Beranda / วาย / เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!? / บทที่ 4 จะเป็นธิดาหรือโอรสย่อมรักเจ้า

Share

บทที่ 4 จะเป็นธิดาหรือโอรสย่อมรักเจ้า

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-03 23:33:52

คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือด

ราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์

บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆ

กรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป

ราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโมงยามอันอ่อนหวานให้ผู้คนได้พบเจอ

เป็นชั่วขณะหนึ่ง ที่พระบรมมหาราชวังหยางอบอุ่น แต่ช่วงเวลานั้นก็สั้นนัก เมื่อพระมเหสีนิราศลาโลกนี้ไปพร้อมกับที่องค์ชายเจ็ดประสูติมา

พระมเหสีเหมือนพาตะวันดวงน้อยติดตัวเข้ามาในวังหลวง และยามพระนางจากไปก็คล้ายทรงเอาตะวันดวงนั้นไปด้วย...ซ้ำยังจากไปพร้อมพระหทัยขององค์จักรพรรดิ

เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ราวกับฝันหนึ่งตื่นสำหรับซูมู่ถง หัวหน้าราชองครักษ์ในองค์ชายเจ็ด

ซูมู่ถง ดั้งเดิมเป็นเพียงคนป่าเถื่อนที่มีฝีมือมาก แต่ต่อมาคล้ายเป็นลิขิตสวรรค์ให้ได้เข้ามารับราชการในวังหลวง เริ่มจากการเป็นเพียงพลทหารในสมัยที่หยางไท่ซานยังเป็นเพียงองค์ชาย ก่อนตำแหน่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เหมือนกับที่หยางไท่ซานเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นองค์จักรพรรดิ จนได้เป็นแม่ทัพประจำกองรบพิเศษคอยกระทำเรื่องสกปรกให้พระองค์ นับได้ว่าเป็นที่ไว้วางใจอย่างยิ่งของหยางไท่ซาน

และเพราะไว้ใจมากที่สุดจากคนทั้งวัง มากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่เคยเข่นฆ่า ยามพระมเหสีหลี่ทรงครรภ์พระโอรส องค์จักรพรรดิจึงพระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรส ตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเพียงตัวอ่อนในพระครรภ์ ให้เขาคอยปกปักรักษาและดูแลชีวิตของหยางซิงอี นับตั้งแต่องค์ชายยังไม่ลืมพระเนตรดูโลก เปลี่ยนจากแม่ทัพสู่ราชองครักษ์ของพระโอรสและพระมเหสีที่ทรงรักที่สุด

ฉะนั้น เขาจึงทันเห็นพร้อมหญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงว่า พระบรมมหาราชวังหยางเคยอบอุ่นมากมายเพียงไร

ยามพระมเหสียังอยู่ พระบรมมหาราชวังสวยงามใต้แสงตะวัน จนแทบจะทำให้ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางนั้นสืบทอดกันมาเช่นไร และคนในราชวงศ์นองเลือดกันเองมามากมายแค่ไหน

ใต้ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง ทั้งหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบ ทั้งจับหน้าท้องนูน และแนบพระกรรณสดับเสียง ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามพระครรภ์ของพระมเหสีขยับเคลื่อน เมื่อพระโอรสในพระครรภ์ทรงบิดขี้เกียจ

“จะเป็นธิดาหรือโอรสบิดาย่อมรักเจ้า”

“หากเป็นพระโอรสคงหล่อเหลาเหมือนพระองค์”

“…และหากเป็นธิดาคงงดงามเช่นเจ้า หรือบางทีอาจเป็นโอรสที่หน้าคล้ายเจ้าและธิดาที่หน้าคล้ายข้าก็เป็นได้ใครจะรู้”

“หากเป็นพระโอรสหน้าตาเหมือนหม่อมฉัน หม่อมฉันว่าพระโอรสต้องหล่อเหลาเอาการมากแน่ ๆ” พระมเหสีหลี่กล่าวแล้วองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็สรวลในอก

เขาและเฉินฝู่หมิงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ยังอดคิดไม่ได้ว่า ยามพระโอรสเกิดมาคงเป็นองค์ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก

แต่นั่นก็จนกระทั่งถึงวันประสูติการที่คืนวันแห่งความสุขจบลง

หลังพระมเหสีจากไป หยางไท่ซานก็กลับไปเป็นเหมือนเก่าก่อน...พระบรมมหาราชวังเองก็เหมือนกัน ทั้งเย็นเยือกและโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้ม่านน้ำแข็ง เศษซากของหัวใจก็ยังพอเหลืออยู่ให้เห็น

โดยที่หญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงไม่มีโอกาสได้รู้ คืนหนึ่งไม่กี่วันหลังจากงานพระศพของพระมเหสีจบลง ในโมงยามที่ทุกคนล้วนหลับนอนนอกจากอารักขาและเขาผู้เป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด องค์จักรพรรดิหยางเสด็จมายังตำหนักของพระมเหสี

ยามเข้ามาทรงให้สัญญาณแก่เขาว่าให้เงียบ ก่อนจะเดินไปทางห้องบรรทมของพระโอรสด้วยใบหน้าราวกับซากศพ ทั้งโศกเศร้าและอ่อนล้า

ซูมู่ถงเห็นทรงอุ้มพระโอรสขึ้นแนบพระอุระ ก่อนจะโยกพระวรกายไปมาน้อย ๆ พลางทอดพระเนตรพระพักตร์ขององค์ชาย

เขาได้ยินพระองค์ตรัสเสียงแผ่วว่า “แล้วเขาก็เกิดมาหน้าเหมือนเจ้า ดูจมูกนั่นสิ ไหนจะใบหูกับคิ้วอีก เหมือนเจ้าไปเสียหมดทุกอย่าง อีกหน่อยยามเขายิ้มก็คงเหมือนเจ้า ยามหัวเราะก็คงเหมือนเจ้า ยามร่ำไห้ก็คงเหมือนเจ้า แล้วเยี่ยงนี้ข้าจะทำใจได้อย่างไร พระมเหสีหลี่เคยมีใครบอกเจ้าไหมว่าเจ้าเป็นคนโหดร้าย เจ้าทำได้อย่างไรมาทิ้งข้ากับลูกไปเช่นนี้”

ซูมู่ถงถอยออกมายืนเฝ้าระวังอยู่นอกห้องบรรทม ฟังเสียงองค์จักรพรรดิครวญทำนองเพลงที่เขาจำได้ว่า พระองค์เคยใช้เกี้ยวพระมเหสี สุรเสียงทุ้มต่ำคล้ายจะกล่อมให้พระโอรสบรรทม แต่ก็คล้ายกันแสงอยู่ในที เป็นคืนโศกที่ยากจะบรรยาย

ก่อนพระองค์จะกลับไปในรุ่งสาง พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ ถ่ายทอดรับสั่งแสนสำคัญยิ่งให้เขาชุดหนึ่ง ทั้งทรงกอดทั้งจุมพิตพระปรางค์ของพระโอรส ราวกับจากนี้จะไม่ทรงได้เจอราชบุตรอีก แล้วก็จริง เพราะเมื่อก้าวออกจากตำหนักของอดีตพระมเหสีที่บัดนี้กลายเป็นตำหนักองค์ชายเจ็ดไปแล้ว หยางไท่ซานผู้อ่อนโยนก็ไม่มีอยู่อีก

พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิหยางผู้โหดร้ายอีกครั้ง

แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นที่รู้จักในวังหลวงว่า หยางไท่ซาน แม้จะไม่เคยแสดงความรักแก่พระโอรสหรือพระธิดาองค์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มีพระโอรสอยู่พระองค์หนึ่ง ที่พระองค์จงเกลียดจงชังมากกว่าพระโอรสหรือพระธิดาองค์ใด...พระโอรสที่พระองค์สั่งห้ามมิให้แสดงสีหน้า จนในวัยเยาว์พระองค์ต้องสวมหน้ากากไม้ปกปิดพระพักตร์ไม่ให้พระบิดาเห็น เกลียดเสียจนกระทั่งสิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์เช่นโอรสธิดาพระองค์อื่นก็ยังไม่มี

ทุกคนล้วนเข้าใจว่า หยางไท่ซานเกลียดหยางซิงอี เพราะพระโอรสมีใบหน้าคล้ายพระมารดา ในขณะที่ซูมู่ถงรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ความจริง

เพราะจะเป็นจริงได้เช่นไร ในเมื่อรับสั่งในคืนนั้นช่างชัดเจน

“มู่ถงสหายข้า บุตรของข้าคนนี้เจ้าต้องดูแลเขาให้ดี ทุกสิ่งที่ซิงอีได้รับต้องเป็นของที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ หรือข้ารับใช้ ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย ส่วนเรื่องในวังหลวง ข้าจะจัดการเอง ลูกข้าคนนี้เหมือนแม่ของเขานักและข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับชะตากรรมเช่นที่ข้าเผชิญ อย่างน้อยลูกคนนี้...อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ให้เขาต้องมาข้องเกี่ยวกับบัลลังก์หยางโดยเด็ดขาด”

ใครบอกว่าทรงไม่รักหยางซิงอีกัน ในเมื่อหลังพระโอรสมีประสูติกาลมา หยางไท่ซานก็ยกพระชนม์ชีพที่เหลือให้การพิทักษ์พระโอรสจากกระดานอำนาจในวังต้องสาปแห่งนี้

แล้วทรงปกป้องพระโอรสสำเร็จไหม ผลลัพธ์ก็อยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า แม้ราชบัลลังก์หยางจะผลัดเปลี่ยนองค์จักรพรรดิแล้ว หยางซิงอีก็ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวังหลวง

...ยังมีชีวิตอยู่ แม้สภาพจิตใจจะบุบสลายและพังทลายจนไม่อาจมีความสุขได้เช่นคนปกติแล้วก็ตาม

ซูมู่ถงสงสารหยางซิงอี

พระองค์คล้ายจะมีความสุขได้เมื่อสุราต้องพระโอษฐ์ เมื่อมึนเมาก็หลงลืมทุกสิ่งอย่างว่าพระองค์เป็นผู้ใด ลงเป็นเช่นนี้พระองค์จึงมักเสด็จออกไปร่ำสุราเพียงลำพังนอกวัง แกล้งทำตนเป็นผู้อื่น เสวยจนสุราขมกลายเป็นรสหวาน ลืมฐานันดรและชื่อของพระองค์เองไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะมีแค่ยามนี้เท่านั้นที่ทรงแย้มยิ้มได้เช่นคนหนุ่มธรรมดา

ความสุขชั่วข้ามคืน เมื่อตื่นบรรทมมาพระองค์จึงยิ่งทุกข์พระหทัยที่ความสุขจากการลืมเลือนไม่ยืนยาว ก่อนจะจบลงที่การขว้างปาทำลายข้าวของด้วยพระพักตร์นิ่งสนิท

เขารู้ เพราะทุกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานเกินควร เขาจะออกไปรับองค์ชายกลับสู่วังหลวง จึงเคยเห็นว่ายามพระองค์เมามายมีอาการเช่นไร

ฉะนั้น สายวันที่ทรงตื่นมาจดจำสิ่งใดไม่ได้ ลึกลงไปเขาจึงยินดีกับพระองค์นัก

เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ปรารถนามาตลอด

เหมือนเฉินฝู่หมิง เขาเองก็รักเอ็นดูหยางซิงอีไม่ต่างจากลูกในไส้

“ราชองครักษ์ซู องค์ชายมีรับสั่งว่าอยากได้ฉลองพระองค์ใหม่ วานท่านส่งจดหมายหาช่างตัดฉลองพระองค์ประจำพระองค์เช่นทุกครั้งด้วยนะเจ้าคะ”

“ย่อมได้เช่นทุกครั้งไปแม่นางเฉิน”

“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ...”

“เรื่องใดหรือแม่นาง”

“องค์ชายเจ็ดขอฉลองพระองค์สักเจ็ดตัวอย่างต่ำ และแต่ละตัวก็ขอให้สีสันแตกต่างกัน ข้าว่าท่านแจ้งเรื่องนี้แก่ช่างตัดฉลองพระองค์เสียหน่อยคงดีไม่น้อยเขาจะได้เตรียมการได้ถูก”

“…องค์ชายทรงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ”

“เปลี่ยนไปมากเลยละเจ้าค่ะ ราวกับเกิดใหม่ แต่ก็ดูสุขใจมากกว่าแต่ก่อนนักเจ้าค่ะ”

“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วแม่นาง”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 4 จะเป็นธิดาหรือโอรสย่อมรักเจ้า

    คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือดราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆกรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโม

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 3 เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน

    บางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดีเฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไรนางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 2 อี่โมชั่นนอล ด๊าเมจ

    ใต้แดดสายที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างและแมกไม้เข้ามาในห้องบรรทมกว้าง บนแท่นบรรทมขาวหลังใหญ่ ชายหนุ่มร่างโปร่งคนหนึ่งคลานหนีแสงจากฟ้าอย่างเกียจคร้านไปซุกหน้าลงใต้หมอนใบโต ไม่ไกลจากเขานักคือสมุดปกน้ำเงินเล่มหนึ่ง และเขาก็ไม่ใช่ใคร คืออันวาร์ วราหะในร่างใหม่นี่เองส่งเสียงครางจากใต้หมอนออกมาไม่ต่างจากลูกสัตว์บาดเจ็บในที่ซ่อน และใช่ เขาบาดเจ็บ บาดเจ็บทางใจเสียด้วย อีโมชันนอล ดาเมจอยากกรี๊ด หลังตื่นมาในโลกใหม่ได้ 4 วัน อันวาร์ก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนได้ยอมรับว่า เป็นคืนวันที่โกลาหล โดยเขาเริ่มวันแรกด้วยการสติแตกจนหญิงรับใช้ต้องตามหมอหลวงมาดูอาการ และผ่านวันที่สองมาด้วยการนอนร้องไห้โศกเศร้าเสียใจต่อโลกเดิมที่จากมา ไม่ต่างจากคนอกหัก ก่อนจะตัดสินใจยอมรับความจริงอย่างอ่อนล้าได้ในวันที่สาม และเริ่มเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในวันที่สี่เติบโตใน 4 วันไม่ต่างจากเมล็ดถั่วงอกในกระดาษทิชชูคาบวิทยาศาสตร์ชั้นประถมร่างใหม่ที่เขาเข้ามาอยู่คือร่างของ หยางซิงอี องค์ชายลำดับที่เจ็ดแห่งแคว้นหยาง ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้จากหญิงรับใช้ตอนตื่นมาใหม่ ๆ เขาก็ว่ามันฟังดูคุ้นหูแล้วนะ แล้วจากที่เขา

  • เดี๋ยวก่อน! นายเป็นนายเอกไม่ใช่เหรอ!?   บทที่ 1 โอ้มายบุดด้า! นี่เขามาเกิดใหม่เป็นภัยสังคมเหรอ

    ถ้าใครสักคนถามอันวาร์ว่า เขาเป็นใคร ตัวอันวาร์เองก็คงจะตอบกลับไปง่าย ๆ เรียบ ๆ ว่า เขาก็เป็นแค่ชายหนุ่มชาวไทยวัยทำงานคนหนึ่งที่ตกงานเพราะพิษเศรษฐกิจ จนมีเวลาว่างมากเกินไปและถ้ามีคนถามเขาเพิ่มว่า แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เขาก็คงตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้คงต้องย้อนความกันสักหน่อยครับ”ทุกอย่างเริ่มต้นตอนที่เขาตกงานนี่แหละอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าในสังคมโลก ทุกอย่างดำเนินไปบนระบบทุนนิยมและเงินตรา และคำว่า “ทุกอย่าง” ในที่นี้ก็หมายรวมถึงตัวเขาด้วย เพราะอย่างไรเขาเองก็เป็นแค่สมาชิกตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ผู้ต้องหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อเอาตัวรอด ฉะนั้น เมื่อเขาตกงาน เขาก็ต้องหางานใหม่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ตกจากงานเก่าปั๊บจะได้งานใหม่ปุ๊บใช่ เขาว่างงาน ว่างจนแทบจะเอาใบปริญญาที่เรียนมาไปพับจรวดเล่นและเมื่อเขาว่างงาน เขาก็มีเวลาในชีวิตเหลือเฟือ “ว่างจนไม่มีอะไรจะทำ ว่างชนิดที่ไม่รู้จะอ่านอะไร เลยตัดสินใจเล่นอะไรแผลง ๆ อย่างการกดปุ่ม “สุ่ม” อ่านนิยายออนไลน์บนหน้าเว็บชื่อดังเว็บหนึ่งมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากก่อน

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status