เข้าสู่ระบบคนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือด
ราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆ
กรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโมงยามอันอ่อนหวานให้ผู้คนได้พบเจอ
เป็นชั่วขณะหนึ่ง ที่พระบรมมหาราชวังหยางอบอุ่น แต่ช่วงเวลานั้นก็สั้นนัก เมื่อพระมเหสีนิราศลาโลกนี้ไปพร้อมกับที่องค์ชายเจ็ดประสูติมา
พระมเหสีเหมือนพาตะวันดวงน้อยติดตัวเข้ามาในวังหลวง และยามพระนางจากไปก็คล้ายทรงเอาตะวันดวงนั้นไปด้วย...ซ้ำยังจากไปพร้อมพระหทัยขององค์จักรพรรดิ
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ราวกับฝันหนึ่งตื่นสำหรับซูมู่ถง หัวหน้าราชองครักษ์ในองค์ชายเจ็ด
ซูมู่ถง ดั้งเดิมเป็นเพียงคนป่าเถื่อนที่มีฝีมือมาก แต่ต่อมาคล้ายเป็นลิขิตสวรรค์ให้ได้เข้ามารับราชการในวังหลวง เริ่มจากการเป็นเพียงพลทหารในสมัยที่หยางไท่ซานยังเป็นเพียงองค์ชาย ก่อนตำแหน่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เหมือนกับที่หยางไท่ซานเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นองค์จักรพรรดิ จนได้เป็นแม่ทัพประจำกองรบพิเศษคอยกระทำเรื่องสกปรกให้พระองค์ นับได้ว่าเป็นที่ไว้วางใจอย่างยิ่งของหยางไท่ซาน
และเพราะไว้ใจมากที่สุดจากคนทั้งวัง มากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่เคยเข่นฆ่า ยามพระมเหสีหลี่ทรงครรภ์พระโอรส องค์จักรพรรดิจึงพระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรส ตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเพียงตัวอ่อนในพระครรภ์ ให้เขาคอยปกปักรักษาและดูแลชีวิตของหยางซิงอี นับตั้งแต่องค์ชายยังไม่ลืมพระเนตรดูโลก เปลี่ยนจากแม่ทัพสู่ราชองครักษ์ของพระโอรสและพระมเหสีที่ทรงรักที่สุด
ฉะนั้น เขาจึงทันเห็นพร้อมหญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงว่า พระบรมมหาราชวังหยางเคยอบอุ่นมากมายเพียงไร
ยามพระมเหสียังอยู่ พระบรมมหาราชวังสวยงามใต้แสงตะวัน จนแทบจะทำให้ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางนั้นสืบทอดกันมาเช่นไร และคนในราชวงศ์นองเลือดกันเองมามากมายแค่ไหน
ใต้ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง ทั้งหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบ ทั้งจับหน้าท้องนูน และแนบพระกรรณสดับเสียง ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามพระครรภ์ของพระมเหสีขยับเคลื่อน เมื่อพระโอรสในพระครรภ์ทรงบิดขี้เกียจ
“จะเป็นธิดาหรือโอรสบิดาย่อมรักเจ้า”
“หากเป็นพระโอรสคงหล่อเหลาเหมือนพระองค์”
“…และหากเป็นธิดาคงงดงามเช่นเจ้า หรือบางทีอาจเป็นโอรสที่หน้าคล้ายเจ้าและธิดาที่หน้าคล้ายข้าก็เป็นได้ใครจะรู้”
“หากเป็นพระโอรสหน้าตาเหมือนหม่อมฉัน หม่อมฉันว่าพระโอรสต้องหล่อเหลาเอาการมากแน่ ๆ” พระมเหสีหลี่กล่าวแล้วองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็สรวลในอก
เขาและเฉินฝู่หมิงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ยังอดคิดไม่ได้ว่า ยามพระโอรสเกิดมาคงเป็นองค์ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
แต่นั่นก็จนกระทั่งถึงวันประสูติการที่คืนวันแห่งความสุขจบลง
หลังพระมเหสีจากไป หยางไท่ซานก็กลับไปเป็นเหมือนเก่าก่อน...พระบรมมหาราชวังเองก็เหมือนกัน ทั้งเย็นเยือกและโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้ม่านน้ำแข็ง เศษซากของหัวใจก็ยังพอเหลืออยู่ให้เห็น
โดยที่หญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงไม่มีโอกาสได้รู้ คืนหนึ่งไม่กี่วันหลังจากงานพระศพของพระมเหสีจบลง ในโมงยามที่ทุกคนล้วนหลับนอนนอกจากอารักขาและเขาผู้เป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด องค์จักรพรรดิหยางเสด็จมายังตำหนักของพระมเหสี
ยามเข้ามาทรงให้สัญญาณแก่เขาว่าให้เงียบ ก่อนจะเดินไปทางห้องบรรทมของพระโอรสด้วยใบหน้าราวกับซากศพ ทั้งโศกเศร้าและอ่อนล้า
ซูมู่ถงเห็นทรงอุ้มพระโอรสขึ้นแนบพระอุระ ก่อนจะโยกพระวรกายไปมาน้อย ๆ พลางทอดพระเนตรพระพักตร์ขององค์ชาย
เขาได้ยินพระองค์ตรัสเสียงแผ่วว่า “แล้วเขาก็เกิดมาหน้าเหมือนเจ้า ดูจมูกนั่นสิ ไหนจะใบหูกับคิ้วอีก เหมือนเจ้าไปเสียหมดทุกอย่าง อีกหน่อยยามเขายิ้มก็คงเหมือนเจ้า ยามหัวเราะก็คงเหมือนเจ้า ยามร่ำไห้ก็คงเหมือนเจ้า แล้วเยี่ยงนี้ข้าจะทำใจได้อย่างไร พระมเหสีหลี่เคยมีใครบอกเจ้าไหมว่าเจ้าเป็นคนโหดร้าย เจ้าทำได้อย่างไรมาทิ้งข้ากับลูกไปเช่นนี้”
ซูมู่ถงถอยออกมายืนเฝ้าระวังอยู่นอกห้องบรรทม ฟังเสียงองค์จักรพรรดิครวญทำนองเพลงที่เขาจำได้ว่า พระองค์เคยใช้เกี้ยวพระมเหสี สุรเสียงทุ้มต่ำคล้ายจะกล่อมให้พระโอรสบรรทม แต่ก็คล้ายกันแสงอยู่ในที เป็นคืนโศกที่ยากจะบรรยาย
ก่อนพระองค์จะกลับไปในรุ่งสาง พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ ถ่ายทอดรับสั่งแสนสำคัญยิ่งให้เขาชุดหนึ่ง ทั้งทรงกอดทั้งจุมพิตพระปรางค์ของพระโอรส ราวกับจากนี้จะไม่ทรงได้เจอราชบุตรอีก แล้วก็จริง เพราะเมื่อก้าวออกจากตำหนักของอดีตพระมเหสีที่บัดนี้กลายเป็นตำหนักองค์ชายเจ็ดไปแล้ว หยางไท่ซานผู้อ่อนโยนก็ไม่มีอยู่อีก
พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิหยางผู้โหดร้ายอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นที่รู้จักในวังหลวงว่า หยางไท่ซาน แม้จะไม่เคยแสดงความรักแก่พระโอรสหรือพระธิดาองค์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มีพระโอรสอยู่พระองค์หนึ่ง ที่พระองค์จงเกลียดจงชังมากกว่าพระโอรสหรือพระธิดาองค์ใด...พระโอรสที่พระองค์สั่งห้ามมิให้แสดงสีหน้า จนในวัยเยาว์พระองค์ต้องสวมหน้ากากไม้ปกปิดพระพักตร์ไม่ให้พระบิดาเห็น เกลียดเสียจนกระทั่งสิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์เช่นโอรสธิดาพระองค์อื่นก็ยังไม่มี
ทุกคนล้วนเข้าใจว่า หยางไท่ซานเกลียดหยางซิงอี เพราะพระโอรสมีใบหน้าคล้ายพระมารดา ในขณะที่ซูมู่ถงรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ความจริง
เพราะจะเป็นจริงได้เช่นไร ในเมื่อรับสั่งในคืนนั้นช่างชัดเจน
“มู่ถงสหายข้า บุตรของข้าคนนี้เจ้าต้องดูแลเขาให้ดี ทุกสิ่งที่ซิงอีได้รับต้องเป็นของที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ หรือข้ารับใช้ ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย ส่วนเรื่องในวังหลวง ข้าจะจัดการเอง ลูกข้าคนนี้เหมือนแม่ของเขานักและข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับชะตากรรมเช่นที่ข้าเผชิญ อย่างน้อยลูกคนนี้...อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ให้เขาต้องมาข้องเกี่ยวกับบัลลังก์หยางโดยเด็ดขาด”
ใครบอกว่าทรงไม่รักหยางซิงอีกัน ในเมื่อหลังพระโอรสมีประสูติกาลมา หยางไท่ซานก็ยกพระชนม์ชีพที่เหลือให้การพิทักษ์พระโอรสจากกระดานอำนาจในวังต้องสาปแห่งนี้
แล้วทรงปกป้องพระโอรสสำเร็จไหม ผลลัพธ์ก็อยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า แม้ราชบัลลังก์หยางจะผลัดเปลี่ยนองค์จักรพรรดิแล้ว หยางซิงอีก็ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวังหลวง
...ยังมีชีวิตอยู่ แม้สภาพจิตใจจะบุบสลายและพังทลายจนไม่อาจมีความสุขได้เช่นคนปกติแล้วก็ตาม
ซูมู่ถงสงสารหยางซิงอี
พระองค์คล้ายจะมีความสุขได้เมื่อสุราต้องพระโอษฐ์ เมื่อมึนเมาก็หลงลืมทุกสิ่งอย่างว่าพระองค์เป็นผู้ใด ลงเป็นเช่นนี้พระองค์จึงมักเสด็จออกไปร่ำสุราเพียงลำพังนอกวัง แกล้งทำตนเป็นผู้อื่น เสวยจนสุราขมกลายเป็นรสหวาน ลืมฐานันดรและชื่อของพระองค์เองไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะมีแค่ยามนี้เท่านั้นที่ทรงแย้มยิ้มได้เช่นคนหนุ่มธรรมดา
ความสุขชั่วข้ามคืน เมื่อตื่นบรรทมมาพระองค์จึงยิ่งทุกข์พระหทัยที่ความสุขจากการลืมเลือนไม่ยืนยาว ก่อนจะจบลงที่การขว้างปาทำลายข้าวของด้วยพระพักตร์นิ่งสนิท
เขารู้ เพราะทุกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานเกินควร เขาจะออกไปรับองค์ชายกลับสู่วังหลวง จึงเคยเห็นว่ายามพระองค์เมามายมีอาการเช่นไร
ฉะนั้น สายวันที่ทรงตื่นมาจดจำสิ่งใดไม่ได้ ลึกลงไปเขาจึงยินดีกับพระองค์นัก
เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ปรารถนามาตลอด
เหมือนเฉินฝู่หมิง เขาเองก็รักเอ็นดูหยางซิงอีไม่ต่างจากลูกในไส้
“ราชองครักษ์ซู องค์ชายมีรับสั่งว่าอยากได้ฉลองพระองค์ใหม่ วานท่านส่งจดหมายหาช่างตัดฉลองพระองค์ประจำพระองค์เช่นทุกครั้งด้วยนะเจ้าคะ”
“ย่อมได้เช่นทุกครั้งไปแม่นางเฉิน”
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ...”
“เรื่องใดหรือแม่นาง”
“องค์ชายเจ็ดขอฉลองพระองค์สักเจ็ดตัวอย่างต่ำ และแต่ละตัวก็ขอให้สีสันแตกต่างกัน ข้าว่าท่านแจ้งเรื่องนี้แก่ช่างตัดฉลองพระองค์เสียหน่อยคงดีไม่น้อยเขาจะได้เตรียมการได้ถูก”
“…องค์ชายทรงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ”
“เปลี่ยนไปมากเลยละเจ้าค่ะ ราวกับเกิดใหม่ แต่ก็ดูสุขใจมากกว่าแต่ก่อนนักเจ้าค่ะ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วแม่นาง”
ตอนที่รู้ผลการสืบสวน อันวาร์รู้สึกเหมือนตนถูกลอตเตอรี่รางวัล 300 ล้านบาท...เป็นโชคดีของเขาที่หยางซิงอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวหวังต้าเหยียน แต่ในความยินดี เวลาหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้ชายหนุ่มได้ขบคิดบางสิ่งบางอย่างและไม่ช้าก็เร็ว เขาก็คาดว่าตนและรจนาคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อยมีเรื่องเล่าในกองทัพอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของกองกำลังพิเศษแห่งแคว้นหวังที่ล่มสลายไปแล้ว โดยแคว้นนี้ดั้งเดิมตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นหยาง ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างแคว้นหยางและแคว้นเยี่ย เล่าขานกันว่า กองกำลังพิเศษนี้ดั้งเดิมเป็นชนเผ่าจากเขาสูงนาม “เจียง” เพื่อให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดได้กลางป่าเขา คนเผ่านี้จึงฝึกฝนร่างกายอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย จนคนในเผ่ามีลักษณะทางกายภาพแปลกประหลาด ทั้งร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษา แขนขายาวเหมือนไม้พลอง และมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองจากการฝึกกับกรวดทรายในกระทะร้อนหลังแคว้นหวังค้นพบการมีอยู่ของชนเผ่าเจียงก็จับพวกเขามาเป็นทหาร และนำการฝึกฝนของพวกเขามาประยุกต์ใช้คู่กับการฝึกวรยุทธ์เดินลมปราณ ไม่นานจาก “
เฉินอวี้กำลังยกชาร้อนขึ้นจิบหลินซีกำลังจัดปลอกแขนของตนให้เข้าที่ซานหลินกำลังพูดคุยกับซูมู่ถงและหยางซิงอี...อันวาร์ วราหะกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องรับรอง...ยามผู้ตรวจการเข้ามาหาพวกเขาหลังหวังต้าเหยียนพ้นขีดอันตรายได้ไม่ถึงชั่วยาม บรรดาผู้ตรวจการก็เริ่มสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ผู้รับผิดชอบจึงเป็นขุนนางยศเสนาบดีกรมยุติธรรม และบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนก็มีแต่ยอดฝีมือ และเพราะนี่เป็นเหตุที่เกิดแก่เชื้อพระวงศ์ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการขอกำลังสืบสวนจากภายนอกใคร ๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างแปดแคว้นเปราะบางเช่นไร หากแคว้นอื่นรู้ว่าราชวงศ์หยางอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายก็อาจมีการแทรกแซงจากภายนอกได้ เหมือนน้ำที่ไหลซึมในรอยร้าวที่มองไม่เห็น ซึมจากรอยหนึ่งสู่อีกรอย แม้แต่แคว้นไป๋ที่ปรองดองกันอยู่เองก็อาจเป็นแคว้นแรกที่หันมีดใส่อันตราย ฉะนั้น จนกว่าจะได้ตัวหรือสืบทราบผู้กระทำผิด...จนกว่าการสืบสวนจะจบลง พวกเขาจะให้มีข่าวหลุดออกไปไม่ได้
ขณะหลินซีและเฉินอวี้ไล่ตามโจรลักพาตัวและหวังต้าเหยียนบนหลังคา อันวาร์และซานหลินผู้ตัดสินใจไปขอกำลังจากผู้ตรวจการมา ก็ส่งม้าเร็วคนหนึ่งไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายนี้แก่องค์จักรพรรดิหม่าเยว่แจ้งเหตุร้ายนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด และทันทีที่ทราบเรื่องจากขันทีคู่ใจ การประชุมของราชสำนักและองค์จักรพรรดิก็เป็นอันหยุดลง“เจ้าว่าเช่นไรนะหม่าเยว่” สุรเสียงที่ยามปกติเยือกเย็นวันนี้ร้อนรน และขันทีวัยกลางคนก็ได้แต่แจ้งข่าวร้ายซ้ำอีกครั้ง“องค์หญิงหวังต้าเหยียนถูกลักพาตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”ราวกับโลกหยุดหมุน รจนารู้สึกเย็บวาบไปทั้งสรรพางค์กาย บรรดาขุนนางเองพอทราบเหตุก็ตกใจ ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและคำถาม แต่ไม่มีสิ่งใดเข้าหูรจนา หล่อนสั่งให้คนช่วยเตรียมม้า และเพียงก้านธูป ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิก็ออกจากวังหลวงไปยังสำนักงานผู้ตรวจการของตลาดที่เกิดเหตุบนหลังม้า จมูกของรจนาคล้ายได้กลิ่นดอกยี่โถ และหล่อนนึกถึงคำพูดของหยางซิงอีในความฝัน“ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ควรปล่อยข้าไป...ท่านพี่”แล้วหล่อนก็ได้แต่คิดว่าหล่อนน่าจ
เพราะองค์หญิงหวังต้าเหยียนยังไม่มีราชองครักษ์ประจำพระองค์ รจนาจึงมอบหมายหน้าที่อารักขานางนอกเขตพระราชฐานให้หลินซีก่อนเดินทางออกจากวัง เขาและซานหลินตกลงกันว่า เพื่อมิให้สะดุดตาจนเกินควร ซานหลินจะทำหน้าที่อารักขาราชนิกุลทั้งสองในที่แจ้ง ขณะที่หลินซีจะคอยตามดูในเงามืด แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งอันวาร์และหวังต้าเหยียนล้วนทราบดี แต่ถึงจะมียอดฝีมือคอยดูแลอย่างใกล้ชิดถึงสองคน......เหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีที่โต๊ะกลมของภัตตาคารเฟยหย่า หวังต้าเหยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างถัดเข้ามาคือซานหลิน และอันวาร์เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งสามลุกจากที่นั่ง ที่แขนยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวหวังต้าเหยียนออกจากภัตตาคารไปทางช่องหน้าต่าง ต่อหน้าต่อตาซานหลินและอันวาร์ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ส่งเสียง ชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนของหวังต้าเหยียนก็ลอยพ้นขอบหน้าต่างไปแล้วในชั่ววินาทีอันเชื่องช้าที่แขนข้างนั้นกระชากตัวหวังต้าเหยียนออกไป เขาเห็นใบหน้านางซีดเผือด นางยื่นมือมาหาเขา ปากเอ่ยว่า “ท่านพี่...” แต่เขากลับคว้าจับมือนางไม่ทัน"ไอ้เวร!" อันวาร์ส
รจนามองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตำหนักองค์ชายเจ็ดจากห้องทรงงานของหยางลู่จื้อ ในสายตาหล่อน รอยยิ้มของตำหนักองค์ชายเจ็ดถือเป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วไม่คิดว่าสองสัปดาห์ต่อมาหลังคิดเช่นนั้น หล่อนจะฝันร้ายรุนแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่อาจหลับได้อีกจนเช้าในฝันรจนานั่งทำงานรออันวาร์และหวังต้าเหยียนมาเข้าเรียนยามค่ำเช่นทุกวัน แต่รอแล้วรอเล่าทั้งคู่ก็ไม่มาเสียที หล่อนจึงตัดสินใจจะส่งหลินซีออกไปตาม แต่ไม่ว่าจะเรียกหาหลินซีสักกี่ครั้ง คนสนิทของหล่อนก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวเลยประหลาด หล่อนคิดแล้วลองเรียกผู้อื่นดูบ้าง ทั้งหญิงรับใช้และขันทีแต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม มีเพียงเสียงเรียกหาแต่ปราศจากเสียงขานรับหนังหัวของรจนาชาวาบ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอยู่ ๆ ลมเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาดับตะเกียงไฟทุกดวงในห้องทรงงานราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้เปลวเพลิง เมื่อปราศจากแสงสว่าง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดรวมถึงตัวหล่อนด้วยท่าไม่ดีแล้ว หล่อนคิด ห้องทรงงานในความมืดดูวังเวงอย่างน่าป
เพราะเรียนหนังสือด้วยกัน สอบด้วยกัน และอันวาร์ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักของหวังต้าเหยียนทุกวัน ไม่กี่สัปดาห์หลังรู้จักกัน อันวาร์ก็กลายเป็นคนที่หวังต้าเหยียนสนิทด้วยที่สุดในวังหลวงเริ่มจากสีฉลองพระองค์ที่พระนางเริ่มทรงตามเขา ทรงสังเกตรูปแบบสีที่เขาเลือกใส่แล้วใส่ตาม วันไหนเขาใส่สีแดงพระนางก็ทรงสีแดง วันไหนเขาใส่สีเขียวนางก็ทรงสีเขียว แต่เพราะพระนางมีราชครูคอยชี้แนะเรื่องการแต่งกายอย่างใกล้ชิด สีฉลองพระองค์ของพระนางจึงอ่อนหวานสบายตากว่าของเขามากครั้งแรกที่เขาจับสังเกตได้ว่า ฉลองพระองค์ของพระนางเป็นสีเดียวกันกับของเขา เขาดีใจมากจนพาพระนางไปยืนทำท่าทางประหลาดที่หน้ากระจก และแต่ละท่าทางก็ช่างน่าขัน จนหลายครั้งหลังทำท่าทางเสร็จก็ต่างลงไปนั่งหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่กับพื้นห้อง หน้าดำหน้าแดงไปหมดหวังต้าเหยียนพบว่า ยามปกติฉลองพระองค์ขององค์ชายเจ็ด (และองค์จักรพรรดิ) นั้นมิได้มีสีสันฉูดฉาดแสบตาเช่นวันแรกที่พระนางพบเจอทั้งสองพระองค์ และเมื่อพระนางถามอันวาร์เรื่องนี้ เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้มขบขันว่า วันนั้นเป็นวันพิเศษ เขาจึงแต่งตัวให้พิเศษสดใสกว่าปกติเสียหน่อยเท่านั้นเอง







