“ทะ เท่าไหร่ครับแม่” น้ำ เสียงเขาสั่นเครือ ลมหายใจสะดุดกับอุปสรรคทางการเงินที่กำลังร่วงใส่หัวเขาโครมใหญ่
“ค่าผ่าตัดกับค่ายารวมแล้ว แสนนึงลูก ยาต้องนำเข้า แถมยาบางตัว สิทธิ์รักษาพยาบาล ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินจ่ายโรงพยาบาลไปก่อน ทางโรงพยาบาลก็จะไม่รักษาให้ แม่ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วลูก” แม่ร้องไห้หนักขึ้น ทำเอาเขาใจเสีย “ใจเย็นๆนะแม่ เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้สิ แล้ว...พี่ชินกับพี่ชาร์มว่าไงบ้างครับ” เชนคิดว่าเขาคงยังฝากความหวังไว้กับพี่ชายและพี่สาวได้แหละ เพราะอย่างน้อยทั้งสองคนก็ทำงาน มีเงินเดือนมากกว่านักศึกษาอย่างเขาที่ทำงานพิเศษไปวันๆ “พี่เค้าก็ไม่มีเหมือนกันลูก เมียชินก็เพิ่งคลอดลูกคนที่สอง ส่วนชาร์มก็เพิ่งได้งานใหม่” แม่สะอื้นฮัก เมื่อพูดถึงลูกอีกสองคน ที่ไม่เคยพึ่งพาอะไรในยามคับขันได้เลยจริงๆ “แม่ใจเย็นๆ ก่อนนะ เชนจะหา...” “เชนจะไปหาเงินมากมายพวกนั้นมาจากไหนลูก ถ้าต้องทำผิดกฎหมาย ไม่เอานะ แม่ไม่ยอม” “ผมไม่ทำหรอกครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ยังไงผมก็จะพยายามหางานพิเศษทำ หาเงินมารักษาพ่อให้ได้” เชนรู้ตัวดีว่า ที่พูดไปนั้นก็แค่ทำให้แม่สบายใจขึ้นแค่นั้นเอง เพราะเขาเองก็มืดแปดด้านเหมือนกัน เงินมากมายขนาดนั้นจะหาจากไหนได้ แต่ถึงจะอับจนหนทางอย่างไร เขาก็ต้องลุกขึ้นมาพยายามหาทาง เริ่มจากการหางานพิเศษทำให้มากขึ้น เพราะลำพังแค่งานเสิร์ฟเครื่องดื่ม คงไม่มีทางได้เงินมากมายแบบนี้มาได้ ในช่วงเวลาแค่เดือนเดียวแน่ หากไร้ทางเลือกจริงๆ บางทีเขาอาจต้องยอมขายในสิ่งที่แม่ให้มา เพื่อแลกเงินก็ได้ นักศึกษาสาวๆ ยังหาเสี่ยเลี้ยงได้เลย อย่างเขาก็ต้องหาคนเลี้ยงดูได้เหมือนกันล่ะ เชนเริ่มต้นวางแผนเอาไว้ว่า ช่วงวันธรรมดาจะไปทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งย่านพร้อมพงศ์ ส่วนช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ จะทำงานฟรีแลนซ์ที่ทำอยู่ตลอดเมื่อมีโอกาส ทั้งรับตัดต่อวีดิโอ ถ่ายรูปแต่งงาน ถ่ายรูปและรีวิวสินค้า ทำทุกอย่างครบวงจรแบบนี้ เขาไม่เชื่อหรอกว่า จะหาเงินหลักแสนภายใน 1 เดือนไม่ได้ “เอาวะ ชีวิตไม่สิ้น มันก็ต้องดิ้นกันต่อไป” เขาให้กำลังใจตัวเอง เริ่มต้นด้วยการไปเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มที่สถานบันเทิงแห่งนั้น กว่าจะปิดร้าน กลับถึงบ้าน ก็เกือบสว่างทุกวัน เมื่อร่างกายไม่ไหว จึงไม่แปลกที่เขาจะหลับคาห้องเรียน จนถูกอาจารย์ไล่ออกนอกห้อง เสาร์อาทิตย์ก็รับงานฟรีแลนซ์ไปเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดเงินในบัญชีก็ยังห่างไกลหลักแสนอีกมากโข “เอาไงดีวะเนี่ย” เขาถามตัวเอง เหลืออีกตั้ง 7 หมื่น นี่ก็ใกล้จะครบเดือนแล้วด้วย เขาจะทำยังไงดี “เงินมากขนาดนั้น จะหามาทันได้ไงวะ” ถามตัวเอง พลันหยาดน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้ม เปื้อนซองใส่สมุดบัญชีธนาคาร ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชีวิตจะเดินมาถึงจุดที่มืดมน ไร้ทางสว่างแบบนี้ คงมีเพียงทางเดียวแล้วสินะ...เขาคงต้องหาคนเลี้ยงดูส่งเสียสักคนซะแล้ว ถ้ามีเศรษฐีนีกระเป๋าหนักมาอุปถัมป์ค้ำชู้สักคน คงจะดีไม่น้อยเลย เอาวะ ในเมื่อนี่ก็เป็นอาชีพสุจริต แถมยังทำเงินได้ ก็ต้องยอมทำล่ะ ถึงจะฝืนใจไปหน่อยก็เถอะคืนวันศุกร์สุดสัปดาห์ เชนฝืนใจไปหางานพิเศษ และนั่นทำให้เขาได้พบกับผู้หญิงที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันได้เจออีก อลิศ ลี
ใครจะไปคิดว่า ผู้หญิงสวยๆ บุคลิกดีไม่ต่างอะไรจากดารานางแบบผสมผสานกับความเป็นนักธุรกิจหญิงลุคผู้บริหารอย่างเธอ จะมาโผล่ที่บาร์โฮสต์ใจกลางกรุงได้ เชนไม่รู้หรอกว่า ที่จริงเธอมาพบลูกค้าสาวใหญ่ที่นี่ ลูกค้ารายนั้นอยากจะไปเปิดสปาในโรงแรมของอลิศ พอเจรจาดิลงานกันเรียบร้อย สาวเจ้าก็หิ้วเด็กหนุ่มหน้าตาดีออกไป ไหนๆก็มาที่นี่ อลิศจึงนั่งดื่มไวน์ ฟังเพลงคลอเบาๆ ไปเรื่อเปี่อยซะเลย ที่จริงได้ใช้ชีวิตชิลล์ๆ แบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดอะไรให้รกสมอง เป็นโอกาสดีจะตายไปที่จะได้วางภาระหนักอึ้งบนบ่าลง แม้เพียงหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี เสร็จงานก็ไม่ต้องรีบกลับ ถือซะว่าเปิดหูเปิดตา ไม่จำเป็นต้องพาผู้ชายซักคนออกไปเหมือนนักท่องราตรีสาวคนอื่นๆ ก็ได้ ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ พลันสายตาเธอก็ไปสะดุดเข้ากับหนุ่มน้อยคนนั้น ถ้าจำไม่ผิด เขาคือคนๆ เดียวกับที่เคยช่วยเธอไว้จากคนร้ายแถวเยาวราชไม่ใช่เหรอ แล้วนายนั่นมาทำอะไรที่นี่ พร้อมกับคำถามนั้น เธอก็ลุกขึ้นเดินตรงมายังเขา “จำฉันได้มั้ย” เธอถามขณะหย่อนตัวลงนั่งไขว่ห้างสบายๆ เชนพยักหน้ารับทั้งที่รู้สึกเกร็ง มองอีกฝ่ายตาปริบๆ“โอ๊ย! ฉันไม่มีหรอกเชน นี่ลูกชั้นก็เพิ่งจะคลอดได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ ไหนจะค่าคลอดค่านมค่าแพมเพิส นานา จิปาถะ ฉันจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อกันล่ะ แกถามชินรึยัง”“ถามแล้วพี่ พี่ชิน ก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน”“เอ่อ ฉันก็ไม่มีเว้ย แค่นี้นะ ชั้นจะนอนเดียวต้องตื่นมาปั๊มนมอีก” ว่าแล้วชาร์มก็ตัดการสนทนาไป ทิ้งให้เชนได้แต่ยืนจ้องโทรศัพท์มือถือในมือ ก่อนจะทรุดกายลงกับม้านั่งตรงระเบียงนี่เอง “นายคงกำลังคิดไม่ตกเรื่องเงินอยู่สินะ” เสียงของอลิศพาให้เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอตาเขม็ง“คุณยังไม่กลับอีกหรอครับ” เขาขมวดคิ้ว“พอดีฉันเพิ่งคุยกับคุณชุลีมาน่ะ เพิ่งรู้ว่า หลังออกจากตระกูลลีมา ครอบครัวนายก็ถือว่าพออยู่พอกินตามอัตภาพมาตลอด เพิ่งจะมาฝืดเคือง ก็ตอนที่ลูกชายคนรองของคุณชุลีติดพนัน จนต้องมาขอเงินคุณชุลีไปใช้หนี้”“ครับ ผมยอมรับ แต่ขอโทษเถอะครับ มันไม่ใช่ธุระอะไรของคุณเลย ที่จริงแม่ไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังด้วยซ้ำ เพราะถึงยังไงคุณก็ไม่ใช่คนในครอบครัวของผม”“แม่นายคงจะอึดอัดใจ นอกจากคุณแล้วก็คงไม่รู้จะเล่าให้ใครฟังล่ะมั้ง จะว่าไปเมื่อก่อน ฉันกับแม่นาย เราสนิทกันมากเลยนะ
โรงพยาบาล แห่งหนึ่ง ใจกลางกรุงเทพยามค่ำคืน แม้ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คนดังเช่นช่วงเช้า หรือกลางวัน แต่ก็ยังมีคนไข้ญาติคนไข้ นั่งอยู่ตามแผนกต่างๆบ้างประปราย เชนก้าวเร็วๆ ไปยังห้องฉุกเฉิน ตามคำบอกเล่าของแม่ ก้อนเนื้อในช่องอกสั่นสะท้าน เมื่อคำพูดของแม่ ยังคงชัดเจนในห้วงคำนึง “พ่อช็อก ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู ลูกมาที่โรงพยาบาลตอนนี้เลยได้ไหม” “ได้ครับ แม่ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เขาตอบออกไปเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าแม่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน ชายหนุ่มก็รีบปราดเข้าไปหา มือทั้งสองจับรวบข้อมือแม่เอาไว้แน่น “หมอว่ายังไงบ้างครับแม่”แม่ส่ายหน้าน้ำตาเอ่อรินอาบสองแก้ม“หมอยังไม่ออกมาเลยลูก แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าพ่อจะเป็นยังไงบ้าง เอ่อ แม่ขอตัวเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนึงนะลูก” แม่แกะมือออกจากมือใหญ่ของเขา แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ขณะกำลังล้างมืออยู่ตรงอ่างล้างมือนั่นเอง สายตาของเธอก็ไปปะทะเข้ากับร่างสมส่วนของหญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาบ่งเค้าความเป็นคนจีน คงไม่ทำให้เธอแปลกใจอะไรเลย หากดวงหน้าสวยของคนข้างตัวจะไม่ทำให
“จะ จำได้ครับ” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก แล้วกลืนน้ำลายลงคอ ชั่งใจอยู่ครู่ กับการเริ่มเสนอตัวเองให้ลูกค้าในคืนแรก“คะ คุณมาเที่ยวเหรอครับ”“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ”“แล้วคนส่วนใหญ่มาที่นี่ทำไมล่ะครับ ถ้าไม่ใช่มาหาความสุข” เอ่ยออกไปแล้ว เชนก็รู้สึกหน้าร้อน “งั้นเหรอ” อลิศหัวเราะเบาๆ “นายนี่มันมองโลกด้านเดียวจริงๆ นายคิดว่าผู้หญิงที่มาที่นี่ จะต้องมาพาผู้ชายไปนอนด้วยอย่างเดียวงั้นเหรอ นายไม่คิดบ้างเหรอว่า ที่นี่ทำได้มากกว่าเที่ยวกลางคืน” “เอ่อ ผมไม่ทราบครับ” “เด็กน้อย” เธอยิ้ม “แล้วนายล่ะ มาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่า” เธอปรายตาไปยังชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง กำลังเดินเคียงคู่หญิงสาวแต่งตัวดี ท่าทางกระเป๋าหนักออกไป“ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะครับ” ถึงจะทำใจมากแล้ว หากเชนก็อดนึกอนาถใจในโชคชะตาตัวเองไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงคืนนี้เขาก็จะต้องหาลูกค้าใหม่ซักคนให้ได้ อย่างน้อยก็ผู้หญิงตรงหน้านี่แหละ “นายนี่ซื่อจริงๆ เลยนะ จะไปรอดเหรอ” “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ บอกตรงๆ ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่เป็นวันแรกด้วย” ไม่รู้อะไร ทำให้เขาอยากบอกเธอออกไปตรงๆ แบบนั้น “งั้นเหรอ ไปคุยกันหน่อยสิ” ว่าแล้วเธอก็ลุกเดินกลับไปท
“ทะ เท่าไหร่ครับแม่” น้ำ เสียงเขาสั่นเครือ ลมหายใจสะดุดกับอุปสรรคทางการเงินที่กำลังร่วงใส่หัวเขาโครมใหญ่ “ค่าผ่าตัดกับค่ายารวมแล้ว แสนนึงลูก ยาต้องนำเข้า แถมยาบางตัว สิทธิ์รักษาพยาบาล ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินจ่ายโรงพยาบาลไปก่อน ทางโรงพยาบาลก็จะไม่รักษาให้ แม่ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วลูก” แม่ร้องไห้หนักขึ้น ทำเอาเขาใจเสีย “ใจเย็นๆนะแม่ เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้สิ แล้ว...พี่ชินกับพี่ชาร์มว่าไงบ้างครับ” เชนคิดว่าเขาคงยังฝากความหวังไว้กับพี่ชายและพี่สาวได้แหละ เพราะอย่างน้อยทั้งสองคนก็ทำงาน มีเงินเดือนมากกว่านักศึกษาอย่างเขาที่ทำงานพิเศษไปวันๆ “พี่เค้าก็ไม่มีเหมือนกันลูก เมียชินก็เพิ่งคลอดลูกคนที่สอง ส่วนชาร์มก็เพิ่งได้งานใหม่” แม่สะอื้นฮัก เมื่อพูดถึงลูกอีกสองคน ที่ไม่เคยพึ่งพาอะไรในยามคับขันได้เลยจริงๆ “แม่ใจเย็นๆ ก่อนนะ เชนจะหา...” “เชนจะไปหาเงินมากมายพวกนั้นมาจากไหนลูก ถ้าต้องทำผิดกฎหมาย ไม่เอานะ แม่ไม่ยอม” “ผมไม่ทำหรอกครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ยังไงผมก็จะพยายามหางานพิเศษทำ หาเงินมารักษาพ่อให้ได้” เชนรู้ตัวดีว่า ที่
หลังจากวิ่ง 4 คูณร้อยมาไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว เชนก็พาเธอมาถึงร้านขายของเก่าแห่งหนึ่ง เชนยังคงได้แต่หอม ขณะที่หญิงสาวแต่งตัวดีคนนั้นหันมามองเขานิ่ง แล้วเอ่ยเรียบเรื่อยว่า "ฉันชื่ออลิศ ลี ถ้าไม่อยากมีปัญหา อย่าบอกใครเรื่องวันนี้" สายตาเด็ดเดี่ยวจากดวงตาคู่สวยบอกเขาว่า คำพูดของเธอเมื่อครู่นั้น เธอเอาจริงแน่นอนนาทีนี้ เชนไม่รู้หรอกว่า เขาเพิ่งจะช่วยหัวหน้าแก๊งมาเฟีย ฮ่องกง เจ้าของธุรกิจ โรงแรมแห่งใหญ่ บนฝั่งเกาลูน ผู้กำลังเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจและแวดวงอาชญากรรมอยู่ในขณะนี้“ผมไม่บอกใครหรอกน่า ว่าแต่ผมช่วยคุณแบบนี้แล้ว ผมจะซวยหรือเปล่า”“คงไม่หรอก พวกมันคงยังไม่ทันเห็นหรอกว่าใครเป็นคนช่วยฉันเอาไว้ ขอบคุณคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือ ฉันไปก่อนล่ะ” พูดจบเธอก็วิ่งหายไปอีกทางหนึ่ง ยังดีนะ ที่เธอยังมีมารยาท รู้จักขอบคุณเขา ไม่ใช่พอปลอดภัยแล้วก็สะบัดตูดหนีหายน่ะ เฮ้อ หวังว่าเขาจะไม่ต้องเจอเหตุการณ์บ้าๆ แบบนี้อีกนะ เชนบอกตัวเอง แล้วออกเดินกลับมาตามถนนสายเล็กในซอยที่สามารถเดินทะลุมายังหอพักของเขาได้ กลับมาถึงบ้าน ก็พอดีแม่โทรมาบอกว่า พ่อบ่นปวดท้องอีกแล้ว แต่ก็ดื้อไม่ยอมไปหาหมอ ลูกที่อยู่
“เอ้า พี่เชน จะกลับแล้วเหรอคะ” เสียงกังวานใสเอ่ยขึ้น ขณะ “เชน” นักศึกษาหนุ่มจากคณะนิเทศศาสตร์ กำลังเดินดุ่มๆ ไปยังป้ายรถเมล์ด้านหน้ามหาวิทยาลัย นักศึกษาหนุ่มชะงักฝีเท้า หันกลับมามองนักศึกษาสาวรุ่นน้อง “พี่จะกลับแล้วครับ พอดีมาส่งโปรเจค น้องดาวละครับ กลับยังไง มีใครมารับหรือเปล่า” เขาถามไปอย่างนั้นเอง รู้หรอกว่า วาดดาว จะต้องมีรถยนต์คันหรู มาจอดเทียบที่หน้าตึกคณะ ไม่ก็หน้ามหาวิทยาลัย เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว “ดาวยังไม่กลับหรอกค่ะ พอดีเย็นนี้มีซ้อมเต้นที่ชมรมน่ะค่ะ” วาดดาวพูดจ้อยๆ ตามประสารุ่นน้องผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดี “พอดีว่า ดาวออกมาหาอะไรรองท้องก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนซ้อมจะหิวล่ะแย่เลย” เธอเอ่ยยิ้มๆ ก่อนโบกมือให้เขา ก่อนที่เชนจะก้าวเดินต่อ ไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากเสียเวลาฝ่าการจราจร แน่นขนัดบนท้องถนนกรุงเทพฯ มานานร่วมชั่วโมงเชนก็มาถึง หอพักย่านเยาวราช ความเบื่อหน่าย หงุดหงิด ฉายชัดอยู่ในสีหน้าและแววตา กับการเดินทางที่ต้องใช้เวลานานเป็นพิเศษ ทั้งที่จากมหาวิทยาลัยมาถึงเยาวราช ก็ใช่ว่า จะเป็นระยะทางไกลมากเสียเมื่อไหร่ แต่กลับต้องมา