เข้าสู่ระบบใต้แดดสายที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างและแมกไม้เข้ามาในห้องบรรทมกว้าง บนแท่นบรรทมขาวหลังใหญ่ ชายหนุ่มร่างโปร่งคนหนึ่งคลานหนีแสงจากฟ้าอย่างเกียจคร้านไปซุกหน้าลงใต้หมอนใบโต ไม่ไกลจากเขานักคือสมุดปกน้ำเงินเล่มหนึ่ง และเขาก็ไม่ใช่ใคร คืออันวาร์ วราหะในร่างใหม่นี่เอง
ส่งเสียงครางจากใต้หมอนออกมาไม่ต่างจากลูกสัตว์บาดเจ็บในที่ซ่อน และใช่ เขาบาดเจ็บ บาดเจ็บทางใจเสียด้วย อีโมชันนอล ดาเมจ
อยากกรี๊ด หลังตื่นมาในโลกใหม่ได้ 4 วัน อันวาร์ก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนได้
ยอมรับว่า เป็นคืนวันที่โกลาหล โดยเขาเริ่มวันแรกด้วยการสติแตกจนหญิงรับใช้ต้องตามหมอหลวงมาดูอาการ และผ่านวันที่สองมาด้วยการนอนร้องไห้โศกเศร้าเสียใจต่อโลกเดิมที่จากมา ไม่ต่างจากคนอกหัก ก่อนจะตัดสินใจยอมรับความจริงอย่างอ่อนล้าได้ในวันที่สาม และเริ่มเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในวันที่สี่
เติบโตใน 4 วันไม่ต่างจากเมล็ดถั่วงอกในกระดาษทิชชูคาบวิทยาศาสตร์ชั้นประถม
ร่างใหม่ที่เขาเข้ามาอยู่คือร่างของ หยางซิงอี องค์ชายลำดับที่เจ็ดแห่งแคว้นหยาง ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้จากหญิงรับใช้ตอนตื่นมาใหม่ ๆ เขาก็ว่ามันฟังดูคุ้นหูแล้วนะ แล้วจากที่เขาทำตัวเป็นความจำเสื่อมเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามรายละเอียดบางอย่างจากนาง เขาก็ยิ่งคุ้นแต่ก็ยังไม่กล้าฟันธง จนกระทั่งเขาเห็นหน้าตัวเองในกระจกทองเหลืองนั่นแหละที่นึกออกว่าร่างนี้เป็นของใคร
รู้เลย ชัดแจ้งแจ่มแจ๋ว หยางซิงอีนี่เอง
แล้วหยางซิงอีคือใคร หยางซิงอีก็ตัวร้ายอันดับหนึ่งของนิยายเรื่อง “ยอดองครักษ์เคียงหทัย” ชายผู้ตกหลุมรัก ไป๋เหลียนฮวา นายเอกของเรื่องอย่างเป็นพิษจนวางยาพี่ชายตัวเอง เพื่อขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นหยาง แล้วเริ่มสงครามแปดแคว้นเพื่อครอบครองนายเอกผู้เป็นองค์รัชทายาทของแคว้นไป๋
กล่าวคือ ตัวละครตัวนี้คือชนวนของความโกลาหลในเรื่อง คือต้นสายแห่งความสูญเสียทั้งหมดทั้งมวล
...ภัยสังคม นี่มันภัยสังคมชัด ๆ
ชื่อแปลว่า “คนดี” แต่แท้จริงเป็นภัยสังคม!
พอเขารู้เรื่องนี้ก็ลมแทบจับ นี่เจ้าของร่างเดิมทำอะไรลงไปบ้างแล้ววะ องค์จักรพรรดิยังอยู่ดีรึเปล่า สติแตกอยู่หลายนาทีเขาก็เริ่มสอบถามสถานการณ์ในวังหลวงกับหญิงรับใช้อย่างตื่นตระหนก มีบ้างที่ถามเร็วไปจนนางฟังไม่ทัน แต่เขาก็ถามซ้ำจนได้คำตอบมา ก่อนจะรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ตื่นมาในร่างของหยางซิงอี ก่อนที่ทุกความยุ่งเหยิงในนิยายจะเริ่มต้นขึ้น
มาจะกล่าวบทไป ความว่า คืนก่อนที่เขาจะตื่นมา หยางซิงอีออกไปฉลองวันเกิดครบรอบ 17 ปีของตัวเองที่นอกวังหลวง หลังจากเสร็จจากงานฉลองพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ เล่าง่าย ๆ ว่า ไปเมาต่อจนกลับบ้านไม่ถูก จนองค์จักรพรรดิต้องส่งคนไปตามกลับมา และเขาก็เดาว่า หยางซิงอีคงเมามากจนตายขณะหลับ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ตื่นมาในร่างนี้
เอาเป็นว่า ช่างเรื่องเขามาอยู่ร่างได้นี้อย่างไรไปก่อนแล้วกัน เพราะตอนนี้เรื่องที่หยางซิงอียังอายุแค่ 17 ปีนั้นสำคัญกว่ามาก
“ยอดองครักษ์เคียงหทัย” เปิดเรื่องมาที่พระเอกและนายเอกก็จริง แต่ตัวละครสำคัญที่ขาดไปไม่ได้ในทางรักของพระ-นายก็คือ ตัวร้ายอย่างหยางซิงอี
ฉะนั้น เขาจึงมีบทบาทตั้งแต่ช่วงแรกของนิยาย หยางซิงอีเจอกับนายเอกครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อครั้งที่นายเอกในฐานะองค์ชายจากแคว้นไป๋พร้อมคณะทูต เดินทางมายังแคว้นหยางเพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 32 พรรษาขององค์จักรพรรดิหยาง
ในครั้งนั้นด้วยวัยคะนอง องค์ชายแห่งแคว้นไป๋ ไป๋เหลียนฮวาจึงเกิดคิดพิเรนทร์แอบเหล่าองครักษ์และรักษาความปลอดภัยของวังหลวงออกไปท่องกลางคืนดูงานเฉลิมฉลองนอกวัง ก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง ซ้ำร้ายไม่เพียงหนีหายไปไม่บอกใคร นายเอกยังดวงซวยไปเตะตาต้องใจกลุ่มค้ามนุษย์กลุ่มหนึ่งเข้า จึงถูกลักตัวไปขายเป็นทาสกามารมณ์ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งโดนมอมยาและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนไม่เหลือสภาพขององค์ชาย
แล้วคนที่ซื้อนายเอกไปในคืนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือหยางซิงอีผู้ออกไปท่องราตรีไม่ต่างกัน แต่นั่นก็ก่อนที่พระเอกจะมาช่วยนายเอกไปจากตัวร้าย
ในเหตุการณ์นั้น หยางซิงอีอายุสิบเก้า ส่วนไป๋เหลียนฮวาสิบหก และนั่นก็หมายความว่า เขาเข้ามาอยู่ในร่างของหยางซิงอีก่อนเหตุการณ์ในนิยายประมาณ 2 ปี
2 ปีก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้น
2 ปีเวลาที่เขาพอจะมีในการใช้หนีจากทุกสิ่งอย่าง
ราวกับฝนตกกลางทะเลทราย เช้านี้คือวันที่ 5 นับจากตื่นมาบนโลกใบใหม่ หลังจากนอนเหนื่อยใจจนตะวันจะกลางฟ้า อันวาร์ก็ลุกจากที่นอนแล้วหยิบสมุดสีน้ำเงินข้างกายขึ้น เขาพาทั้งตัวและสมุดไปที่โต๊ะทำงานไม่ไกลนัก ทุกย่างก้าวพาให้นัยน์ตาที่เคยหม่นหมองค่อย ๆ สดใส
เที่ยงนั้นชายหนุ่มเปิดอ่านข้อมูลต่าง ๆ ที่ตนจดไว้ในสมุดปกน้ำเงิน อ่านจบก็เริ่มขีดเขียนความคิดต่าง ๆ นานาของตนลงไป ทั้งเรียบเรียงเหตุการณ์ในนิยายทั้งหมดเท่าที่พอจะจำได้ให้เป็นไปตามเส้นเวลา และวางแผนอนาคตของตน
เมื่อได้คิดอย่างถี่ถ้วน สติที่แตกกระจายมาเกือบสัปดาห์ก็ค่อย ๆ คืนกลับ และเมื่อบ่ายคล้อยใกล้ค่ำมาเยือน ใบหน้าที่เคยมัวหมองก็คล้ายจะอมยิ้มขึ้นมาบ้าง
เขาคือ อันวาร์ วราหะ ไม่ใช่หยางซิงอีเสียหน่อย ทำไมเขาต้องทำตัวตามในนิยายด้วยจริงไหม
และเมื่อถึงเวลาอาหารเย็นที่หญิงรับใช้เปิดประตูห้องบรรทมขององค์ชายเจ็ดเข้ามา สิ่งแรกที่นางได้เห็นใต้ฟ้าพลบค่ำที่พระจันทร์ผ่านทางมาพบตะวัน ก็คือรอยยิ้มอ่อนละมุนขององค์ชายผู้ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในวังหลวงแห่งแคว้นหยาง
รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏบนพระพักตร์ของพระองค์ให้ใครได้เห็นนับตั้งแต่กำเนิดมา
ตอนที่รู้ผลการสืบสวน อันวาร์รู้สึกเหมือนตนถูกลอตเตอรี่รางวัล 300 ล้านบาท...เป็นโชคดีของเขาที่หยางซิงอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวหวังต้าเหยียน แต่ในความยินดี เวลาหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้ชายหนุ่มได้ขบคิดบางสิ่งบางอย่างและไม่ช้าก็เร็ว เขาก็คาดว่าตนและรจนาคงมีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อยมีเรื่องเล่าในกองทัพอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของกองกำลังพิเศษแห่งแคว้นหวังที่ล่มสลายไปแล้ว โดยแคว้นนี้ดั้งเดิมตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นหยาง ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างแคว้นหยางและแคว้นเยี่ย เล่าขานกันว่า กองกำลังพิเศษนี้ดั้งเดิมเป็นชนเผ่าจากเขาสูงนาม “เจียง” เพื่อให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดได้กลางป่าเขา คนเผ่านี้จึงฝึกฝนร่างกายอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย จนคนในเผ่ามีลักษณะทางกายภาพแปลกประหลาด ทั้งร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษา แขนขายาวเหมือนไม้พลอง และมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองจากการฝึกกับกรวดทรายในกระทะร้อนหลังแคว้นหวังค้นพบการมีอยู่ของชนเผ่าเจียงก็จับพวกเขามาเป็นทหาร และนำการฝึกฝนของพวกเขามาประยุกต์ใช้คู่กับการฝึกวรยุทธ์เดินลมปราณ ไม่นานจาก “
เฉินอวี้กำลังยกชาร้อนขึ้นจิบหลินซีกำลังจัดปลอกแขนของตนให้เข้าที่ซานหลินกำลังพูดคุยกับซูมู่ถงและหยางซิงอี...อันวาร์ วราหะกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างในห้องรับรอง...ยามผู้ตรวจการเข้ามาหาพวกเขาหลังหวังต้าเหยียนพ้นขีดอันตรายได้ไม่ถึงชั่วยาม บรรดาผู้ตรวจการก็เริ่มสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ผู้รับผิดชอบจึงเป็นขุนนางยศเสนาบดีกรมยุติธรรม และบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนก็มีแต่ยอดฝีมือ และเพราะนี่เป็นเหตุที่เกิดแก่เชื้อพระวงศ์ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการขอกำลังสืบสวนจากภายนอกใคร ๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างแปดแคว้นเปราะบางเช่นไร หากแคว้นอื่นรู้ว่าราชวงศ์หยางอยู่ในสภาวะกระสับกระส่ายก็อาจมีการแทรกแซงจากภายนอกได้ เหมือนน้ำที่ไหลซึมในรอยร้าวที่มองไม่เห็น ซึมจากรอยหนึ่งสู่อีกรอย แม้แต่แคว้นไป๋ที่ปรองดองกันอยู่เองก็อาจเป็นแคว้นแรกที่หันมีดใส่อันตราย ฉะนั้น จนกว่าจะได้ตัวหรือสืบทราบผู้กระทำผิด...จนกว่าการสืบสวนจะจบลง พวกเขาจะให้มีข่าวหลุดออกไปไม่ได้
ขณะหลินซีและเฉินอวี้ไล่ตามโจรลักพาตัวและหวังต้าเหยียนบนหลังคา อันวาร์และซานหลินผู้ตัดสินใจไปขอกำลังจากผู้ตรวจการมา ก็ส่งม้าเร็วคนหนึ่งไปแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายนี้แก่องค์จักรพรรดิหม่าเยว่แจ้งเหตุร้ายนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด และทันทีที่ทราบเรื่องจากขันทีคู่ใจ การประชุมของราชสำนักและองค์จักรพรรดิก็เป็นอันหยุดลง“เจ้าว่าเช่นไรนะหม่าเยว่” สุรเสียงที่ยามปกติเยือกเย็นวันนี้ร้อนรน และขันทีวัยกลางคนก็ได้แต่แจ้งข่าวร้ายซ้ำอีกครั้ง“องค์หญิงหวังต้าเหยียนถูกลักพาตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”ราวกับโลกหยุดหมุน รจนารู้สึกเย็บวาบไปทั้งสรรพางค์กาย บรรดาขุนนางเองพอทราบเหตุก็ตกใจ ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและคำถาม แต่ไม่มีสิ่งใดเข้าหูรจนา หล่อนสั่งให้คนช่วยเตรียมม้า และเพียงก้านธูป ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิก็ออกจากวังหลวงไปยังสำนักงานผู้ตรวจการของตลาดที่เกิดเหตุบนหลังม้า จมูกของรจนาคล้ายได้กลิ่นดอกยี่โถ และหล่อนนึกถึงคำพูดของหยางซิงอีในความฝัน“ข้าบอกท่านแล้วว่าไม่ควรปล่อยข้าไป...ท่านพี่”แล้วหล่อนก็ได้แต่คิดว่าหล่อนน่าจ
เพราะองค์หญิงหวังต้าเหยียนยังไม่มีราชองครักษ์ประจำพระองค์ รจนาจึงมอบหมายหน้าที่อารักขานางนอกเขตพระราชฐานให้หลินซีก่อนเดินทางออกจากวัง เขาและซานหลินตกลงกันว่า เพื่อมิให้สะดุดตาจนเกินควร ซานหลินจะทำหน้าที่อารักขาราชนิกุลทั้งสองในที่แจ้ง ขณะที่หลินซีจะคอยตามดูในเงามืด แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งอันวาร์และหวังต้าเหยียนล้วนทราบดี แต่ถึงจะมียอดฝีมือคอยดูแลอย่างใกล้ชิดถึงสองคน......เหตุร้ายก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดีที่โต๊ะกลมของภัตตาคารเฟยหย่า หวังต้าเหยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่างถัดเข้ามาคือซานหลิน และอันวาร์เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งสามลุกจากที่นั่ง ที่แขนยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวหวังต้าเหยียนออกจากภัตตาคารไปทางช่องหน้าต่าง ต่อหน้าต่อตาซานหลินและอันวาร์ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้ส่งเสียง ชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนของหวังต้าเหยียนก็ลอยพ้นขอบหน้าต่างไปแล้วในชั่ววินาทีอันเชื่องช้าที่แขนข้างนั้นกระชากตัวหวังต้าเหยียนออกไป เขาเห็นใบหน้านางซีดเผือด นางยื่นมือมาหาเขา ปากเอ่ยว่า “ท่านพี่...” แต่เขากลับคว้าจับมือนางไม่ทัน"ไอ้เวร!" อันวาร์ส
รจนามองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตำหนักองค์ชายเจ็ดจากห้องทรงงานของหยางลู่จื้อ ในสายตาหล่อน รอยยิ้มของตำหนักองค์ชายเจ็ดถือเป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วไม่คิดว่าสองสัปดาห์ต่อมาหลังคิดเช่นนั้น หล่อนจะฝันร้ายรุนแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่อาจหลับได้อีกจนเช้าในฝันรจนานั่งทำงานรออันวาร์และหวังต้าเหยียนมาเข้าเรียนยามค่ำเช่นทุกวัน แต่รอแล้วรอเล่าทั้งคู่ก็ไม่มาเสียที หล่อนจึงตัดสินใจจะส่งหลินซีออกไปตาม แต่ไม่ว่าจะเรียกหาหลินซีสักกี่ครั้ง คนสนิทของหล่อนก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัวเลยประหลาด หล่อนคิดแล้วลองเรียกผู้อื่นดูบ้าง ทั้งหญิงรับใช้และขันทีแต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม มีเพียงเสียงเรียกหาแต่ปราศจากเสียงขานรับหนังหัวของรจนาชาวาบ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอยู่ ๆ ลมเย็นก็พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาดับตะเกียงไฟทุกดวงในห้องทรงงานราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้เปลวเพลิง เมื่อปราศจากแสงสว่าง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดรวมถึงตัวหล่อนด้วยท่าไม่ดีแล้ว หล่อนคิด ห้องทรงงานในความมืดดูวังเวงอย่างน่าป
เพราะเรียนหนังสือด้วยกัน สอบด้วยกัน และอันวาร์ก็ไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักของหวังต้าเหยียนทุกวัน ไม่กี่สัปดาห์หลังรู้จักกัน อันวาร์ก็กลายเป็นคนที่หวังต้าเหยียนสนิทด้วยที่สุดในวังหลวงเริ่มจากสีฉลองพระองค์ที่พระนางเริ่มทรงตามเขา ทรงสังเกตรูปแบบสีที่เขาเลือกใส่แล้วใส่ตาม วันไหนเขาใส่สีแดงพระนางก็ทรงสีแดง วันไหนเขาใส่สีเขียวนางก็ทรงสีเขียว แต่เพราะพระนางมีราชครูคอยชี้แนะเรื่องการแต่งกายอย่างใกล้ชิด สีฉลองพระองค์ของพระนางจึงอ่อนหวานสบายตากว่าของเขามากครั้งแรกที่เขาจับสังเกตได้ว่า ฉลองพระองค์ของพระนางเป็นสีเดียวกันกับของเขา เขาดีใจมากจนพาพระนางไปยืนทำท่าทางประหลาดที่หน้ากระจก และแต่ละท่าทางก็ช่างน่าขัน จนหลายครั้งหลังทำท่าทางเสร็จก็ต่างลงไปนั่งหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่กับพื้นห้อง หน้าดำหน้าแดงไปหมดหวังต้าเหยียนพบว่า ยามปกติฉลองพระองค์ขององค์ชายเจ็ด (และองค์จักรพรรดิ) นั้นมิได้มีสีสันฉูดฉาดแสบตาเช่นวันแรกที่พระนางพบเจอทั้งสองพระองค์ และเมื่อพระนางถามอันวาร์เรื่องนี้ เขาก็อธิบายด้วยรอยยิ้มขบขันว่า วันนั้นเป็นวันพิเศษ เขาจึงแต่งตัวให้พิเศษสดใสกว่าปกติเสียหน่อยเท่านั้นเอง







