LOGINภวินทร์ หรือ วิน อายุ 30 ปี ปัจจุบันเปิดบริษัทหลายแห่ง มีทั้งอสังหาริมทรัพย์ ได้ขึ้นแท่นว่าเป็นเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ เขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาเองโดยที่ไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่ รมิตา หรือ ลูกตาล อายุ 20 ปี ปัจจุบันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เธอเป็นคนนิสัยซื่อๆ ตรงๆ และมักจะถูกคนรอบข้างหลอกใช้ได้อย่างง่ายดายเพราะความใส่ซื่อของเธอเอง
View Moreเขา เป็นคนที่เข้ามาทำให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันหลงรัก เขาบอกว่าฉันไม่เหมือนใคร ฉันไม่ได้ซื่อบื้อฉันไม่ได้ใสซื่อฉันแค่อ่อนโยนกับคนอื่นมากก็เท่านั้นเอง
เพราะเป็นรักแรกจึงทำให้ฉันหลงรักผู้ชายคนนี้ได้อย่างง่ายดาย เราตกลงคบกันโดยที่ครอบครัวก็รู้ เพราะงั้นฉันจึงไว้ใจเขามาก จนกระทั่งเราสองคนได้แต่งงานกัน นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง ทั้งคำพูดสายตาการกระทำ มันไม่ใช่เขาคนเดิมที่ฉันเคยรู้จักเลย และสิ่งที่ทำให้ฉันช็อคมากกว่าเดิมคือเขาพาผู้หญิงเข้ามาในบ้านกอดจูบลูบคลำต่อหน้าฉัน โดยที่ไม่ได้นึกถึงจิตใจของคนที่เป็นเมียตีทะเบียนอย่างฉันเลย
หลังจากนั้นเราก็มีการทะเลาะกันบ้างส่วนมากเขาจะไม่สนใจฉันมากกว่าจะทำเป็นเหมือนว่าฉันเป็นอากาศในสายตาของเขาซะมากกว่า
ฉันเองก็ได้แต่คิดว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าหน้าที่ของภรรยาบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า แต่ฉันก็คิดว่าฉันทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงเป็นแบบนั้น
**************************
ณ สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
หญิงสาวก้าวขาเดินเข้าไปอย่างเงอะๆ งะๆ จากทางด้านหลังประตูซึ่งไม่ต้องผ่านการตรวจใดๆ ทั้งสิ้น ในมือของเธอมีเอกสารอยู่ ซึ่งเพื่อนของเธอไหว้วานให้เธอนำมาส่งให้กับผู้จัดการของที่นี่
"พี่คะขอโทษนะคะ ผู้จัดการอยู่ตรงไหนหรอคะ?"
"อ้าว น้องไม่ใช่พนักงานของที่นี่หรอกหรอแล้วเข้ามาได้ยังไง"
"พอดีว่าเพื่อนของหนูมันวานให้หนูเอาเอกสารอันนี้มาให้ผู้จัดการค่ะ"
"ผู้จัดการอยู่ที่ห้องทำงานแหละเดินเข้าไปประตูอยู่ทางซ้ายมือประตูแรก"
"ขอบคุณนะคะ"
เธอเดินไปอย่างระมัดระวัง และด้วยความที่สถานที่มันไม่เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีซึ่งเธอก็ยังอายุไม่ครบเลยจึงทำให้เธอหันมองหน้ามองหลังด้วยความระแวง แต่เพื่อนของเธอก็ไหว้วานมาขนาดนี้แล้วเธอจะปฏิเสธได้ยังไงกัน
ก๊อกๆๆๆ
"เข้ามา?"
เธอเปิดประตูเข้าไปก่อนจะพบเข้ากับผู้หญิงคนนึงวัยกลางคนใส่แว่นอีกทั้งเสื้อผ้าก็ยังดูแซ่บจัดจ้านไม่เหมาะกับอายุแบบนี้เลย
"เธอไม่ใช่เด็กของที่นี่แล้วมาทำไม มาสมัครงานหรอ?"
"เปล่าค่ะ พอดีว่าเพื่อนของหนูชื่อพีชเขาฝากเอกสารอันนี้ให้เอามาส่งให้กับผู้จัดการค่ะ"
"อ๋อ ขอบใจมากนะ เดินก็ระวังๆ หน่อยล่ะ เข้าสถานบันเทิงแบบนี้เธออายุยังไม่ถึงควรแต่งตัวให้มันมิดชิดกว่านี้นะ"
"ขอโทษด้วยค่ะพอดีว่าหนูรีบมาก็เลยไม่ได้สังเกตตัวเอง" พอถูกทักแบบนั้นแล้วเธอก็รู้สึกอายจนหน้าชาไปเลย แต่เธอก็ไม่ทันได้สังเกตตัวเองจริงๆการแต่งตัวของเธอก็เป็นเพียงเสื้อยืดตัวสีขาวและกางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้น
หญิงสาวเดินกลับออกไปจากห้องทำงาน และออกไปทางเดิม ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาแล้ว ทางด้านหลังประตูที่เธอเดินเข้ามาก็เริ่มวุ่นวาย พนักงานต่างก็เร่งมือทำงานกันอย่างขันแข็ง
หมับ!
"น้องสาว มาทำอะไรที่นี่จ๊ะจะกลับแล้วหรอ?"
"ปะ ปล่อยหนูนะคะหนูแค่มาส่งของให้คนรู้จักเท่านั้นค่ะไม่ได้มาเที่ยว"
"ถ้าอย่างนั้นสนใจไปเที่ยวกับพี่ไหม"
"มะ ไม่เอาค่ะหนูต้องกลับบ้าน"
"ฮ่ะ! อะไรวะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ คนที่มาสถานบันเทิงแบบนี้เขาก็มาเที่ยวกันทั้งนั้นแหละ อยากดื่มอะไรล่ะเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง"
"หนูไม่ดื่มจริงๆ ค่ะ หนูขอบอกอีกครั้งว่าหนูแค่เอาของมาส่งให้คนรู้จัก ตอนนี้หนูกำลังจะกลับแล้วปล่อยหนูด้วยค่ะ"
"เฮ้ย...ถ้าอย่างนั้นไปนั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยก็ได้"
"ไม่ค่ะ จะอะไรก็แล้วแต่หนูไปนั่งกับพี่ไม่ได้หนูไปดื่มกับพี่ไม่ได้หนูต้องกลับบ้าน"
เธอยังคงปฏิเสธเหมือนเดิมต่อให้ผู้ชายคนนี้เขาจะพูดอะไรมาก็ตาม เพราะเธอขออนุญาตพ่อกับแม่ออกมาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น หากกลับบ้านไม่ตรงเวลาเธออาจจะโดนดุหนักหน่อยก็อาจจะโดนตีเลยก็ได้
"อะไรวะนั่นนี่ก็ไม่ได้!" เขาเริ่มหัวเสียเพราะเธอไม่ยอมทำตามที่เขาพูดเลยไม่ว่าจะพูดอะไรมายั่วยวนแล้วก็ตาม
"อะ โอ๊ย! ปล่อยหนูเถอะค่ะหนูเจ็บ"
"ก็ยอมไปด้วยกันง่ายๆ สิจะได้ปล่อย!"
"ไม่ไปค่ะ ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
หมับ!
จู่ๆ ก็มีมือปริศนามากระชากผู้ชายคนนั้นออกไปและแรงเหวี่ยงของเขาก็ผลักผู้ชายคนนั้นไปแทบล้มลงกับพื้น
"ผู้หญิงเขาไม่ยอมไปด้วย ก็ยังจะตามตื๊อเขาไม่เลิก"
"แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วยวะ!"
"เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ตรงนี้มันเป็นพื้นที่ของฉัน อยากให้ฉันแจ้งความไหมล่ะว่ามีคนมาก่อกวนในร้านของฉัน"
"นี่มึงกล้าขู่กูหรอ!" ผู้ชายคนนั้นถลึงตาเพราะความโกรธพร้อมกับชี้หน้าด่าผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอ ทำเอาเธอตกใจมากเพราะกลัวว่าจะมีปัญหากันไปบานปลายมากขึ้น ทว่ามีการ์ดที่เป็นผู้ชายใส่ชุดสูทสีดำเข้ามาล็อคตัวผู้ชายคนนั้นเอาไว้
"ไม่เคยมีใครมาชี้หน้าด่าฉันแบบนี้มาก่อน"
"....."
"และไอ้คนที่มันทำแบบนี้ต้องโดนตัดนิ้วมือทิ้งให้ด้วนให้หมด ส่งท้ายด้วยการจับโยนลงไปในบ่อจระเข้ ให้จระเข้มันกัดฉีกเนื้อสดๆ ทั้งที่ยังไม่ตาย"
หญิงสาวนึกภาพตามในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดทำเอาเธอหน้าเหวอตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่มันเกิดเรื่องกันแค่นี้เองแต่ตอนนี้มันกำลังบานปลายไปถึงชีวิตของคนคนนึงแล้ว
"มึงไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก"
"เอาตัวมันไปเดี๋ยวกูตามไปจัดการทีหลัง"
"ครับนาย"
ผู้ชายคนนั้นถูกการ์ดลากตัวออกไปต่อหน้าต่อตาหญิงสาวที่ยืนมองอยู่ ก่อนที่ผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอจะหันกลับมาคุยกับเธอ แต่พอเขาเอ่ยปากพูดคำแรกเท่านั้นเธอก็ตกใจสุดขีด เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทำแบบนั้นเหมือนกัน
"ตกใจทำไมกลัวฉันหรอ?"
"เอ่อคือ..."
"ดูเธอยังเด็กอยู่เลยทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?"
"หนูเอาเอกสารมาให้ผู้จัดการค่ะเพื่อนฝากให้เอามาส่งให้"
"อ๋อ..."
"หนูขอตัวนะคะ"
"เดี๋ยวก่อนสิ..."
"เฮือก..." เธอยืนนิ่งเกร็งจนตัวชาไปหมด เมื่อถูกใช้หนุ่มรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ แต่น้ำเสียงของเขามันช่างเย็นเยียบจนน่ากลัว
"ฉันมาช่วยเธอไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยหรอ?"
"ขะ ขอบคุณค่ะที่ช่วยหนู"
"คราวหน้าก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ แล้วก็อย่าแต่งตัวแบบนี้อีกล่ะ ที่นี่มันเหมาะสำหรับคนที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้นเข้าใจไหม"
"ขะ เข้าใจแล้วค่ะ"
"มีอะไรจะถามฉันหรือเปล่า?" ดูเหมือนว่าเขาจะดูออกว่าเธอมีบางอย่างที่อยากจะถามเขาเพราะเธอเอาแต่อึกอักไม่ยอมพูดจนเขาต้องถามออกไปเอง
"คุณจะทำแบบนั้นจริงๆ หรอคะ?"
"ทำอะไร?"
"ก็คุณบอกว่าคุณจะตัดนิ้วของผู้ชายคนนั้นให้ด้วนแล้วก็จับเขาโยนลงบ่อจระเข้ อันที่จริงเมื่อกี้เราสองคนก็แค่ทะเลาะกันนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน อย่าให้มันถึงขั้นนั้นเลยได้ไหมคะ"
"แต่เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นมันกำลังจะตบเธอแล้วนะ?"
"แต่เขาก็ไม่ควรต้องตายนี่คะ ถ้าเราลองคิดอีกมุมนึงเขาอาจจะมีเมียมีลูกที่รอให้เขากลับบ้านอยู่ก็ได้"
"....."
"อยะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะคะ หนูไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องมาตายเพราะหนูมันเป็นบาป"
"ฉันไม่ได้ทำอะไรหรอกก็แค่พูดขู่ไปอย่างนั้นแหละ"
"....."
"แค่นี้ใช่ไหมที่เธอจะขอ?"
"ค่ะ"
"ถ้างั้นฉันไปทำงานล่ะ เธอก็กลับบ้านให้มันดีๆ อายุไม่ถึงก็อย่ามาที่นี่อีก เกิดอะไรขึ้นมาฉันรับผิดชอบไม่ได้นะ"
"ค่ะ"
หลายปีต่อมา ลูกๆ ของภวินทร์ทั้งสองคนโตจนเข้าโรงเรียนกันหมดแล้ว และทั้งสองก็ไม่ได้มีลูกอีกไม่ใช่เพราะไม่อยากมี แต่ช่วงเวลาที่ทั้งสองอยากจะมีลูกมันไม่มียังไงล่ะ พอเวลาผ่านไปจนอายุมากขึ้นภวินทร์ก็ล้มเลิกที่จะคิดมีลูกอีก ถึงแม้ตอนนี้น้ำตาลจะยังแข็งแรงพอที่จะมีลูกได้อีกแต่เขาก็ไม่อยากทรมานร่างกายของเธอ เขารู้ว่ากว่าเธอจะคลอดต้องเผชิญกับหลายอย่าง และก่อนจะคลอดก็ต้องปวดท้องเจียนตายอีก “แต่งตัวไปรับลูกเหรอคะ?” น้ำตาลถาม เพราะเห็นสามีกำลังแต่งตัวหล่อ “ใช่ เธอก็ไปแต่งตัวสิ”“ทำไมคะ ปกติคุณไปรับลูกคนเดียวนี่ แค่ไปรับลูกเองทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะคะ” น้ำตาลถามอย่างงงๆ เพราะลูกๆ ทั้งสองก็โตรู้เรื่องกันแล้ว และในทุกๆ วันเองภวินทร์ก็จะเป็นคนรับหน้าที่รับส่งลูกๆ นอกจากบางวันเท่านั้นที่พี่สาวคนโต น้องวีญ่า จะนั่งรถโรงเรียนกลับมาเอง “ไปเที่ยวกัน”“หือ?”“ลูกๆ ชวนไปเที่ยวน่ะ”“อะไรกันคะ ไปตกลงกันไว้ตอนไหนทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลยล่ะ"“เอาน่า ไปแต่งตัวสวยๆ แล้วไปรับลูกกัน"“ค่ะ”น้ำตาลยอมไปแต่งตัวสวยๆ ตามที่เขาบอก เพราะไม่อยากจะถามซักไซ้ให้มันเสียเวลามากมาย อีกอย่างเธอก็พอจะเข้าใจเพราะเรื่องเที่ยวหรือซื้
ณ บ้านพักริมทะเล ครอบครัวของภวินทร์มาเที่ยวบ้านพักตากอากาศด้วยกัน เป็นบ้านติดริมทะเล สวยหรูและเป็นส่วนตัวเพราะเป็นพื้นที่ของเขา ลูกๆ พากันเล่นอย่างสนุกสนาน เพราะอยากจะมาเที่ยวเล่นทะเลอยู่แล้ว แถวนี้ไม่มีอะไรอันตรายและน้ำก็ไม่ได้ลึกลูกๆ ของเขาจึงพากันลงเล่นน้ำทะเลได้แต่ก็มีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดไม่คลาดสายตา หมับ! “ตกใจหมด เล่นอะไรของคุณคะเนี่ย?” น้ำตาลตกใจ เพราะเธอกำลังยืนหันหลังเตรียมของว่างไว้ให้ลูกๆ อยู่ พวกแกเลิกเล่นแล้วต้องหิวมากแน่ๆ “ทำอะไรอยู่เหรอ น่ากินจัง"“เตรียมของว่างให้ลูกค่ะ แล้วคุณขึ้นมาแล้วลูกเล่นอยู่กับใครคะ?"“นั่งเล่นทรายกันอยู่น่ะ มีคนคอยดูอยู่ไม่ต้องห่วง"“คุณออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันยกของว่างไปให้ ลูกๆ คงจะหิวกันแย่แล้ว"“เดี๋ยวช่วยนะ"“ได้ค่ะ” เธอรีบจัดการของว่างและส่งให้กับสามียกออกไปเตรียมรอลูกสาวทั้งสอง หลังจากนั้นเด็กน้อยทั้งสองคนก็วิ่งเข้ามาในบ้าน เพราะเหนื่อยล้ากับเล่นน้ำมาครึ่งวันแล้ว “ไปล้างตัวกันให้เรียบร้อยก่อนนะคะเด็กๆ ถ้าตัวเปียกจะมานั่งที่โซฟาไม่ได้นะคะ"“ค่ะแม่” เด็กน้อยพากันเข้าห้องน้ำไปโดยมีผู้เป็นพ่อคอยเป็นคนช่วยเหลือเตรียมผ้าขนหนูเตร
น้ำตาล Talk หลังจากคลอดลูกสาวคนที่สองฉันก็ไม่ได้ทำหมันหรอก เพราะคุณวินเขาบอกว่าอยากได้ลูกชายอีกสักคน ขอให้ฉันมีให้แต่ถ้าคนที่สามก็ยังเป็นผู้หญิงอีกล่ะจะทำยังไง ฉันเข้าใจเขานะด้วยความที่เขาเองก็มีธุรกิจมากมายก็อยากได้ลูกชายไว้สืบทอดกิจการต่อ เพราะลูกสาวทั้งสองก็เห็นทีว่าจะไม่เหมาะกับงานที่พ่อของเขาทำเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้อนาคตเพราะน้องวีญ่าแกอาจจะชอบก็ได้ รายนี้เหมือนพ่อของแกแทบจะทุกอย่าง “ทำอะไรของคุณน่ะ?” ฉันถามขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวไปรับน้องวีญ่าที่โรงเรียน พักหลังๆ มานี้เขาชอบทำตัวแปลกๆ ชอบวางมาดทำหน้าเข้มใส่คนอื่น ไปโรงเรียนลูกเพื่อนๆ ของลูกก็พากันกลัวหมด น้องวีญ่าบอกฉันว่าเพื่อนๆ ไม่กล้าเล่นด้วยเพราะกลัวพ่อของแก “ฉันไปแบบนี้ดีไหม?”“แต่งตัวบ้าบออะไรของคุณเนี่ย ไปเปลี่ยน! แล้วก็โกนหนวดด้วยนะ!” เขาปล่อยให้หนวดขึ้นยาวเฟิ้ม เพราะแบบนี้หรือเปล่าเพื่อนๆ ของน้องวีญ่าถึงได้กลัวกัน และฉันก็จำได้ว่าตอนที่เขาไปเจอฉันที่บ้านของคุณปู่ก็แบบนี้แหละ ลูกร้องแทบเป็นแทบตายเพราะกลัวเขาเนี่ยแหละ “ฉันก็แต่งตัวปกตินะ ทำไมต้องเปลี่ยนด้วย”“คุณวินคะ แค่ไปรับลูกเอง โกนหนวดด้วยค่ะ คุณรู้ไหมว่าเพื่อนๆ
น้ำตาล Talk ห้าเดือนต่อมา เรื่องที่สงสัยครั้งนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่คิดหรืออุปโลกน์ไปเอง ฉันกำลังท้องจริงๆ และคุณวินก็เป็นคนแพ้ท้องแทนฉัน แพ้หนักมาก ฉันนี่ไม่เป็นอะไรเลยสักอย่าง จนถึงตอนนี้ก็ห้าเดือนแล้ว อาการของเขาที่เป็นก็เริ่มทุเลาลง ส่วนฉันก็ท้องใหญ่ขึ้น ได้ลูกผู้หญิงเหมือนเดิม คุณวินเขาเป็นคนดูแลน้องวีญ่าเองเพราะกลัวว่าแกจะมากวนฉันจนไม่ได้พักผ่อน เวลาออกไปทำงานเขาก็จะเอาลูกไปด้วย จนตอนนี้พ่อลูกติดกันและสนิทกันมาก ทั้งที่เมื่อก่อนน้องวีญ่ากลัวคุณวินมาก แต่ตอนนี้ติดกันอย่างกับเงาแน่ะ ฉันนี่แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย “พ่อ!"“จ๋า..” คุณวินตอบรับลูกสาวเสียงหวาน ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาหาพร้อมกับอุ้มขึ้น “อยากไปไหนคะ?"“อยากระบายสี มันหมดแล้ว"“ได้สิคะ เดี๋ยวพ่อพาออกไปซื้อนะ"“ค่ะ”น้องวีญ่าชอบระบายสีมาก มีสมุดระบายสี มีดินสอสี เท่าไหร่ก็หมดไม่มีเหลือ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งกำแพงบ้านผนังบ้าน ถูกลูกสาวฝากรอยเอาไว้มากมาย และคุณวินก็ไม่เคยคิดจะว่าลูกสักคำเลย สองพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันมาก เหมือนแม้กระทั่งนิสัย เขาเป็นแบบไหนลูกก็เป็นแบบนั้นเลย เด็ดขาด พูดจาชัดเจนฉะฉาน กล้าพูด กล้าทำ กับลุงป้าน้า