เมื่อคิดย้อนไปถึงวันนั้นเขาก็ยังเกิดคำถามในสิ่งที่ชัชวินทำ ผนวกกับคำพูดของอาชิที่บอกกับเขาในคืนนั้นด้วย
หากที่อาชิพูดมีความหมายส่อไปถึงชัชวินจริง มันสื่อได้ว่าอีกคนไม่มีความจริงใจใด ๆ เลย
หากแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในการกระทำและสายตานั้นกลับทำให้เขาเผลอคิดว่าชัชวินเป็นห่วงเขาจริง ๆ หรือเขาอาจจะคิดไปเอง
เริ่มไม่เข้าใจในตัวเองแล้วเหมือนกันว่าทำไมถึงเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิด เป็นเพราะความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
“ก็ได้นะ อาจจะแล้วแต่คนว่ะ ถามทำไมวะ”
“แค่ถามดูน่ะ”
คำตอบที่ได้จากเต้ใช่ว่าจะคลายความสงสัยได้ แต่ก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ พลางถอนหายใจเบา ๆ
อย่าเก็บเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิดนักเลย…
“พรุ่งนี้มึงหยุดอีกวันนี่ ใช่ไหม?” เต้ถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“อืม”
“กูเห็นครูบอกว่าพรุ่งนี้มีคนติดต่อจะเข้ามาเรียนมวย ไม่แน่มึงอาจได้เป็นคนสอนอีก”
“เหรอ ไม่เห็นครูบอกอะไรกูเลย”
“ถ้าครูจะให้มึงสอนเดี๋ยวก็มาบอกเองนั่นแหละ” ก็อย่างที่เต้ว่าถ้าครูจะให้เขาเป็นคนสอนจริง ๆ เดี๋ยวก็คงเรียกไปคุย
พลันคิดย้อนไปในอดีตตอนที่มาอยู่ค่ายวันแรก ๆ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเรียนมวยจนสามารถสอนคนอื่นได้แล้ว คำสอนของครูในวันนั้นเขายังจำได้ดี
5 ปีก่อน
โลกที่เคยสวยงามของเด็กวัยสิบห้าปีพังทลายพร้อมกับร่างของพ่อที่เหลือเพียงเถ้ากระดูก ควันไฟสีหม่นลอยออกจากปล่องขึ้นสู่ฟ้า น้ำตาไหลลงอาบแก้มเด็กหนุ่มไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นไห้ที่ไม่ว่าใครเห็นต่างก็สงสารจับใจ สองแขนกอดฉากรูปภาพของผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น
ร่างของเด็กหนุ่มถูกดึงเข้าไปกอดปลอบอย่างห่วงใย ทว่าอ้อมอกที่อบอุ่นนี้ไม่ใช่แม่หรือพี่ชาย แต่เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ มือสากลูบเรือนผมนุ่มด้วยความอ่อนโยน แม้จะเข้มแข็งแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านน้ำตาเอาไว้ได้
“พ่อไปสบายแล้วนะอัยย์ ไม่เป็นไรนะ อัยย์ยังมีลุง ลุงจะดูแลอัยย์แทนพ่อเอง”
คำพูดปลอบโยนของครูชัยแทบไม่เข้าหูอัยย์เลยด้วยซ้ำ ทว่าเด็กคนนี้กลับซุกใบหน้ากับหน้าท้องแกร่ง ราวกับโหยหาที่พึ่งทางใจ
หลังเสร็จงานศพของพ่อได้ไม่นานครูชัยก็พาอัยย์ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ค่ายมวย เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ก่อนสิ้นใจผู้เป็นพ่อได้ฝากฝังกับครูชัยเอาไว้ว่าให้ช่วยดูแลลูกของตน
สำนวนที่ว่า ‘หัวเดียวกระเทียมลีบ’ หากใช้กับอัยย์เห็นทีจะไม่เกินจริง แม้ว่าลูกศิษย์ในค่ายของครูชัยจะเยอะเพียงใดเขาก็ไม่รู้จักสักคน และต่อให้ครูชัยเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ ก็ใช่ว่าจะเจอกันบ่อยจนสนิทกัน พี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวอย่างอาร์มกลับไปใช้ชีวิตตามทางของตัวเอง ไม่ยอมมาอยู่ด้วยกัน ส่วนแม่.. เขาเองก็ไม่รู้
ตลอดหลายวันที่มาอยู่ค่ายอัยย์ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง นอนร้องไห้เพียงลำพัง ไม่พูดไม่จากับใครจนได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของคนอื่นที่คุยกันว่าเขาทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เรียกร้องความสนใจ ทั้งที่พยายามจะไม่เก็บเอามาใส่ใจแต่ก็ยากเหลือเกิน
“ออกมากินข้าวหน่อยเถอะอัยย์”
ครูชัยคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง เพราะรู้ดีว่าต่อให้เขาทำหน้าที่ดูแลอัยย์ดีแค่ไหน สำหรับเด็กคนนี้ก็ไม่มีใครแทนพ่อได้ ถึงอย่างนั้นครูชัยก็พยายามสุดความสามารถทำเพื่อทำให้อัยย์เห็นว่าตัวเองรักและห่วงใยด้วยความสัตย์จริง
“อัยย์ไม่หิวครับ อึก”
สุดท้ายครูชัยทนไม่ไหวต้องไขกุญแจห้องเข้ามาดู เพราะไม่อาจปล่อยไว้คนเดียวอย่างนี้นาน ๆ ได้ เขาเข้าใจการสูญเสียดี แต่ชีวิตของคนเรามันไม่เที่ยงแท้เป็นธรรมดา อัยย์เองก็ต้องทำใจและยอมรับมันให้ได้ในสักวัน
“อัยย์”
ผ้าห่มถูกดึงออกจากการบดบังเด็กหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำเกิดจากการร้องไห้เป็นเวลานาน ครูชัยจับแขนหลายชายให้ลุกคนนั่งพร้อมดึงเข้ามากอด ฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบโยน
“ฮือ อัยย์คิดถึงพ่อ”
“พ่อจะยังอยู่กับเราเสมอ ตราบใดที่เรายังไม่ลืมเขา”
คนที่จากไป จากไปแค่ร่างกายและจิตวิญญาณ ทว่าความทรงจำที่เคยร่วมสร้างกันมาจะยังคงย้ำเตือนกับคนที่ยังอยู่เสมอ
“พ่อเขารักอัยย์มากนะ เพราะงั้นอัยย์ต้องใช้ชีวิตให้ดี พ่อจะได้หมดห่วง เข้าใจหรือเปล่า” แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่ใช่คนหัวรั้น พยักหน้าตอบรับคำถามของครูชัย นิ้วเรียวปาดน้ำตาบนแก้มนิ่ม พร้อมยกยิ้มให้ “ไปกินข้าวกันนะ”
สองมือเล็กจับชายเสื้อครูชัยด้วยความประหม่า ปกติไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่งอยู่แล้ว ยิ่งเจอคนแปลกหน้าที่กำลังส่งสายตามองมาที่เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก คำพูดที่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าใครคนไหนบ้างที่เป็นคนพูด สิ่งที่รู้ได้คือมีคนไม่ชอบเขาอย่างแน่นอน แต่ใครจะกล้ามาพูดแซะซึ่ง ๆ หน้า เมื่อครูชัยประกาศให้รับรู้ทั่วกันว่าอัยย์คือหลานชายของตัวเอง
“คะ ครูจ๊ะ อัยย์ไปกินข้าวที่อื่นได้ไหม” ทั้งที่บอกมาตั้งแต่วันแรกแล้วว่าให้เรียกลุง ทว่าอัยย์ก็ยังเลือกที่จะเรียกครูตามคนอื่น ๆ
เห็นทุกคนนั่งร่วมวงอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนม คนมาใหม่อย่างเขาก็ไม่กลางเข้าไปนั่งแทรกเป็นทำตัวเหมือนแกะดำได้
“ทำไมล่ะ?”
“อัยย์สบายใจแบบนั้นมากกว่า” เสียงหวานเอ่ยตอบอ้อมแอ้มอยู่ข้างหลัง
“งั้นไปกินที่ครัวกับลุง แบบนี้ตกลงไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ ก่อนถูกจูงมือให้เดินตามไปถึงท้ายครัว เห็นเด็กผู้ชายรูปร่างพอ ๆ กับตัวเองกำลังถือถ้วยแกงไปวางไว้ที่โต๊ะ
“อ้าวครู มากินข้าวที่ครัวอีกแล้วเหรอ”
“เออ หลานข้ามันไม่อยากนั่งกับคนอื่น”
“ผมนั่งกินด้วยคนคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม”
“มะ ไม่เป็นไร”
ครูชัยแนะนำให้ได้รู้จักกับเต้ เด็กที่ครูชัยรับเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็กอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับอัยย์
เจ้าตัวมีนิสัยขี้เล่น คุยเก่ง แต่กลับไม่ชอบสุงสิงกับใครสักเท่าไรหากไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลามื้ออาหารก็ชอบมานั่งทานที่ครัวคนเดียว บางครั้งครูชัยก็จะมานั่งเป็นเพื่อน แม้คนในค่ายจะไม่ได้มีอคติอะไรกับเต้ แต่เต้เองที่ไม่อยากร่วมวงด้วย อาจจะเพราะเวลาคนอื่นคุยกันแล้วตัวเองตามไม่ค่อยทัน เลยเลือกที่จะเลี่ยงออกมาจะดีกว่า
ผ่านมาหลายสัปดาห์อัยย์เริ่มทำใจขึ้นมาได้บ้าง ยอมรับความจริงอย่างที่ครูชัยบอก ความสัมพันธ์การเป็นเพื่อนระหว่างเต้กับอัยย์ก็เหมือนจะดี พูดคุยกันถูกคอจนเริ่มสนิทกัน
ครูชัยส่งอัยย์ให้กลับไปเรียนต่อมอปลายที่โรงเรียนเดิม และในวันหยุดเสาร์อาทิตย์อัยย์ก็ขอให้ครูชัยสอนมวยให้ ตอนแรกกลัวว่าร่างกายอัยย์จะรับไม่ไหว แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้าตัว ครูชัยก็ตอบตกลง
“ลุกขึ้นมา”
ครั้นถึงเวลาจริงจังครูชัยก็ไม่คิดที่จะอ่อนข้อให้ ในเมื่ออยากเรียนแม้จะเจ็บก็ต้องทนให้ได้ จะมาทำเล่น ๆ ไม่ได้เด็ดขาด
“อัยย์ไม่ไหวแล้วจ้ะครู”
“ทำได้แค่นี้ก็ไม่ต้องมาขอให้ลุงสอน”
“…”
“ถ้าพื้นฐานแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็กลับห้องไปอ่านหนังสือเรียน”
“…”
“ถ้าอัยย์ไม่สู้ อัยย์ก็จะเป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้ในสายตาคนอื่น”
“อัยย์ไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้” เสียงตอบกลับสั่นเครือทว่าแววตากลับหนักแน่น เขาไม่ได้อยากเป็นคนขี้แพ้ เขาไม่อยากอ่อนแอให้ใครต่อใครมารังแกแล้วหัวเราะเยาะใส่ เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น
“งั้นก็ลุกขึ้นมา ต่อให้ล้มลงไปอีกกี่ครั้งอัยย์ก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ต้องสู้จนกว่าจะชนะ ไม่มีใครแพ้ไปตลอดหรอก”
ใช่.. ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ไปตลอดหรอก
ตลอดสองเดือนชัชวินโทรหาคนรักกับลูกทุกเวลาที่ว่างอย่างที่พูดไว้จริง ๆ เขาอยากจะบินไปภูเก็ตใจแทบขาด ทว่างานรัดตัวจนไปไม่ได้ อีกทั้งไทท์ยังเอาแต่ห้าม ไหนจะโรงแรมที่จีนที่เขาต้องจัดการบัญชีทุกเดือน ยังต้องบินไปดูงานด้วยตัวเอง มีคุยงานกับนักธุรกิจหลายท่านเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มลงทุนร่วมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะแต่ละคนมีเวลาว่างต่างกัน ชัชวินจึงไม่สามารถไปไหนได้ ตารางงานแต่ละวันแน่นจนเขาอยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ทุกการเคลื่อนไหวของชัชวินไทท์ได้รายงานให้อัยย์ทราบทุกอย่าง เนื่องจากอีกฝ่ายขอร้องมา ไทท์เองก็ไม่อยากทำตัวเป็นนกสองหัว เพราะเหมือนกับกำลังทรยศเจ้านาย แต่ทว่าชัชวินไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรไม่ดี เขาจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไร หากบอกให้อัยย์ทราบ ดีเสียอีกที่อีกคนจะได้เห็นว่าเจ้านายของเขาปรับตัวเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัวแล้วจริง ๆ ไม่ทำตัวเหลวไหล หรือมั่วผู้หญิงอย่างแต่ก่อนอัยย์จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ ทำเรื่องย้ายลูกไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ โดยไม่บอกชัชวิน กะไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย โดยมีเขมทัศน์ช่วยเหลืออีกเช่นเคย“เราจะไปไหนกันเหรอม๊า” เด็กน้อยตาใสเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื
เวลาเกือบสองทุ่มครึ่งอัยย์ส่งลูกเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลงมาหาคนที่ยังเอาแต่นั่งอ่านเอกสารหน้าเครียด ก่อนหน้านี้ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้วอัยย์ตั้งใจจะบอกให้ชัชวินกลับไป แต่พอเห็นว่าคนพี่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่อยากกวนคนตัวเล็กแอบทำอะไรเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในครัวประมาณยี่สิบนาที ออกมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ คาดว่าชัชวินน่าจะหิว เพราะเมื่อตอนเย็นทานไปแค่นิดเดียวก็กลับมานั่งทำงานต่อ คงจะมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง“ทานข้าวก่อนสิครับค่อยทำต่อ”ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองเด็กหนุ่ม จากที่ทำหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที ทว่าดวงตาคมดูล้ากว่าปกติ“ขอบคุณครับ แต่เฮียขอทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยกินครับ”“ไม่ได้ครับ” ตอบกลับเสียงแข็ง “กินก่อนเถอะครับ เมื่อตอนเย็นคุณกินไปแค่นิดเดียว กว่างานจะเสร็จหิวไส้กิ่วกันพอดี”“กินก็กินครับ ไม่เห็นต้องดุเลย”“ไม่ได้ดุสักหน่อย!”“นี่ไงหนูกำลังดุเฮียอยู่ชัด ๆ”อัยย์กรอกตามองบนพลางถอนหายใจ เบื่อจะเถียงกับคนแก่ ทว่าไม่ทันได้เดินออกไป อีกคนดันจับข้อมือรั้งเขาไว้เสียก่อน“มีอะไรครับ?”“มีเรื่องจะรบกวนครับ”“อะไรครับ?”“พอดีรู้สึกเหนื่อยมากเลยครับ อยากรบกวนขอกำลังใจเป็นกอด
เช้าวันนี้ดูเหมือนเป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสามปีของชัชวิน เสียงนกร้องดังอยู่บริเวณบ้านปลุกคนนอนหลับฝันดีให้ตื่นขึ้นมา ร่างหนาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ บ้าน กลิ่นของอาหารหอมโชยมาจากในครัวชัชวินเดินมาตามกลิ่น คนตัวเล็กกำลังง้วนอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้ เด็กน้อยที่พึ่งตื่นล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมานั่งเล่นรอมารดาตัวเองที่โต๊ะทานข้าว“อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช”ศรัณย์เอ่ยพูดประโยคที่ชัชวินเคยสอนเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้ขึ้นใจ“อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์”ชัชวินยกยิ้มให้เด็กน้อย จากตอนแรกที่ได้เจอกันรู้สึกถูกชะตามากอยู่แล้วยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองแท้ ๆ เขายิ่งหลงรักเด็กคนนี้มากขึ้นไปอีก อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าศรัณย์รู้ว่าเขาเป็นพ่อจะดีใจบ้างหรือเปล่าเขาไม่รู้ว่าอัยย์จะบอกลูกตอนไหน แต่ความร้อนใจของเขาเขาอยากให้ลูกรู้เร็ว ๆ ว่าเขาเป็นพ่อ เขาอยากแสดงตัวว่าเป็นพ่อ อยากทำหน้าที่ของพ่อ อยากชดเชยเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทดแทนได้หรือเปล่าเขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ เพื่ออัยย์และลูก“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาครับจะได้กินข้าว”เรื่องที
ร่างสูงโปร่งลงจากรถแท็กซี่ ตั้งสติให้ตัวเองทรงตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังหน้าบ้านของคนที่เขาคิดถึง สองมือเกาะรั้ว ตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านเสียงดังลั่น"อัยย์! อัยย์ครับ ออกมาคุยกับเฮียหน่อย อัยย์!"เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรียกเจ้าของบ้าน เขมทัศน์ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวมาเปิดประตู เห็นเพื่อนตัวเองยืนเกาะอยู่ที่รั้วไม้ จึงเดินเข้าไปหา“มึงมาที่นี่ได้ยังไง”อัยย์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าชัชวินเคยมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของทั้งสองคนยังไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร กลัวว่าหากเขมทัศน์รู้เข้าจะมีปากเสียงกับชัชวินเพราะเขาอีก“อัยย์! มาคุยกับเฮียหน่อย”“ถ้าเมาก็กลับไปไอ้ชัช อย่ามาสร้างความเดือดร้อนที่นี่” เขมเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่าย“มึงไม่ต้องเสือก”น้อยครั้งที่ชัชวินจะพูดหยาบคายกับเขม ทว่าครั้งนี้เขามีเรื่องไม่พอใจที่อีกคนโกหกจึงไม่คิดที่จะยั้งปาก อีกทั้งยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหลังจากลูกค้านัดไปคุยงานนั่งดื่มกัน ชัชวินก็ซัดเหล้าเข้าปากเพราะความเครียดที่ตัวเองพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเมาก็คงกล้าทำอะไรมากขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู
หลังจากโดนอัยย์จับได้ว่าแอบเดินตาม ชัชวินก็ใช้เวลาอยู่สามสี่วันกับการกลั่นกรองความคิดตัวเอง เมื่อตกผลึกแล้วสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง ไม่ว่าจะกินจะนอนก็อยากเจอหน้าให้ได้ ถ้าเป็นคนงมงายสักนิดคงคิดว่าตัวเองโดนของแน่ ๆร่างหนาเดินเลือกซื้อขนมที่เด็ก ๆ ชอบ ซึ่งถามความคิดเห็นจากไทท์ เพราะเลขาของเขามีลูกชายอยู่หนึ่งคน คงจะพอรู้ว่าเด็กผู้ชายชอบกินอะไร รวมถึงพวกของเล่นต่าง ๆเดินเลือกไปเลือกมาสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาว เพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มชัชวินก็ถูกใจทันที คิดว่าศรัณย์อาจจะชอบ ไม่ว่าเด็กผู้หญิงหรือผู้ขายก็ชอบตุ๊กตาได้ทั้งนั้น ทว่าลึก ๆ แล้วเขาจะใช้มันเป็นตัวแทนของเขาเอง“จะซื้อจริง ๆ เหรอครับ” คนที่โดนหิ้วให้ติดตามขับรถให้อย่างไทท์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“อือ ผมว่าน้องรัณอาจจะชอบ” ว่าพลางยกยิ้มราวกับคนมีความสุขเต็มเปี่ยม หลายวันที่ไทท์เห็นเจ้านายตัวเองเอาแต่ขมวดคิ้วเหม่อคิดอะไรอยู่กับตัวเองคนเดียว ทว่าวันนี้ราวกับคนละคนจ่ายเงินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่บ้านของอัยย์ทันที ไทท์ลอบมองชัชวินผ่านกระจกหลังเป็นระยะ ดูท่าแล้วจะมีความสุขมากจริง ๆ ถ
แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างพาดผ่านผิวกาย กระทบใบหน้าหล่อเหลา เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ลืมขึ้นหรี่ตาปรับแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกาย รู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนขดตัวอยู่นโซฟาหลายชั่วโมงดวงตาคมหลุบลงมองผ้านวมผืนหนาที่คลุมร่างของเขาอยู่ จำได้ว่าเมื่อคืนอัยย์ไม่ได้เอามาให้ งั้นคงเอามาห่มให้เขาตอนเขาหลับไปแล้วแน่ ๆ พลันความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นในหัวมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเผลอไผลทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อหันห้ามาเจอเด็กน้อยหน้าตาสดใสกำลังจ้องมองเขาไม่ละสายตา ชัชวินส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง"อรุณสวัสดิ์ครับเด็กชายศรัณย์""อรุณสวัสดิ์คืออะไร" เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยในคำที่ตัวเองไม่เข้าใจ"อรุณสวัสดิ์ก็คือสวัสดีตอนเช้า""อืม รัณเข้าใจแล้ว อรุณสวัสดิ์ครับลุงชัช"ความสดใสจากเด็กคนนี้ทำให้เขาอดนึกถึงภาพของอัยย์ตอนยิ้มร่ามีความสุขไม่ได้ แม่กับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน"ทำไมรัณตื่นเช้าจังครับ" จริง ๆ ก็ไม่ได้เช้าอะไรมากมาย ตอนนี้ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว"มะม๊าบอกว่าถ้าตื่นสายจะติดเป็นนิสัย ทำให้เป็นเด็กขี้เกียจ รัณไม่อยากเป็นเด็กขี้เกียจ" เด็กช่างพูดจำที่มารดาบอกได้ขึ้นใจ"แล้