คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือด
ราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆ
กรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโมงยามอันอ่อนหวานให้ผู้คนได้พบเจอ
เป็นชั่วขณะหนึ่ง ที่พระบรมมหาราชวังหยางอบอุ่น แต่ช่วงเวลานั้นก็สั้นนัก เมื่อพระมเหสีนิราศลาโลกนี้ไปพร้อมกับที่องค์ชายเจ็ดประสูติมา
พระมเหสีเหมือนพาตะวันดวงน้อยติดตัวเข้ามาในวังหลวง และยามพระนางจากไปก็คล้ายทรงเอาตะวันดวงนั้นไปด้วย...ซ้ำยังจากไปพร้อมพระหทัยขององค์จักรพรรดิ
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ราวกับฝันหนึ่งตื่นสำหรับซูมู่ถง หัวหน้าราชองครักษ์ในองค์ชายเจ็ด
ซูมู่ถง ดั้งเดิมเป็นเพียงคนป่าเถื่อนที่มีฝีมือมาก แต่ต่อมาคล้ายเป็นลิขิตสวรรค์ให้ได้เข้ามารับราชการในวังหลวง เริ่มจากการเป็นเพียงพลทหารในสมัยที่หยางไท่ซานยังเป็นเพียงองค์ชาย ก่อนตำแหน่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เหมือนกับที่หยางไท่ซานเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นองค์จักรพรรดิ จนได้เป็นแม่ทัพประจำกองรบพิเศษคอยกระทำเรื่องสกปรกให้พระองค์ นับได้ว่าเป็นที่ไว้วางใจอย่างยิ่งของหยางไท่ซาน
และเพราะไว้ใจมากที่สุดจากคนทั้งวัง มากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่เคยเข่นฆ่า ยามพระมเหสีหลี่ทรงครรภ์พระโอรส องค์จักรพรรดิจึงพระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรส ตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเพียงตัวอ่อนในพระครรภ์ ให้เขาคอยปกปักรักษาและดูแลชีวิตของหยางซิงอี นับตั้งแต่องค์ชายยังไม่ลืมพระเนตรดูโลก เปลี่ยนจากแม่ทัพสู่ราชองครักษ์ของพระโอรสและพระมเหสีที่ทรงรักที่สุด
ฉะนั้น เขาจึงทันเห็นพร้อมหญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงว่า พระบรมมหาราชวังหยางเคยอบอุ่นมากมายเพียงไร
ยามพระมเหสียังอยู่ พระบรมมหาราชวังสวยงามใต้แสงตะวัน จนแทบจะทำให้ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางนั้นสืบทอดกันมาเช่นไร และคนในราชวงศ์นองเลือดกันเองมามากมายแค่ไหน
ใต้ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง ทั้งหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบ ทั้งจับหน้าท้องนูน และแนบพระกรรณสดับเสียง ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามพระครรภ์ของพระมเหสีขยับเคลื่อน เมื่อพระโอรสในพระครรภ์ทรงบิดขี้เกียจ
“จะเป็นธิดาหรือโอรสบิดาย่อมรักเจ้า”
“หากเป็นพระโอรสคงหล่อเหลาเหมือนพระองค์”
“…และหากเป็นธิดาคงงดงามเช่นเจ้า หรือบางทีอาจเป็นโอรสที่หน้าคล้ายเจ้าและธิดาที่หน้าคล้ายข้าก็เป็นได้ใครจะรู้”
“หากเป็นพระโอรสหน้าตาเหมือนหม่อมฉัน หม่อมฉันว่าพระโอรสต้องหล่อเหลาเอาการมากแน่ ๆ” พระมเหสีหลี่กล่าวแล้วองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็สรวลในอก
เขาและเฉินฝู่หมิงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ยังอดคิดไม่ได้ว่า ยามพระโอรสเกิดมาคงเป็นองค์ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
แต่นั่นก็จนกระทั่งถึงวันประสูติการที่คืนวันแห่งความสุขจบลง
หลังพระมเหสีจากไป หยางไท่ซานก็กลับไปเป็นเหมือนเก่าก่อน...พระบรมมหาราชวังเองก็เหมือนกัน ทั้งเย็นเยือกและโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้ม่านน้ำแข็ง เศษซากของหัวใจก็ยังพอเหลืออยู่ให้เห็น
โดยที่หญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงไม่มีโอกาสได้รู้ คืนหนึ่งไม่กี่วันหลังจากงานพระศพของพระมเหสีจบลง ในโมงยามที่ทุกคนล้วนหลับนอนนอกจากอารักขาและเขาผู้เป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด องค์จักรพรรดิหยางเสด็จมายังตำหนักของพระมเหสี
ยามเข้ามาทรงให้สัญญาณแก่เขาว่าให้เงียบ ก่อนจะเดินไปทางห้องบรรทมของพระโอรสด้วยใบหน้าราวกับซากศพ ทั้งโศกเศร้าและอ่อนล้า
ซูมู่ถงเห็นทรงอุ้มพระโอรสขึ้นแนบพระอุระ ก่อนจะโยกพระวรกายไปมาน้อย ๆ พลางทอดพระเนตรพระพักตร์ขององค์ชาย
เขาได้ยินพระองค์ตรัสเสียงแผ่วว่า “แล้วเขาก็เกิดมาหน้าเหมือนเจ้า ดูจมูกนั่นสิ ไหนจะใบหูกับคิ้วอีก เหมือนเจ้าไปเสียหมดทุกอย่าง อีกหน่อยยามเขายิ้มก็คงเหมือนเจ้า ยามหัวเราะก็คงเหมือนเจ้า ยามร่ำไห้ก็คงเหมือนเจ้า แล้วเยี่ยงนี้ข้าจะทำใจได้อย่างไร พระมเหสีหลี่เคยมีใครบอกเจ้าไหมว่าเจ้าเป็นคนโหดร้าย เจ้าทำได้อย่างไรมาทิ้งข้ากับลูกไปเช่นนี้”
ซูมู่ถงถอยออกมายืนเฝ้าระวังอยู่นอกห้องบรรทม ฟังเสียงองค์จักรพรรดิครวญทำนองเพลงที่เขาจำได้ว่า พระองค์เคยใช้เกี้ยวพระมเหสี สุรเสียงทุ้มต่ำคล้ายจะกล่อมให้พระโอรสบรรทม แต่ก็คล้ายกันแสงอยู่ในที เป็นคืนโศกที่ยากจะบรรยาย
ก่อนพระองค์จะกลับไปในรุ่งสาง พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ ถ่ายทอดรับสั่งแสนสำคัญยิ่งให้เขาชุดหนึ่ง ทั้งทรงกอดทั้งจุมพิตพระปรางค์ของพระโอรส ราวกับจากนี้จะไม่ทรงได้เจอราชบุตรอีก แล้วก็จริง เพราะเมื่อก้าวออกจากตำหนักของอดีตพระมเหสีที่บัดนี้กลายเป็นตำหนักองค์ชายเจ็ดไปแล้ว หยางไท่ซานผู้อ่อนโยนก็ไม่มีอยู่อีก
พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิหยางผู้โหดร้ายอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นที่รู้จักในวังหลวงว่า หยางไท่ซาน แม้จะไม่เคยแสดงความรักแก่พระโอรสหรือพระธิดาองค์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มีพระโอรสอยู่พระองค์หนึ่ง ที่พระองค์จงเกลียดจงชังมากกว่าพระโอรสหรือพระธิดาองค์ใด...พระโอรสที่พระองค์สั่งห้ามมิให้แสดงสีหน้า จนในวัยเยาว์พระองค์ต้องสวมหน้ากากไม้ปกปิดพระพักตร์ไม่ให้พระบิดาเห็น เกลียดเสียจนกระทั่งสิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์เช่นโอรสธิดาพระองค์อื่นก็ยังไม่มี
ทุกคนล้วนเข้าใจว่า หยางไท่ซานเกลียดหยางซิงอี เพราะพระโอรสมีใบหน้าคล้ายพระมารดา ในขณะที่ซูมู่ถงรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ความจริง
เพราะจะเป็นจริงได้เช่นไร ในเมื่อรับสั่งในคืนนั้นช่างชัดเจน
“มู่ถงสหายข้า บุตรของข้าคนนี้เจ้าต้องดูแลเขาให้ดี ทุกสิ่งที่ซิงอีได้รับต้องเป็นของที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ หรือข้ารับใช้ ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย ส่วนเรื่องในวังหลวง ข้าจะจัดการเอง ลูกข้าคนนี้เหมือนแม่ของเขานักและข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับชะตากรรมเช่นที่ข้าเผชิญ อย่างน้อยลูกคนนี้...อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ให้เขาต้องมาข้องเกี่ยวกับบัลลังก์หยางโดยเด็ดขาด”
ใครบอกว่าทรงไม่รักหยางซิงอีกัน ในเมื่อหลังพระโอรสมีประสูติกาลมา หยางไท่ซานก็ยกพระชนม์ชีพที่เหลือให้การพิทักษ์พระโอรสจากกระดานอำนาจในวังต้องสาปแห่งนี้
แล้วทรงปกป้องพระโอรสสำเร็จไหม ผลลัพธ์ก็อยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า แม้ราชบัลลังก์หยางจะผลัดเปลี่ยนองค์จักรพรรดิแล้ว หยางซิงอีก็ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวังหลวง
...ยังมีชีวิตอยู่ แม้สภาพจิตใจจะบุบสลายและพังทลายจนไม่อาจมีความสุขได้เช่นคนปกติแล้วก็ตาม
ซูมู่ถงสงสารหยางซิงอี
พระองค์คล้ายจะมีความสุขได้เมื่อสุราต้องพระโอษฐ์ เมื่อมึนเมาก็หลงลืมทุกสิ่งอย่างว่าพระองค์เป็นผู้ใด ลงเป็นเช่นนี้พระองค์จึงมักเสด็จออกไปร่ำสุราเพียงลำพังนอกวัง แกล้งทำตนเป็นผู้อื่น เสวยจนสุราขมกลายเป็นรสหวาน ลืมฐานันดรและชื่อของพระองค์เองไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะมีแค่ยามนี้เท่านั้นที่ทรงแย้มยิ้มได้เช่นคนหนุ่มธรรมดา
ความสุขชั่วข้ามคืน เมื่อตื่นบรรทมมาพระองค์จึงยิ่งทุกข์พระหทัยที่ความสุขจากการลืมเลือนไม่ยืนยาว ก่อนจะจบลงที่การขว้างปาทำลายข้าวของด้วยพระพักตร์นิ่งสนิท
เขารู้ เพราะทุกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานเกินควร เขาจะออกไปรับองค์ชายกลับสู่วังหลวง จึงเคยเห็นว่ายามพระองค์เมามายมีอาการเช่นไร
ฉะนั้น สายวันที่ทรงตื่นมาจดจำสิ่งใดไม่ได้ ลึกลงไปเขาจึงยินดีกับพระองค์นัก
เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ปรารถนามาตลอด
เหมือนเฉินฝู่หมิง เขาเองก็รักเอ็นดูหยางซิงอีไม่ต่างจากลูกในไส้
“ราชองครักษ์ซู องค์ชายมีรับสั่งว่าอยากได้ฉลองพระองค์ใหม่ วานท่านส่งจดหมายหาช่างตัดฉลองพระองค์ประจำพระองค์เช่นทุกครั้งด้วยนะเจ้าคะ”
“ย่อมได้เช่นทุกครั้งไปแม่นางเฉิน”
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ...”
“เรื่องใดหรือแม่นาง”
“องค์ชายเจ็ดขอฉลองพระองค์สักเจ็ดตัวอย่างต่ำ และแต่ละตัวก็ขอให้สีสันแตกต่างกัน ข้าว่าท่านแจ้งเรื่องนี้แก่ช่างตัดฉลองพระองค์เสียหน่อยคงดีไม่น้อยเขาจะได้เตรียมการได้ถูก”
“…องค์ชายทรงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ”
“เปลี่ยนไปมากเลยละเจ้าค่ะ ราวกับเกิดใหม่ แต่ก็ดูสุขใจมากกว่าแต่ก่อนนักเจ้าค่ะ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วแม่นาง”
หลังเหตุวุ่นวายที่องค์หญิงหวังต้าเหยียนกันแสงตั้งแต่แรกเจอพระเชษฐา ผู้คนในแคว้นหยางพอทราบข่าวก็พากันชื่นชมและซาบซึ้งในสายใยครอบครัวของราชวงศ์ ผิดกับผู้คนในวังหลวงผู้อยู่เหตุการณ์ที่ต่างก็เข้าใจตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่าเป็นเพราะเหตุใด…สีฉลองพระองค์ขององค์จักรพรรดิ และองค์ชายเจ็ดไม่มีอะไรในวังหลวงหยางทำให้ใครหลายคนหลั่งน้ำตาได้พร้อมกันมากมายเท่าสิ่งนี้แล้ว!แสบตั้งแต่ตาถึงกลางทรวง แสบจนแม้ทั้งสองพระองค์จะมิได้ทรงฉลองพระองค์สีสันบาดอกบาดใจแล้ว แค่นึกถึงพวกเขาก็ขนหัวลุกและปวดแสบปวดร้อนดวงตา ราวกับที่ตาบาดแผลที่มองไม่เห็นเย็นวันนั้น ขณะองค์จักรพรรดิและองค์ชายเจ็ดเสด็จพาองค์หญิงหวังต้าเหยียนไปเสวยพระกระยาหารค่ำในห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิเพียงสามพระองค์ บรรดาขันทีในราชสำนักก็แอบจัดประชุมกันที่มุมหนึ่งของวังหลวงขนาดองค์ชายมีเฉินฝู่หมิง และองค์จักรพรรดิมีขันทีหม่าเยว่คอยให้คำปรึกษาแล้ว การแต่งกายยังฉูดฉาดเช่นนี้ พวกเขาซึ่งเป็นผู้น้อยที่มิได้ใกล้ชิดกับทั้งสองพระองค์นักจะไปทัดทาน หรือห้ามปรามทั้งสองพระองค์ก็คงไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่องค์หญ
หวังต้าเหยียนไม่เคยนั่งเสลี่ยงหรือรถเทียมม้าเทียมลามาก่อน และอย่าว่าแต่อาภรณ์ผ้าไหมหรือเครื่องประดับตกแต่งเส้นผม แค่มีอาหารให้กินจนอิ่มท้อง นางยังไม่เคยมีเลยแต่นี่ หลังแม่ทัพนามหลินซีช่วยชีวิตนางจากพ่อค้าทาส แล้วประกาศว่านางคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยาง ชีวิตของนางก็เปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ ข้าวปลาอาหาร และบ่าวรับใช้ อยู่ ๆ ทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นมาราวภาพมายาการเดินทางข้ามแคว้นใช้เวลานานหลายวัน แต่อยู่กลางขบวนทัพแห่งแคว้นหยางนางกลับไม่เคยต้องลำบาก หลินซีจัดหาทุกอย่างมาให้นาง ทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ เครื่องประดับ และห้องหับให้หลับนอน แล้วไหนจะอารักขาและแพทย์หลวงอีกทุกอย่างมาอย่างรวดเร็วและเกินจริงเกินไปสำหรับหวังต้าเหยียน สาวน้อยผู้ยากไร้ในวัย 15 ปี นางข้องใจเรื่องชาติกำเนิดว่าตนเป็นองค์หญิงจริงหรือ และอาภรณ์ราคาแพงที่หลินซีสรรหามาให้นั้นคู่ควรกับนางแน่หรือ...ใช่ของนางจริง ๆ หรือ เพราะมันดีเกินไป ดีจนนางสงสัยในโชคชะตาจริงอยู่ที่นางชอบข้าวของราคาแพง ชอบสัมผัสของผ้าไหมบนร่างกาย ชอบอาหารโอชารส และความเอาใจใส่ของหลินซี อย่างว่าของดีใครจะไม่ชอบ
เพราะอีกไม่กี่วันสมาชิกใหม่จะมาเยือนวังหลวง อันวาร์จึง......ออกจากวังหลวงไปปรากฏตัวที่หน้าร้านตัดเสื้อของช่างตัดฉลองพระองค์คนโปรดตั้งแต่เช้าตรู่ ไปยืนรอร้านเปิดเสียด้วย ประมาณว่า แค่มีคนออกมาปลดกลอนประตูร้านก็จะเห็นเขาและซานหลินเลยแค่คิดถึงสีเสื้อนอกที่จะสั่งตัด อันวาร์ก็ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ มีความสุขเหลือเกินที่ได้ออกจากวังหลวงมาซื้อเสื้อผ้าเขานับดูแล้ว วันที่หวังต้าเหยียนจะมาถึงวังหลวงคือ วันเสาร์ และเพื่อแสดงจุดยืนของพี่ชายที่อบอุ่นใจดี เสื้อนอกตัวใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเขาจะใส่ม่วงเข้มแบบยามปกติไม่ได้ เพราะน้องอาจมองว่าเขาเป็นคนมืดหม่น ฉะนั้น เพื่อเพิ่มความสดใส มันเลยต้องกลายเป็นสีม่วงแดง ม่วงแดงแบบดอกบานเย็นสีม่วง แบบมันม่วงโดนสารเร่งเนื้อแดง แบบตัวละครไดโนเสาร์ในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กในตำนานที่ใครหลายคนเคยดูตอนเด็ก ๆ หรือไม่ก็สีเงินวิบวับ เงินขาวปักดิ้นเงินเหมือนสีปากกากากเพชรอืม ว่าไปเงินวิบวับก็ดีนะ น้องจะได้เห็นเขาตั้งแต่ยังอยู่บนเสลี่ยง ยิ่งยืนอยู่กลางแดดนะ อู้ฮูสุดยอด น้องจะต้องจดจำเขาไปจนวันตาย เขาบอกเลย แต่เอ๊ะ...อีกใ
มีเพียงผู้ที่สวรรค์ประทานนัยน์ตาทองคำให้เท่านั้นที่มีสายเลือดหยางมารดาไม่ค่อยเล่าเรื่องของบิดาให้นางฟังนัก บอกเพียงว่า นางมีใบหน้าคล้ายเขาอยู่มากโดยเฉพาะนัยน์ตาทองคำจริงอยู่ที่แปดแคว้นไม่มีกฎห้ามสตรีเป็นทหาร แต่เพราะดำเนินอยู่ในสังคมปิตาธิปไตย ทหารที่เป็นสตรีจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย และเกือบทุกนางต้องทำงานหนักกว่าบุรุษถึงสองเท่า หรือมีผลงานที่โดดเด่นโดยแท้จริงเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับในหมู่ทหารด้วยกันเอง...เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้น หวังต้าเหยียนก็ยังอยากเป็นทหารยังคงอยากเป็น แม้ชีวิตของนางจะพบเจอแต่มรสุมที่คล้ายแต่จะทำให้ความฝันนั้นไกลห่างออกไปหวังต้าเหยียนเกิดในแคว้นเยี่ย แคว้นทางใต้ที่มีอาณาเขตติดทะเล และนับตั้งแต่จำความได้ในบ้านไม้หลังเล็กของนางก็มีเพียงนางและมารดาแล้ว และเพราะบ้านนางยากจนข้นแค้น มารดาจึงต้องออกจากบ้านไปทำงานอาบเหงื่อตากน้ำตั้งแต่เช้าจรดพลบค่ำ ซึ่งเงินที่ได้มานั้นเมื่อหักค่าเรียนหนังสือของหวังต้าเหยียนออกไปก็แทบจะมีไม่พอยาไส้สองแม่ลูกอดมื้อกินมื้อ กินแต่น้ำเปล่าบ้าง น้ำแกงใส ๆ บ้า
เมื่อซานหลินกลับมาอยู่ข้างกายอันวาร์ เฉินฝู่หมิงและซูมู่ถงก็ขอตัวกลับไปที่ตำหนักองค์ชายเจ็ดอันวาร์พอหมดธุระกับหวังต้าเหยียนแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือรจนา แต่พอสอบถามกับขันทีผู้ทำหน้าที่ดูแลนัดหมายขององค์จักรพรรดิแล้วทราบว่า หญิงสาวในร่างชายหนุ่มออกไปทำธุระนอกวัง และจะกลับมาในช่วงเย็น เขาก็ชวนซานหลินออกไปเดินเล่นรอบวัง เพื่อฆ่าเวลารอหล่อนแทนตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะกลับไปเล่นกับหวังต้าเหยียนอีกรอบ แต่คิดไปคิดมา เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักของนาง หากกลับไปตอนนี้มันก็จะเขินหน่อย ๆ ไว้เขาเดินเล่นจนเท้าปวดแล้วค่อยแวะไปหานางอีกทีน่าจะดีกว่า เผื่อเขาจะได้ขนมจากโรงครัวไปฝากนางด้วยเขาเพิ่งได้ออกมานอกตำหนักเมื่อเช้า อยู่อุดอู้ในนั้นมาก็ตั้ง 17 วัน ขอเขาออกไปเดินเหินที่อื่นนอกจากตามห้องหับในตำหนักของตนบ้างเถอะ ถึงนิสัยเขาดั้งเดิมจะติดบ้านแค่ไหน ให้มาอยู่เหมือนกักตัวเป็นโรคระบาดแบบนี้ เขาเองก็ไม่ไหวหรอกนะ บอกเลยอันวาร์และซานหลินพากันเดินไปทั่วพระบรมมหาราชวังหยาง พวกเขาเดินตั้งแต่ตำหนักของหยางลู่จื้อ โรงครัวกลาง สนามหญ้าหลังโรงครัว ลานฝึกทหาร หอจดหมายเหตุ โรงเก็บม้า ศาลากลางน้ำ
เขาถามจริง ๆ นะมีพระเอก-นางเอกในนิยายข้ามมิติที่ไหนต้องมานั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ กฎหมาย ภูมิศาสตร์ และความรู้รอบตัวของโลกใบใหม่ที่มาอยู่แบบเขาบ้างไหม (ใช่ เขาได้ทำการนับตัวเองเข้าแก๊งพระเอก-นางเอกนิยายข้ามภพแล้ว) ปกติเขาเคยเห็นแต่ตัวเอกโผล่มาแล้วก็เก่งเลยนะ แบบเป็นผู้สร้างนวัตกรรมพาโลกที่มาอยู่อาศัยสู่ยุคใหม่อะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็มาเป็นหมอคือไม่ใช่อะไรหรอก เขา อันวาร์ วราหะแค่อยากหาเพื่อนเฉย ๆ(อนึ่ง เขาขอยกเว้นคนที่มาเกิดใหม่เป็นทารก เพราะอันนั้นเป็นภาคบังคับที่ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา)เรียนหนังสือคนเดียวแล้วมันเปลี่ยวหัวใจ แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือนอกจากจะเรียนอยู่คนเดียวแล้ว อีเจ๊ยังกลัวเขาไม่อ่านหนังสือเลยจัดสอบให้เขาด้วยนี่สิใช่ เขามีสอบด้วย สอบเหมือนเด็กประถม มัธยม อุดมศึกษาเลย“ฉันจะควิซแกทุกเจ็ดวัน และถ้าแกสอบตกฉันจะหักเบี้ยเลี้ยงแก”“แล้วถ้าผมผ่านล่ะ”“ฉันก็แค่ไม่หักไง”แม่เจ้า! นี่มันฉีกขนบธรรมเนียมประเพณีของคนข้ามมิติเลยไม่ใช่เหรอวะ! โอ้โฮ มากงมาเกิดใหม่