คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือด
ราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆ
กรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโมงยามอันอ่อนหวานให้ผู้คนได้พบเจอ
เป็นชั่วขณะหนึ่ง ที่พระบรมมหาราชวังหยางอบอุ่น แต่ช่วงเวลานั้นก็สั้นนัก เมื่อพระมเหสีนิราศลาโลกนี้ไปพร้อมกับที่องค์ชายเจ็ดประสูติมา
พระมเหสีเหมือนพาตะวันดวงน้อยติดตัวเข้ามาในวังหลวง และยามพระนางจากไปก็คล้ายทรงเอาตะวันดวงนั้นไปด้วย...ซ้ำยังจากไปพร้อมพระหทัยขององค์จักรพรรดิ
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ราวกับฝันหนึ่งตื่นสำหรับซูมู่ถง หัวหน้าราชองครักษ์ในองค์ชายเจ็ด
ซูมู่ถง ดั้งเดิมเป็นเพียงคนป่าเถื่อนที่มีฝีมือมาก แต่ต่อมาคล้ายเป็นลิขิตสวรรค์ให้ได้เข้ามารับราชการในวังหลวง เริ่มจากการเป็นเพียงพลทหารในสมัยที่หยางไท่ซานยังเป็นเพียงองค์ชาย ก่อนตำแหน่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เหมือนกับที่หยางไท่ซานเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นองค์จักรพรรดิ จนได้เป็นแม่ทัพประจำกองรบพิเศษคอยกระทำเรื่องสกปรกให้พระองค์ นับได้ว่าเป็นที่ไว้วางใจอย่างยิ่งของหยางไท่ซาน
และเพราะไว้ใจมากที่สุดจากคนทั้งวัง มากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่เคยเข่นฆ่า ยามพระมเหสีหลี่ทรงครรภ์พระโอรส องค์จักรพรรดิจึงพระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรส ตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเพียงตัวอ่อนในพระครรภ์ ให้เขาคอยปกปักรักษาและดูแลชีวิตของหยางซิงอี นับตั้งแต่องค์ชายยังไม่ลืมพระเนตรดูโลก เปลี่ยนจากแม่ทัพสู่ราชองครักษ์ของพระโอรสและพระมเหสีที่ทรงรักที่สุด
ฉะนั้น เขาจึงทันเห็นพร้อมหญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงว่า พระบรมมหาราชวังหยางเคยอบอุ่นมากมายเพียงไร
ยามพระมเหสียังอยู่ พระบรมมหาราชวังสวยงามใต้แสงตะวัน จนแทบจะทำให้ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางนั้นสืบทอดกันมาเช่นไร และคนในราชวงศ์นองเลือดกันเองมามากมายแค่ไหน
ใต้ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง ทั้งหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบ ทั้งจับหน้าท้องนูน และแนบพระกรรณสดับเสียง ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามพระครรภ์ของพระมเหสีขยับเคลื่อน เมื่อพระโอรสในพระครรภ์ทรงบิดขี้เกียจ
“จะเป็นธิดาหรือโอรสบิดาย่อมรักเจ้า”
“หากเป็นพระโอรสคงหล่อเหลาเหมือนพระองค์”
“…และหากเป็นธิดาคงงดงามเช่นเจ้า หรือบางทีอาจเป็นโอรสที่หน้าคล้ายเจ้าและธิดาที่หน้าคล้ายข้าก็เป็นได้ใครจะรู้”
“หากเป็นพระโอรสหน้าตาเหมือนหม่อมฉัน หม่อมฉันว่าพระโอรสต้องหล่อเหลาเอาการมากแน่ ๆ” พระมเหสีหลี่กล่าวแล้วองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็สรวลในอก
เขาและเฉินฝู่หมิงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ยังอดคิดไม่ได้ว่า ยามพระโอรสเกิดมาคงเป็นองค์ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
แต่นั่นก็จนกระทั่งถึงวันประสูติการที่คืนวันแห่งความสุขจบลง
หลังพระมเหสีจากไป หยางไท่ซานก็กลับไปเป็นเหมือนเก่าก่อน...พระบรมมหาราชวังเองก็เหมือนกัน ทั้งเย็นเยือกและโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้ม่านน้ำแข็ง เศษซากของหัวใจก็ยังพอเหลืออยู่ให้เห็น
โดยที่หญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงไม่มีโอกาสได้รู้ คืนหนึ่งไม่กี่วันหลังจากงานพระศพของพระมเหสีจบลง ในโมงยามที่ทุกคนล้วนหลับนอนนอกจากอารักขาและเขาผู้เป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด องค์จักรพรรดิหยางเสด็จมายังตำหนักของพระมเหสี
ยามเข้ามาทรงให้สัญญาณแก่เขาว่าให้เงียบ ก่อนจะเดินไปทางห้องบรรทมของพระโอรสด้วยใบหน้าราวกับซากศพ ทั้งโศกเศร้าและอ่อนล้า
ซูมู่ถงเห็นทรงอุ้มพระโอรสขึ้นแนบพระอุระ ก่อนจะโยกพระวรกายไปมาน้อย ๆ พลางทอดพระเนตรพระพักตร์ขององค์ชาย
เขาได้ยินพระองค์ตรัสเสียงแผ่วว่า “แล้วเขาก็เกิดมาหน้าเหมือนเจ้า ดูจมูกนั่นสิ ไหนจะใบหูกับคิ้วอีก เหมือนเจ้าไปเสียหมดทุกอย่าง อีกหน่อยยามเขายิ้มก็คงเหมือนเจ้า ยามหัวเราะก็คงเหมือนเจ้า ยามร่ำไห้ก็คงเหมือนเจ้า แล้วเยี่ยงนี้ข้าจะทำใจได้อย่างไร พระมเหสีหลี่เคยมีใครบอกเจ้าไหมว่าเจ้าเป็นคนโหดร้าย เจ้าทำได้อย่างไรมาทิ้งข้ากับลูกไปเช่นนี้”
ซูมู่ถงถอยออกมายืนเฝ้าระวังอยู่นอกห้องบรรทม ฟังเสียงองค์จักรพรรดิครวญทำนองเพลงที่เขาจำได้ว่า พระองค์เคยใช้เกี้ยวพระมเหสี สุรเสียงทุ้มต่ำคล้ายจะกล่อมให้พระโอรสบรรทม แต่ก็คล้ายกันแสงอยู่ในที เป็นคืนโศกที่ยากจะบรรยาย
ก่อนพระองค์จะกลับไปในรุ่งสาง พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ ถ่ายทอดรับสั่งแสนสำคัญยิ่งให้เขาชุดหนึ่ง ทั้งทรงกอดทั้งจุมพิตพระปรางค์ของพระโอรส ราวกับจากนี้จะไม่ทรงได้เจอราชบุตรอีก แล้วก็จริง เพราะเมื่อก้าวออกจากตำหนักของอดีตพระมเหสีที่บัดนี้กลายเป็นตำหนักองค์ชายเจ็ดไปแล้ว หยางไท่ซานผู้อ่อนโยนก็ไม่มีอยู่อีก
พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิหยางผู้โหดร้ายอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นที่รู้จักในวังหลวงว่า หยางไท่ซาน แม้จะไม่เคยแสดงความรักแก่พระโอรสหรือพระธิดาองค์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มีพระโอรสอยู่พระองค์หนึ่ง ที่พระองค์จงเกลียดจงชังมากกว่าพระโอรสหรือพระธิดาองค์ใด...พระโอรสที่พระองค์สั่งห้ามมิให้แสดงสีหน้า จนในวัยเยาว์พระองค์ต้องสวมหน้ากากไม้ปกปิดพระพักตร์ไม่ให้พระบิดาเห็น เกลียดเสียจนกระทั่งสิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์เช่นโอรสธิดาพระองค์อื่นก็ยังไม่มี
ทุกคนล้วนเข้าใจว่า หยางไท่ซานเกลียดหยางซิงอี เพราะพระโอรสมีใบหน้าคล้ายพระมารดา ในขณะที่ซูมู่ถงรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ความจริง
เพราะจะเป็นจริงได้เช่นไร ในเมื่อรับสั่งในคืนนั้นช่างชัดเจน
“มู่ถงสหายข้า บุตรของข้าคนนี้เจ้าต้องดูแลเขาให้ดี ทุกสิ่งที่ซิงอีได้รับต้องเป็นของที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ หรือข้ารับใช้ ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย ส่วนเรื่องในวังหลวง ข้าจะจัดการเอง ลูกข้าคนนี้เหมือนแม่ของเขานักและข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับชะตากรรมเช่นที่ข้าเผชิญ อย่างน้อยลูกคนนี้...อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ให้เขาต้องมาข้องเกี่ยวกับบัลลังก์หยางโดยเด็ดขาด”
ใครบอกว่าทรงไม่รักหยางซิงอีกัน ในเมื่อหลังพระโอรสมีประสูติกาลมา หยางไท่ซานก็ยกพระชนม์ชีพที่เหลือให้การพิทักษ์พระโอรสจากกระดานอำนาจในวังต้องสาปแห่งนี้
แล้วทรงปกป้องพระโอรสสำเร็จไหม ผลลัพธ์ก็อยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า แม้ราชบัลลังก์หยางจะผลัดเปลี่ยนองค์จักรพรรดิแล้ว หยางซิงอีก็ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวังหลวง
...ยังมีชีวิตอยู่ แม้สภาพจิตใจจะบุบสลายและพังทลายจนไม่อาจมีความสุขได้เช่นคนปกติแล้วก็ตาม
ซูมู่ถงสงสารหยางซิงอี
พระองค์คล้ายจะมีความสุขได้เมื่อสุราต้องพระโอษฐ์ เมื่อมึนเมาก็หลงลืมทุกสิ่งอย่างว่าพระองค์เป็นผู้ใด ลงเป็นเช่นนี้พระองค์จึงมักเสด็จออกไปร่ำสุราเพียงลำพังนอกวัง แกล้งทำตนเป็นผู้อื่น เสวยจนสุราขมกลายเป็นรสหวาน ลืมฐานันดรและชื่อของพระองค์เองไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะมีแค่ยามนี้เท่านั้นที่ทรงแย้มยิ้มได้เช่นคนหนุ่มธรรมดา
ความสุขชั่วข้ามคืน เมื่อตื่นบรรทมมาพระองค์จึงยิ่งทุกข์พระหทัยที่ความสุขจากการลืมเลือนไม่ยืนยาว ก่อนจะจบลงที่การขว้างปาทำลายข้าวของด้วยพระพักตร์นิ่งสนิท
เขารู้ เพราะทุกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานเกินควร เขาจะออกไปรับองค์ชายกลับสู่วังหลวง จึงเคยเห็นว่ายามพระองค์เมามายมีอาการเช่นไร
ฉะนั้น สายวันที่ทรงตื่นมาจดจำสิ่งใดไม่ได้ ลึกลงไปเขาจึงยินดีกับพระองค์นัก
เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ปรารถนามาตลอด
เหมือนเฉินฝู่หมิง เขาเองก็รักเอ็นดูหยางซิงอีไม่ต่างจากลูกในไส้
“ราชองครักษ์ซู องค์ชายมีรับสั่งว่าอยากได้ฉลองพระองค์ใหม่ วานท่านส่งจดหมายหาช่างตัดฉลองพระองค์ประจำพระองค์เช่นทุกครั้งด้วยนะเจ้าคะ”
“ย่อมได้เช่นทุกครั้งไปแม่นางเฉิน”
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ...”
“เรื่องใดหรือแม่นาง”
“องค์ชายเจ็ดขอฉลองพระองค์สักเจ็ดตัวอย่างต่ำ และแต่ละตัวก็ขอให้สีสันแตกต่างกัน ข้าว่าท่านแจ้งเรื่องนี้แก่ช่างตัดฉลองพระองค์เสียหน่อยคงดีไม่น้อยเขาจะได้เตรียมการได้ถูก”
“…องค์ชายทรงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ”
“เปลี่ยนไปมากเลยละเจ้าค่ะ ราวกับเกิดใหม่ แต่ก็ดูสุขใจมากกว่าแต่ก่อนนักเจ้าค่ะ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วแม่นาง”
หลินซีในฐานะอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของซูมู่ถงและซานหลิน ทั้งชีวิตจัดว่าเคยเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมายทั้งสิ่งแปลกพิสดาร สิ่งสวยงาม และสิ่งไม่สวยงาม แต่ไม่มีสักครั้งที่สิ่งเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดดวงตาจนแทบจะร้องไห้ และเขาก็ไม่เคยเชื่อด้วยว่า การมองบางอย่างเช่นเสื้อผ้าจะสามารถทำให้ชายอกสามศอกเช่นตนหลั่งน้ำตาได้ไม่เชื่อจนกระทั่งเขาเห็นฉลองพระองค์ขององค์จักรพรรดิหยางในสายวันหนึ่ง ที่พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการด่วน...ตาแทบบอด เจ็บตาจนไม่ได้ยินสิ่งที่องค์จักรพรรดิตรัสถามแค่เห็นสีฟ้าสดบนพระวรกาย หลินซีผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าให้ผู้ใดเห็นก็แทบจะยู่หน้ายิ่งพระองค์ย่างพระบาทมาใกล้เขายิ่งอยากถอยห่าง ใจกรีดร้องว่า ได้โปรดหยุด เขายังไม่อยากให้ตาเห็นเพียงสีฟ้า เขายังอยากเห็นโลกที่สดใส อยากเห็นดอกไม้ใบหญ้า และสาวงามใต้ตาของหลินซีกระตุกสลับซ้ายขวา ไม่รู้เป็นเพราะดวงตาอยากจะติดขาออกมาวิ่งหนีสีฟ้าที่ใกล้เข้ามา หรือธาตุไฟกำลังจะเข้าแทรกกันแน่สวรรค์ประทานพร! ยิ่งมององค์จักรพรรดิเขายิ่งเจ็บตาเขาทราบดีว่า องค์จักรพรรดิมีพระร
องค์จักรพรรดิอยากพบเขา?อันวาร์ยืนมองร่างของหยางซิงอีที่สะท้อนมาในกระจก แม้จะผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เขาก็ยังไม่ชินกับการตื่นมาเห็นตัวเองร่างใหม่นัก อย่างว่าเขาอยู่กับร่างเดิมมายี่สิบหกปี อยู่ ๆ ตื่นมากลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด มันก็ต้องมีปรับตัวใหม่กันบ้าง แต่เรื่องชินไม่ชินมันก็เรื่องหนึ่ง เรื่องสำคัญคือเรื่องนี้ต่างหากเรื่องที่องค์จักรพรรดิอยากพบเขาโอเค ไม่แปลกที่พี่น้องจะอยากเจอหน้ากันบ้าง เพราะอย่างไรองค์จักรพรรดิกับหยางซิงอีก็เป็นพี่น้องกัน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมเป็นตอนนี้ ทำไมเพิ่งมาอยากพบเขาเอาป่านนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าก็สามารถพบกันได้ตลอด ยิ่งหยางซิงอีเกิดเหตุประหลาดตื่นมาความจำเสื่อม จริง ๆ อีกคนน่าจะเรียกเขาเข้าพบเร็วกว่านี้ หรือไม่ก็ตั้งแต่ทราบข่าวอาการประหลาดของหยางซิงอีเสียด้วยซ้ำ แต่นี่กลับทิ้งเวลามายาวนานถึงเดือนกว่าเพราะอะไร เพื่ออะไร นี่คือคำถามอันวาร์เดินจากหน้ากระจกไปที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดสมุดปกน้ำเงินพลิกไปจนเจอหน้าว่าง แล้วเขียนชื่อหยางซิงอีและองค์จักรพรรดิหยางลงไปก่อนหน้านี้เขาเคยสอบถามคนในตำหนักถึงองค์จักรพรรดิอยู
หลังทราบรายงานของสายข่าวเกี่ยวกับข่าวคราวขององค์ชายเจ็ด หญิงสาวในร่างหนุ่มเนื้อคู่ก็รู้สึกเหมือนวิญญาณตนหลุดออกไปนอกโลก และลอยคว้างอยู่กลางอวกาศสายข่าวของหล่อนรายงานว่า องค์ชายเจ็ดเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตื่นมาความจำเสื่อม พระองค์เปลี่ยนไปหมดตั้งแต่อุปนิสัย รสนิยมการตกแต่งตำหนัก ตลอดจนการแต่งกายของพระองค์ที่คล้ายจะเวียนใส่ฉลองพระองค์อยู่เจ็ดสีในเจ็ดวัน โดยเริ่มที่สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแสด สีคราม สีม่วง และสีแดงเข้มบางอย่างสะกิดใจรจนา บางอย่างที่คล้ายจะเป็นสีประจำวันที่คุณครูของประเทศหนึ่งในทวีปเอเชียอาคเนย์ต้องสอนเด็กอนุบาลทุกคน“เอาล่ะเด็ก ๆ ท่องตามคุณครูนะคะ วันจันทร์สีเหลือง...” ราวกับได้ยินเสียงคุณครูส้มโอ อดีตครูประจำชั้นสมัยอนุบาล 3 ดังขึ้นมาในหูไทยแลนด์โอนนี่ นี่มัน...สีของเจ็ดวันจากกะลาแลนด์แดนไทยไม่ใช่เหรอ!? ถึงจะไม่ตรงตามที่หล่อนจำได้เป๊ะ ๆ แต่หล่อนว่าก็ใกล้เคียงไปแล้วถึงหกในเจ็ดสีไม่หรอกมั้งอาจจะแค่บังเอิญ หล่อนคิด แต่ยิ่งฟังรายงานจากสายข่าว หล่อนยิ่งรู้สึกว่าใช่“ฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดนอกจากเรื่องพฤติกรรมการซื้อเครื่องเรือนและการแต่งกาย เท่าที่กระหม่อมตรวจสอบมาทั้งจากที่ลอบปล
เพราะร่างกายของชาวยุทธ์มีอุณหภูมิสูงกว่าคนปกติกระมัง ยามอากาศหนาวเย็นจนเกินทานทน พระองค์จึงมักขอมือนางไปจับไว้เพื่อคลายหนาวเมื่อครั้งพระชนมายุได้ 11 ชันษา หยางซิงอีเคยถูกพระสนมไป๋หวังเยี่ยนลักพาตัวไปนานราวเจ็ดวันทันทีที่ทราบผลการสืบสวนจากซูมู่ถง เฉินฝู่หมิงในวัย 47 ปีก็รู้สึกราวกับฟ้าจะถล่มลงมาเดี๋ยวนั้น และเมื่อเขาบอกให้นางเตรียมตัวออกเดินทางไปตามหาองค์ชายเจ็ด กระบี่ที่แทบไม่ได้แตะต้องนับตั้งแต่องค์ชายประสูติมา ก็กลับมาอยู่ในมือนางอีกครั้งทั้งอาภรณ์ดำสนิทปักลายนกนางแอ่น ผมดำยาวที่รวบเป็นหางม้าสูง ต่างหูรูปจันทร์เสี้ยวทองคำ และกระบี่โลหะสวรรค์สีดำคู่กาย เฉินฝู่หมิงสลัดคราบหญิงรับใช้ผู้นอบน้อมงดงามของตนออก แล้วคงเหลือไว้เพียง เฉินฝู่หมิง นางแอ่นดำแห่งยุทธภพคณะของซูมู่ถงใช้เวลาเดินทางสั้นกว่าขบวนเสด็จของหยางซิงอีมาก เพียงสามวันก็หาขบวนเสด็จขององค์ชายพบสภาพของขบวนเสด็จนั้นไร้ผู้รอดชีวิต จากการตรวจสอบพวกเขาพบว่า ทั้งหมดถูกสังหารขณะหลับ และพบสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับรุนแรงอยู่ในอาหาร นี่จึงเป็นเหตุให้กระทั่
เพราะมีสายเลือดไป๋อยู่ในกาย ครั้งหนึ่งในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติขององค์จักรพรรดินีไป๋ องค์จักรพรรดิหยางไท่ซานจึงมีรับสั่งให้องค์ชายเจ็ดในวัย 11 ชันษาเสด็จไปเยือนแคว้นไป๋ พร้อมของกำนัลแด่องค์จักรพรรดินีการเดินทางข้ามแคว้นครั้งนั้นใช้เวลาร่วมแปดวัน และราชองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายเจ็ดไปก็มิใช่ซูมู่ถง แต่เป็นถังเยว่ พลธนูมือหนึ่งแห่งแคว้นหยาง อดีตทหารใต้บังคับบัญชาของซูมู่ถงและศิษย์ร่วมสำนักของเฉินฝู่หมิงเหตุที่ครั้งนั้นซูมู่ถงมิได้ตามเสด็จองค์ชาย เพราะก่อนหน้าวันออกเดินทางไม่กี่วัน เขาและเฉินฝู่หมิงพบว่า ในสำรับอาหารของพระองค์มียาพิษปนอยู่ และเมื่อไม่ทราบว่าที่มาของพิษคือสิ่งใด ซูมู่ถงจึงตัดสินใจรั้งอยู่ในแคว้นหยางเพื่อสืบหาความจริง หรืออย่างน้อยก็จนทำความสะอาดตำหนักขององค์ชายเสร็จเสียก่อนจึงจะตามไปมีถังเยว่อยู่กับองค์ชายเจ็ด ทั้งเฉินฝู่หมิงและซูมู่ถงก็พอเบาใจได้บ้าง ซ้ำยังเป็นการดีเสียอีกที่องค์ชายมิได้พำนักอยู่ในวังหลวง เพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากให้พระองค์อยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยซูมู่ถงแจ้งเหตุดังกล่าวแก่องค์จักรพรรดิหยาง ไม่ถึงชั่วยามก็มีการจัดตั้งคณะสืบสวนสอบสวน คนในคณะล้วนเคยเป็นค
WARNING:เนื้อหาในตอนมีความรุนแรงทั้งทางกายและทางใจเพราะเป็นสหายรัก...คนใกล้ตัว หลี่ถงฮว่าจึงไม่เคยระแวงไป๋หวังเยี่ยนอีกคนจะมอบของขวัญให้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นหรืออาหารทั้งคาวหวาน พระนางย่อมยินดีรับไว้ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะมียาพิษก็ไม่คิดตรวจสอบเพียงหลี่ถงฮว่าขึ้นเป็นพระมเหสีของหยางไท่ซาน พระบรมมหาราชวังอันเย็นเยียบก็อบอุ่นขึ้นทันตา และแน่นอนว่า บุคคลแรกที่หลี่ถงฮว่าไปหาคือ ไป๋หวังเยี่ยนในความยินดีที่ดวงใจกลับมาให้เห็นหน้า ความหวงแหนอันน่าสะพรึงกลัวก็มีกำเนิดมา ไป๋หวังเยี่ยนกอดหลี่ถงฮว่าแทบจะไม่อยากปล่อยหญิงสาวไปไหน และแม้จะโกรธแค้นอีกคนที่ไม่รักษาสัญญาแค่ไหน แต่เพียงหนึ่งยิ้มสดใสที่หลี่ถงฮว่าส่งมา พระเนตรวาวโรจน์ของไป๋หวังเยี่ยนก็อ่อนแสงลงทันตา และไม่ว่าพระมเหสีจะขอสิ่งใดจากพระนาง พระนางย่อมยินดีกระทำให้หลี่ถงฮว่าขอให้พระนางเลิกสุรา พระนางก็เลิกทันทีที่สิ้นเสียงหญิงสาวหลี่ถงฮว่าขอให้พระนางดีกับพระโอรสบ้าง พระนางก็ดีด้วยหลี่ถงฮว่าขอให้พระนางไปไหนมาไหนเช่นเก่าก่อน พระนางก็ทำแต่แม้จะได้อยู่ด้วยกันคล้ายเก่าก่อน คำว่า “คล้าย” ก็มิใช่ “เหมือน” เพราะทุกเย็นหยางไท่ซานจะมารับหลี่ถงฮว่าไปจา