขาบอกให้นางเตรียมตัวออกเดินทางไปตามหาองค์ชายเจ็ด กระบี่ที่แทบไม่ได้แตะต้องนับตั้งแต่องค์ชายประสูติมา ก็กลับมาอยู่ในมือนางอีกครั้งทั้งอาภรณ์ดำสนิทปักลายนกนางแอ่น ผมดำยาวที่รวบเป็นหางม้าสูง ต่างหูรูปจันทร์เสี้ยวทองคำ และกระบี่โลหะสวรรค์สีดำคู่กาย เฉินฝู่หมิงสลัดคราบหญิงรับใช้ผู้นอบน้อมงดงามของตนออก แล้วคงเหลือไว้เพียง เฉินฝู่หมิง นางแอ่นดำแห่งยุทธภพคณะของซูมู่ถงใช้เวลาเดินทางสั้นกว่าขบวนเสด็จของหยางซิงอีมาก เพียงสามวันก็หาขบวนเสด็จขององค์ชายพบสภาพของขบวนเสด็จนั้นไร้ผู้รอดชีวิต จากการตรวจสอบพวกเขาพบว่า ทั้งหมดถูกสังหารขณะหลับ และพบสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับรุนแรงอยู่ในอาหาร นี่จึงเป็นเหตุให้กระทั่
เพราะมีสายเลือดไป๋อยู่ในกาย ครั้งหนึ่งในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติขององค์จักรพรรดินีไป๋ องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานจึงมีรับสั่งให้องค์ชายเจ็ดในวัย 11 ชันษาเสด็จไปเยือนแคว้นไป๋ พร้อมของกำนัลแด่องค์จักรพรรดินีการเดินทางข้ามแคว้นครั้งนั้นใช้เวลาร่วมแปดวัน และราชองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายเจ็ดไปก็มิใช่ซูมู่ถง แต่เป็นถังเยว่ พลธนูมือหนึ่งแห่งแคว้นหยาง อดีตทหารใต้บังคับบัญชาของซูมู่ถงและศิษย์ร่วมสำนักของเฉินฝู่หมิงเหตุที่ครั้งนั้นซูมู่ถงมิได้ตามเสด็จองค์ชาย เพราะก่อนหน้าวันออกเดินทางไม่กี่วัน เขาและเฉินฝู่หมิงพบว่า ในสำรับอาหารของพระองค์มียาพิษปนอยู่ และเมื่อไม่ทราบว่าที่มาของพิษคือสิ่งใด ซูมู่ถงจึงตัดสินใจรั้งอยู่ในแคว้นหยางเพื่อสืบหาความจริง หรืออย่างน้อยก็จนทำความสะอาดตำหนักขององค์ชายเสร็จเสียก่อนจึงจะตามไปมีถังเยว่อยู่กับองค์ชายเจ็ด ทั้งเฉินฝู่หมิงและซูมู่ถงก็พอเบาใจได้บ้าง ซ้ำยังเป็นการดีเสียอีกที่องค์ชายมิได้พำนักอยู่ในวังหลวง เพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากให้พระองค์อยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยซูมู่ถงแจ้งเหตุดังกล่าวแก่องค์จักรพรรดิหยาง ไม่ถึงชั่วยามก็มีการจัดตั้งคณะสืบสวนสอบสวน คนในคณะล้วนเคยเป็นค
WARNING:เนื้อหาในตอนมีความรุนแรงทั้งทางกายและทางใจเพราะเป็นสหายรัก...คนใกล้ตัว หลี่ถงฮว่าจึงไม่เคยระแวงไป๋หวังเยี่ยนอีกคนจะมอบของขวัญให้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นหรืออาหารทั้งคาวหวาน พระนางย่อมยินดีรับไว้ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะมียาพิษก็ไม่คิดตรวจสอบเพียงหลี่ถงฮว่าขึ้นเป็นพระมเหสีของหยางไท่ซาน พระบรมมหาราชวังอันเย็นเยียบก็อบอุ่นขึ้นทันตา และแน่นอนว่า บุคคลแรกที่หลี่ถงฮว่าไปหาคือ ไป๋หวังเยี่ยนในความยินดีที่ดวงใจกลับมาให้เห็นหน้า ความหวงแหนอันน่าสะพรึงกลัวก็มีกำเนิดมา ไป๋หวังเยี่ยนกอดหลี่ถงฮว่าแทบจะไม่อยากปล่อยหญิงสาวไปไหน และแม้จะโกรธแค้นอีกคนที่ไม่รักษาสัญญาแค่ไหน แต่เพียงหนึ่งยิ้มสดใสที่หลี่ถงฮว่าส่งมา พระเนตรวาวโรจน์ของไป๋หวังเยี่ยนก็อ่อนแสงลงทันตา และไม่ว่าพระมเหสีจะขอสิ่งใดจากพระนาง พระนางย่อมยินดีกระทำให้หลี่ถงฮว่าขอให้พระนางเลิกสุรา พระนางก็เลิกทันทีที่สิ้นเสียงหญิงสาวหลี่ถงฮว่าขอให้พระนางดีกับพระโอรสบ้าง พระนางก็ดีด้วยหลี่ถงฮว่าขอให้พระนางไปไหนมาไหนเช่นเก่าก่อน พระนางก็ทำแต่แม้จะได้อยู่ด้วยกันคล้ายเก่าก่อน คำว่า “คล้าย” ก็มิใช่ “เหมือน” เพราะทุกเย็นหยางไท่ซานจะมารับหลี่ถงฮว่าไปจา