เข้าสู่ระบบบางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดี
เฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด
หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน
ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไร
นางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่
พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน ยามหยางซิงอีเกิดมาพร้อมพรากลมหายใจของพระมเหสีไป องค์จักรพรรดิจึงเกลียดชังองค์ชายพระองค์นี้นัก และยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งเกลียดจนไม่อาจสบพักตร์ เหตุเพราะหยางซิงอีมีใบหน้าละม้ายคล้ายพระนาง
หยางซิงอีถูกสั่งห้ามมิให้แย้มยิ้มและแสดงสีหน้าแต่เล็ก จะหัวเราะก็ไม่ได้ จะขมวดคิ้วก็ไม่ได้ เวลาผ่านไปชายหนุ่มจึงกลายเป็นคนไม่มีสีหน้า จะสุขหรือทุกข์ใบหน้าก็เรียบนิ่ง แต่ก็ใช่ว่าหยางซิงอีจะไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวออกมาเลย
ภายใต้พระพักตร์เรียบนิ่งและพระสุรเสียงราบเรียบ พระองค์แสดงความทุกข์ด้วยการขว้างปาสิ่งของ ยามสุขก็รับสั่งขอของหวานที่โปรดปราน มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่บอกได้ว่า หยางซิงอีในเวลานั้น ๆ มีอารมณ์เช่นไร
ในวัยเยาว์ เฉินฝู่หมิงจำได้ดี หากหยางซิงอีรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว พระองค์จะตรัสขอมือนางมาจับไว้คลายหนาว และหากร้อนก็จะขอให้นางช่วยเตรียมน้ำสำหรับลงสรง พระองค์จะคอยทอดพระเนตรทุกการกระทำของนางด้วยพระเนตรทองคำสุกใส
หยางซิงอีแม้จะโหดร้ายแต่ก็มีมุมที่น่ารักเอ็นดูสำหรับนางไม่น้อย
นั่นละ หยางซิงอีของนาง
แต่ก็เพราะเป็นหยางซิงอีอีกเช่นกัน ยามพระองค์ตรัสแก่นางว่า จำอะไรไม่ได้ นางจึงไม่อาจทำใจเชื่อพระองค์ได้
เพราะหยางซิงอี...จะโกหกหรือพูดความจริงสีหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยน
นางไม่เชื่อพระองค์แม้ในยามที่พระองค์สติแตก จนไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ ไม่เชื่อพระองค์แม้จะเห็นพระองค์บรรทมกันแสงทั้งวันทั้งคืนราวกับหัวใจแหลกสลาย ไม่เชื่อพระองค์แม้พระองค์จะเอาแต่เหม่อทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง จนลืมสนพระทัยสำรับอาหารที่นางยกมาถวาย ไม่เชื่อแม้พระองค์จะถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวราวกับไม่เคยรู้จักสิ่งใดมาก่อน และไม่เชื่อแม้ในยามที่ทุกคนในตำหนักเชื่อกันหมด
นางไม่เชื่อพระองค์ ไม่เชื่อจนกระทั่งพลบค่ำวันนั้น วันที่นางนำสำรับอาหารมาถวายถึงห้องบรรทม แล้วพระองค์แย้มพระสรวลอ่อนหวานมาให้ รอยแย้มพระสรวลที่แทบจะทำให้นางเห็นภาพซ้อนทับของพระมเหสีผู้ลาไกล
แค่หนึ่งยิ้มแล้วนางก็เชื่อพระองค์ เพราะนี่คือสิ่งที่หยางซิงอีไม่มีวันกระทำ
นับตั้งแต่นางเฝ้าดูแลองค์ชายเจ็ดมา 17 ปี นี่เป็นรอยแย้มพระสรวลแรกที่นางได้รับจากพระองค์ แม้ผู้ที่ส่งยิ้มให้นาง จะมิใช่องค์ชายหยางซิงอีพระองค์เดิมอีกแล้วก็ตาม
บางที...นี่อาจเป็นสวรรค์เมตตาให้องค์ชายน้อยของนางหลงลืมทุกสิ่งอย่างในวังหลวง หญิงสูงวัยคิด ขณะแผ่นหลังเล็กของนางแนบประตูไม้ด้านนอกของห้องบรรทมที่จงใจอิงไว้เพื่อให้มีแรงยืน
มือเหี่ยวย่นหยาบกระด้างยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ไม่มีอีกแล้วองค์ชายเจ็ดผู้โหดร้ายเย็นชา ไม่มีอีกแล้ว หยางซิงอีที่นางเลี้ยงดูมากับมือ ไม่ว่าจะพระหัตถ์เล็กที่เคยขอให้นางจับเพื่อคลายหนาว พระเนตรสุกใสที่เคยเห็นยามนางตักน้ำให้สรง หรือพระพักตร์เย็นชาล้วนหายไปหมดสิ้น จะเหลือก็แต่หยางซิงอีคนนี้ หยางซิงอีผู้ไม่รู้สิ่งใด หยางซิงอีผู้สะอาดบริสุทธิ์จากมลทินของวังหลวง...หยางซิงอีผู้มีรอยแย้มพระสรวลของพระมเหสี
ทั้ง ๆ ที่คืนนั้น นางจะรั้งพระองค์ไว้ในวังก็ยังได้ ทั้ง ๆ ที่ในสมองคล้ายได้ยินเสียงเตือนบางอย่าง แต่นางก็ยังเลือกที่จะปล่อยพระองค์ไป หรือลึกลงไปแล้วเป็นนางเองที่อยากให้พระองค์จากไป จากไปจากสถานที่แห่งนี้ จากไปจากบาปกรรมที่พระองค์ได้ก่อไว้ ให้พระองค์ได้เป็นอิสระจากวังหลวงและราชสำนักที่ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดมากมายราวกับท้องทะเล นางก็ไม่อาจบอกได้
หยางซิงอีของนาง องค์ชายน้อยที่นางเฝ้าภาวนาต่อเทพเซียนและพุทธองค์ ขอให้พระองค์มีความสุข
หากพระองค์จากไปแล้วมีความสุข เช่นนั้น นางก็จะยินดีกับพระองค์ แต่หากพระองค์เพียงอยากลืมเลือนทุกสิ่งอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ เช่นนั้น นางก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ไปกับพระองค์
เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน...นางจะอยู่กับพระองค์เอง
จะดูแลให้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง จะดูแลให้ดียิ่งกว่าเดิมจนลมหายใจสุดท้ายอย่างที่มารดาคนหนึ่งจะกระทำให้บุตรได้
ฉะนั้น เมื่อพระองค์เรียกหานาง นางย่อมขานรับพระองค์อย่างที่เคยทำทุกคืนวัน
ไม่ชิน อันวาร์ วราหะรู้สึกไม่ชินกับตู้เสื้อผ้าของหยางซิงอีอย่างแรง
เมื่อจิตใจเข้มแข็งขึ้น อันวาร์ก็เริ่มใส่ใจรายละเอียดรอบตัวตั้งแต่เตียงในห้องไปจนถึงฝ้าเพดาน
ห้องของหยางซิงอีเป็นสีขาวจะมีสีสันอื่นก็เพียงเครื่องเรือนจากไม้ขัดมันสีดำ และดอกไม้สีแดงสดในแจกันกระเบื้องเคลือบ ดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชื่อ ดอกไม้ที่ดูเหมือนเปลวไฟ ห้องนี้มีหน้าต่างกลมอยู่บานหนึ่งขนาดใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าความสูงของหยางซิงอีราวครึ่งคนเห็นจะได้ ที่ริมหน้าต่างมีเก้าอี้ไม้ตัวยาวสีดำสนิทซ้อนเบาะนิ่มสีขาวประดับหมอนอิง คาดว่าใช้สำหรับนั่งชมต้นบ๊วยด้านนอก แต่ถึงจะมีข้าวของภายในห้องพร้อมสรรพจัดเก็บเป็นระเบียบมากมายเพียงไร ในสายตาอันวาร์ ห้องนี้กลับดูว่างเปล่าอย่างน่าประหลาดจนทำให้เขารู้สึกหดหู่
ต้องเป็นเพราะสีแน่ ๆ ชายหนุ่มคิด ก่อนจะเริ่มรื้อดูตู้เสื้อผ้าและหีบสมบัติของหยางซิงอี ผ่านไปครึ่งชั่วยามกับห้องรก ๆ อีกหนึ่งห้อง อันวาร์ วราหะก็พบว่า ข้าวของของหยางซิงอี ไม่ว่าจะเครื่องประดับหรือเพชรนิลจินดาล้วนเป็นแนวเดียวกันหมด สีขาวและดำ
หมอนี่มันไม่มีเสื้อสีอื่นใส่เลยหรือไงวะ ห้องก็มีแค่ 2 สี เสื้อผ้าก็มีแค่ 2 สี คือชีวิตจะมีแต่ขาวกับดำเหรอ โอเค ถ้ามันเป็นความชอบเขาก็เข้าใจ แต่หยางซิงอีนี่มันจะเกินจริงไปแล้วนะ คือนายเป็นองค์ชายไง จะไม่มีเสื้อสำหรับออกงานหรือเสื้อผ้าตามธีมงานพิธีต่าง ๆ เลยจริง ๆ เหรอ
แปลกนี่มันแปลกมาก แต่ในเมื่ออีกคนไม่อยู่ให้เขาถามแล้วว่า ทำไมสภาพความเป็นอยู่ทางสีสันถึงมาได้ไกลจนเหลือแค่ 2 สีขนาดนี้ เขาก็ได้แต่ปลงตก
หมายถึงปลงที่ถามไม่ได้ ไม่ได้ปลงที่จะไม่เปลี่ยนสีนะ! เพราะของจังซี่มันต้องถอน มันต้องถอน เขาจะบอกลาความพิการทางสีสันนี้ให้ดู ความหดหู่เหรอ เฮอะ! มาเจอสีเสื้อมงคลเหมือนรุ้งเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงของเขาหน่อยเป็นไง
“บอกเลย หายแน่! พลังแห่งสีสันจะเยียวยาทุกสิ่ง
และเพราะเป็นเช่นนี้เขาจึงเรียกหาหญิงรับใช้ที่คล้ายจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้เห็นหน้ามาเข้าพบ
...เฉินฝู่หมิง
“องค์ชายเจ็ดเรียกหาหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าพระองค์มีสิ่งใดให้เฉินฝู่หมิงผู้นี้รับใช้หรือเพคะ” แล้วนางก็ขานรับเขาเช่นทุกวันที่ได้เจอ
“คุณป้าครั- เอ๊ย ท่านป้าเฉิน” เฉินฝู่หมิงฟังองค์ชายตรงหน้าเรียกนาง เห็นนัยน์ตาทองคำฉายแววลังเล และเมื่อนางไม่ขานรับ พระองค์ก็คล้ายจะนึกอะไรได้
นางเห็นพระองค์แย้มพระโอษฐ์แหยครั้งหนึ่ง ก่อนพระองค์จะช้อนพระเนตรทองคำขึ้นมองใบหน้านางจากหน้าโต๊ะหนังสือ
“เอ่อ...เฉินฝู่หมิง” พระองค์ตรัสออกมาเสียงแผ่วคล้ายจะขอโทษไปในที
“เพคะองค์ชาย” และเมื่อนางขานรับ พระองค์ก็แย้มพระสรวลยินดี
“ที่นี่...ข้ามีเสื้อผ้าสีอื่นไหมเฉินฝู่หมิง”
“ไม่มีเพคะองค์ชาย”
“เป็นเช่นนั้น...”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“เยี่ยงนั้น ข้าหาซื้อเสื้อผ้าได้ที่ใดบ้างหรือเฉินฝู่หมิง ข้าว่าเสื้อผ้าของข้ามันออกจะดูน่าหดหู่ไปเสียหน่อยน่ะ”
สดใสราวกับดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิหลังฤดูหนาวอันยาวนาน
วันใหม่...หยางซิงอีคนใหม่
เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน...นางจะอยู่กับพระองค์เอง
ตอนที่รู้ผลการสืบสวน อันวาร์รู้สึกเหมือนตนถูกลอตเตอรี่รางวัล 300 ล้านบาท...เป็นโชคดีของเขาที่หยางซิงอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวหวังต้าเหยียน แต่ในความยินดี เวลาหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้ชายหนุ่มได้ขบคิดบางสิ่งบางอย่างและไม่ช้าก็เร็ว เขาก็คาดว่าตนและรจนาคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อยมีเรื่องเล่าในกองทัพอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของกองกำลังพิเศษแห่งแคว้นหวังที่ล่มสลายไปแล้ว โดยแคว้นนี้ดั้งเดิมตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นหยาง ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างแคว้นหยางและแคว้นเยี่ย เล่าขานกันว่า กองกำลังพิเศษนี้ดั้งเดิมเป็นชนเผ่าจากเขาสูงนาม “เจียง” เพื่อให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดได้กลางป่าเขา คนเผ่านี้จึงฝึกฝนร่างกายอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย จนคนในเผ่ามีลักษณะทางกายภาพแปลกประหลาด ทั้งร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษา แขนขายาวเหมือนไม้พลอง และมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองจากการฝึกกับกรวดทรายในกระทะร้อนหลังแคว้นหวังค้นพบการมีอยู่ของชนเผ่าเจียงก็จับพวกเขามาเป็นทหาร และนำการฝึกฝนของพวกเขามาประยุกต์ใช้คู่กับการฝึกวรยุทธ์เดินลมปราณ ไม่นานจาก “
เฉินอวี้กำลังยกชาร้อนขึ้นจิบหลินซีกำลังจัดปลอกแขนของตนให้เข้าที่ซานหลินกำลังพูดคุยกับซูมู่ถงและหยางซิงอี...อันวาร์ วราหะกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องรับรอง...ยามผู้ตรวจการเข้ามาหาพวกเขาหลังหวังต้าเหยียนพ้นขีดอันตรายได้ไม่ถึงชั่วยาม บรรดาผู้ตรวจการก็เริ่มสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ผู้รับผิดชอบจึงเป็นขุนนางยศเสนาบดีกรมยุติธรรม และบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนก็มีแต่ยอดฝีมือ และเพราะนี่เป็นเหตุที่เกิดแก่เชื้อพระวงศ์ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการขอกำลังสืบสวนจากภายนอกใคร ๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างแปดแคว้นเปราะบางเช่นไร หากแคว้นอื่นรู้ว่าราชวงศ์หยางอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายก็อาจมีการแทรกแซงจากภายนอกได้ เหมือนน้ำที่ไหลซึมในรอยร้าวที่มองไม่เห็น ซึมจากรอยหนึ่งสู่อีกรอย แม้แต่แคว้นไป๋ที่ปรองดองกันอยู่เองก็อาจเป็นแคว้นแรกที่หันมีดใส่อันตราย ฉะนั้น จนกว่าจะได้ตัวหรือสืบทราบผู้กระทำผิด...จนกว่าการสืบสวนจะจบลง พวกเขาจะให้มีข่าวหลุดออกไปไม่ได้
ขณะหลินซีและเฉินอวี้ไล่ตามโจรลักพาตัวและหวังต้าเหยียนบนหลังคา อันวาร์และซานหลินผู้ตัดสินใจไปขอกำลังจากผู้ตรวจการมา ก็ส่งม้าเร็วคนหนึ่งไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายนี้แก่องค์จักรพรรดิหม่าเยว่แจ้งเหตุร้ายนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด และทันทีที่ทราบเรื่องจากขันทีคู่ใจ การประชุมของราชสำนักและองค์จักรพรรดิก็เป็นอันหยุดลง“เจ้าว่าเช่นไรนะหม่าเยว่” สุรเสียงที่ยามปกติเยือกเย็นวันนี้ร้อนรน และขันทีวัยกลางคนก็ได้แต่แจ้งข่าวร้ายซ้ำอีกครั้ง“องค์หญิงหวังต้าเหยียนถูกลักพาตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”ราวกับโลกหยุดหมุน รจนารู้สึกเย็บวาบไปทั้งสรรพางค์กาย บรรดาขุนนางเองพอทราบเหตุก็ตกใจ ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและคำถาม แต่ไม่มีสิ่งใดเข้าหูรจนา หล่อนสั่งให้คนช่วยเตรียมม้า และเพียงก้านธูป ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิก็ออกจากวังหลวงไปยังสำนักงานผู้ตรวจการของตลาดที่เกิดเหตุบนหลังม้า จมูกของรจนาคล้ายได้กลิ่นดอกยี่โถ และหล่อนนึกถึงคำพูดของหยางซิงอีในความฝัน“ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ควรปล่อยข้าไป...ท่านพี่”แล้วหล่อนก็ได้แต่คิดว่าหล่อนน่าจ
เพราะองค์หญิงหวังต้าเหยียนยังไม่มีราชองครักษ์ประจำพระองค์ รจนาจึงมอบหมายหน้าที่อารักขานางนอกเขตพระราชฐานให้หลินซีก่อนเดินทางออกจากวัง เขาและซานหลินตกลงกันว่า เพื่อมิให้สะดุดตาจนเกินควร ซานหลินจะทำหน้าที่อารักขาราชนิกุลทั้งสองในที่แจ้ง ขณะที่หลินซีจะคอยตามดูในเงามืด แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งอันวาร์และหวังต้าเหยียนล้วนทราบดี แต่ถึงจะมียอดฝีมือคอยดูแลอย่างใกล้ชิดถึงสองคน......เหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีที่โต๊ะกลมของภัตตาคารเฟยหย่า หวังต้าเหยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างถัดเข้ามาคือซานหลิน และอันวาร์เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งสามลุกจากที่นั่ง ที่แขนยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวหวังต้าเหยียนออกจากภัตตาคารไปทางช่องหน้าต่าง ต่อหน้าต่อตาซานหลินและอันวาร์ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ส่งเสียง ชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนของหวังต้าเหยียนก็ลอยพ้นขอบหน้าต่างไปแล้วในชั่ววินาทีอันเชื่องช้าที่แขนข้างนั้นกระชากตัวหวังต้าเหยียนออกไป เขาเห็นใบหน้านางซีดเผือด นางยื่นมือมาหาเขา ปากเอ่ยว่า “ท่านพี่...” แต่เขากลับคว้าจับมือนางไม่ทัน"ไอ้เวร!" อันวาร์ส
รจนามองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตำหนักองค์ชายเจ็ดจากห้องทรงงานของหยางลู่จื้อ ในสายตาหล่อน รอยยิ้มของตำหนักองค์ชายเจ็ดถือเป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วไม่คิดว่าสองสัปดาห์ต่อมาหลังคิดเช่นนั้น หล่อนจะฝันร้ายรุนแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่อาจหลับได้อีกจนเช้าในฝันรจนานั่งทำงานรออันวาร์และหวังต้าเหยียนมาเข้าเรียนยามค่ำเช่นทุกวัน แต่รอแล้วรอเล่าทั้งคู่ก็ไม่มาเสียที หล่อนจึงตัดสินใจจะส่งหลินซีออกไปตาม แต่ไม่ว่าจะเรียกหาหลินซีสักกี่ครั้ง คนสนิทของหล่อนก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวเลยประหลาด หล่อนคิดแล้วลองเรียกผู้อื่นดูบ้าง ทั้งหญิงรับใช้และขันทีแต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม มีเพียงเสียงเรียกหาแต่ปราศจากเสียงขานรับหนังหัวของรจนาชาวาบ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอยู่ ๆ ลมเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาดับตะเกียงไฟทุกดวงในห้องทรงงานราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้เปลวเพลิง เมื่อปราศจากแสงสว่าง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดรวมถึงตัวหล่อนด้วยท่าไม่ดีแล้ว หล่อนคิด ห้องทรงงานในความมืดดูวังเวงอย่างน่าป
เพราะเรียนหนังสือด้วยกัน สอบด้วยกัน และอันวาร์ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักของหวังต้าเหยียนทุกวัน ไม่กี่สัปดาห์หลังรู้จักกัน อันวาร์ก็กลายเป็นคนที่หวังต้าเหยียนสนิทด้วยที่สุดในวังหลวงเริ่มจากสีฉลองพระองค์ที่พระนางเริ่มทรงตามเขา ทรงสังเกตรูปแบบสีที่เขาเลือกใส่แล้วใส่ตาม วันไหนเขาใส่สีแดงพระนางก็ทรงสีแดง วันไหนเขาใส่สีเขียวนางก็ทรงสีเขียว แต่เพราะพระนางมีราชครูคอยชี้แนะเรื่องการแต่งกายอย่างใกล้ชิด สีฉลองพระองค์ของพระนางจึงอ่อนหวานสบายตากว่าของเขามากครั้งแรกที่เขาจับสังเกตได้ว่า ฉลองพระองค์ของพระนางเป็นสีเดียวกันกับของเขา เขาดีใจมากจนพาพระนางไปยืนทำท่าทางประหลาดที่หน้ากระจก และแต่ละท่าทางก็ช่างน่าขัน จนหลายครั้งหลังทำท่าทางเสร็จก็ต่างลงไปนั่งหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่กับพื้นห้อง หน้าดำหน้าแดงไปหมดหวังต้าเหยียนพบว่า ยามปกติฉลองพระองค์ขององค์ชายเจ็ด (และองค์จักรพรรดิ) นั้นมิได้มีสีสันฉูดฉาดแสบตาเช่นวันแรกที่พระนางพบเจอทั้งสองพระองค์ และเมื่อพระนางถามอันวาร์เรื่องนี้ เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้มขบขันว่า วันนั้นเป็นวันพิเศษ เขาจึงแต่งตัวให้พิเศษสดใสกว่าปกติเสียหน่อยเท่านั้นเอง


![พี่ติวเตอร์ครับ...ช่วยสอนผมหน่อยนะครับ[PWP]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




