“อย่าเพิ่งนอนใจไป อีนังนั่นมันเห็นหน้าพวกเราชัดทุกคน มันต้องจำได้ขึ้นใจแน่ เพราะฉะนั้นต้องตามดูให้แน่ใจ ว่ามันรอดหรือว่ามันตายแล้ว”
สุริยะทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำ พร้อมทั้งดึงร่างบางของจันทร์ดาราขึ้นมาด้วย ชายหนุ่มลากหญิงสาวฝ่าสายน้ำที่เริ่มไหลเชี่ยวเข้าหาโขดหินใหญ่ และปีนขึ้นไปนั่งหอบหายใจจนตัวโยนด้วยกันทั้งคู่ ดีหน่อยที่น้ำลึกและเขาก็กอดหญิงสาวแน่นทำให้ร่างของเธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน
“โอ๊ย...อีตาบ้า ไม่มีหัวคิดรึไง ถึงได้กระโดดลงน้ำตกแบบนี้”
“เพราะมีหัวไง เลยต้องโดดลงมานี่ ถ้าไม่โดด คุณคิดว่าเราจะรอดเหรอ”
จันทร์ดาราค้อนใส่ร่างหนาขวับๆ ใส่คนมีหัวคิด และยื่นมือให้สุริยะช่วยแกะเชือกให้ อดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า ‘นี่มีหัวคิดแล้วนะ ถ้าไม่มีหัวคิดเธอคงตายแน่ อีตาบ้าเอ๊ย!’
“แกะเชือกให้หน่อย”
เสียงห้วนๆ ที่ไม่คิดจะขอร้องด้วยเสียงหวาน ทำให้สุริยะเบ้ปากมองเธอหมิ่นๆ
“พูดเพราะๆ ไม่เป็นรึไง หรือคิดว่าเป็นลูกสาวนายพล แล้วจะเหยียบหัวใครก็ได้”
“นี่! ฉันก็พูดดีแล้วนะ เพียงแต่ไม่มีคำลงท้ายว่าคะขาเท่านั้น แล้วที่สำคัญเท้าฉันก็เหยียบบนหิน ไม่ได้เหยียบบนหัวนายเลยสักนิด”
“อายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมพูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ ที่โรงเรียนไม่มีสอนหรือไง ว่าเวลาพูดจากับผู้ใหญ่น่ะ ต้องพูดยังไงบ้าง เอ...คุณก็น่าจะเรียนโรงเรียนผู้ดีหรอกนะ แต่ทำไม...”
“ทำไมอะไร พูดให้ดีๆ นะ”
“เปล่า อย่ารู้เลย รู้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา” สุริยะแกะเชือกที่ผูกข้อมือบางออก “คุณชื่ออะไร”
จันทร์ดาราได้ยิน แต่ทำเป็นไม่ได้ยินไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียอย่างนั้น
“ผมถามว่าชื่ออะไร ไม่ได้ยินรึไง” สุริยะต้องถามซ้ำ
“แล้วนายมาจากไหน ทำไมไม่รู้ว่าฉันชื่ออะไร แล้วถ้าช่วยผิดคนจะทำยังไง”
ดูจากชุดทหารก็รู้แล้วว่าพ่อเธอคงส่งมาช่วย
“ก็คิดซะว่าทำบุญไง คุณคิดว่าผมอยากช่วยคุณนักเหรอ ผมรู้แต่หน้าตาและรูปร่าง เขาบอกเหมือนกันว่าชื่ออะไร แต่ไม่ใส่ใจเพราะถึงจะจำชื่อได้ แต่ถ้าจำหน้าไม่ได้ก็ไลฟ์บอย”
สุริยะแบมือออกด้านข้าง และยักไหล่ขึ้นน้อยๆ ด้วยท่าทีกวนประสาท
จันทร์ดาราทำหน้าย่นอย่างไม่พอใจผู้ชายข้างหน้านี้เลย ถ้าไม่ติดว่าต้องพึ่งพาเขา เธอจะเอาไม้ฟาดปากให้สลบเหมือดไปเลย
สุริยะเดินนำเลียบไปตามธารน้ำตก และไปหยุดลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
“จะบอกได้หรือยังว่าชื่ออะไร”
“นายก็บอกมาก่อนสิว่าชื่ออะไร” จันทร์ดาราย้อนถาม
“ผมชื่อพันตรีสุริยะ สุริโยปกรณ์ แต่ใครๆ เค้าก็เรียกผู้พันยะ” สุริยะยอมบอกก่อน
“ฉันชื่อจันทร์ดารา จักราพิมุข พ่อแม่เรียกว่าจันทร์เจ้า”
หญิงสาวจึงยอมบอกไปบ้าง แล้วต้องหน้างอง้ำ เมื่อสุริยะหัวเราะขำชื่อเธอจนตัวโยน
“คนอะไรชื่อจันทร์ดารา ชื่อเหมือนหนังโป๊ชะมัด”
“กรี๊ด! ไอ้บ้า ไอ้คนบ้า แล้วนายล่ะชื่อสุริยะได้ยังไง”
“ทำไมครับ ชื่อสุริยะมันเป็นยังไงไม่ทราบ”
สุริยะลอยหน้าลอยตาถามอย่างยียวน
“ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่แปลก แต่นายน่ะมันดำปิ๊ดปี๋ต้องชื่อราหูมากกว่า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ นายราหู...”
ว่าแล้วจันทร์ดารา ก็เท้าสะเอวเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ
“ราหูเหรอ ได้...งั้นผมจะเป็นราหูอมจันทร์ให้คุณดู”
สุริยะบอก ก่อนกระชากร่างบางเข้าหา ใช้มือทั้งสองข้างกุมแก้มนวลกระชับ และบดขยี้ปากร้อนๆ แนบปากนุ่มอย่างรุนแรง
จันทร์ดาราถึงกับอ่อนปวกเปียก เพราะไม่เคยถูกจูบมาก่อน รางบางอ่อนระทวยเอนกายเข้าหาร่างสูงอย่างไม่รู้ตัว กลีบปากนุ่มถูกแยกแย้มด้วยปลายลิ้นสาก และสอดแทรกดูดดื่มความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าอย่างหิวกระหาย ความหวานที่ได้รับนั้น ทำให้เขาลืมตัวเบียดต้นขากำยำแทรกขาเรียวและแยกออกกว้าง เบียดแนบความแข็งแกร่งเข้าหาความอ่อนนุ่มอย่างเร่าร้อน
เมื่อจูบจนพอใจ สุริยะก็ถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย สีหน้าและดวงตาที่มองจันทร์ดารานั้นแวววาวคล้ายกำลังเยาะหยันอะไรบางอย่าง ก่อนวาจาสามหาวจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป
“เป็นไงล่ะ เจอฤทธิ์ราหูอมจันทร์เข้าไปถึงกับเข่าอ่อนเลยเหรอ ถ้าอยากได้อีกก็บอกนะ จะจัดให้ตามที่ขอ”
“เพียะ”
เสียงฝ่ามือสะบัดใส่แก้มสาก ใบหน้าดำๆ หันไปตามแรงตบ ก่อนจะหันกลับมามองคนที่กล้าตบหน้าเขาเป็นคนแรกด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่ชั่วครู่เดียวมุมปากลึกก็ขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน
“ผู้หญิงตบ เขาว่าผู้หญิงรัก แต่สำหรับคุณคงอยากได้มากกว่าจูบ ถึงได้ตบผมซะจนหน้าชาแบบนี้”
“เชิญค่ะ ตามสบาย” “ไม่ทราบว่าเป็นพนักงานใหม่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า แต่เอ...ไม่ยังรู้ว่าเขารับคนท้องเข้าทำงานด้วย” จันทร์ดาราเกือบหัวเราะ นี่เธอดูเหมือนเป็นพนักงานของที่นี่งั้นเหรอ งั้นก็ฟอร์มทำเป็นพนักงานต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาไม้ไหน “ค่ะ ดิฉันโชคดีค่ะ ที่เอส.เอส.เค.รับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่ท้องแก่” “อ๋อ...ที่บริษัทนี้มีสวัสดิการดีมากเลยครับ สงสัยจะไม่เลือกว่าท้องไม่ท้อง แต่คงเลือกที่ความสามารถมากกว่า” “นั่นสิคะ ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ แล้วทำงานในตำแหน่งอะไร” “ผมชื่อวิสุทธิ์ วิชยะชัยเจริญ ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายคิวซีครับ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร ทำงานแผนกไหน” จันทร์ดารานิ่งคิดชั่วครู่ จะบอกเขาดีไหมนะว่าเธอเป็นใคร หรือจะปล่อยให้เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ‘อืม...พี่ยะก็เคยหลอกเรานี่นา อยากรู้จังว่าความรู้สึกหลอกใครบางคนได้นั้น มันเป็นยังไง’ “ดิฉันจันทร์ดารา จักราพิมุขค่ะ ทำงานอยู่...แผนก...เอ่อ...เลขานุการค่ะ” “ห๊า...เลขานุการเหรอ
หัวใจของเธอกลั่นกรองความรู้สึกแล้วส่งไปให้ปลายลิ้นและเรียวปาก ซึ่งกำลังมอบความสุขให้คนรักอย่างตั้งใจ ปลายลิ้นสะบัดกวัดไกวประสานงานกับเรียวนิ้วทั้งห้า ร่างกำยำไหวยะเยือกตัวสั่นสะเทิ้ม มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ที่รักจ๋า พี่...จะขาดใจ...อยู่แล้ว...คนดี” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ความสุขกำลังทะยานจนใกล้จะถึงขีดสุด จันทร์ดาราลุกขึ้นนั่งหันหลังบนตักกว้าง ครอบครองแก่นกายที่กำลังสะท้านเจียนขาดใจรอมร่อ เธอเท้ามือยันที่เท้าแขนแล้วเริ่มห่มสะโพกผายขึ้นลง “จำไว้นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราหูก็ต้องอยู่คู่กับพระจันทร์” ร่างสองร่างขยับสอดคล้องกันบนรถวีลแชร์ ความคับแคบหาได้เป็นอุปสรรค ความรักที่บรรจงมอบให้แก่กันและกันจนรุ่มร้อน ไฟรับโอบล้อมรอบกายของทั้งคู่ จนห้องน้ำนั้นร้อนระอุ เสียงครวญครางไม่เป็นประสาดังสอดประสานกัน เหมือนกับดวงใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน กว่าที่ทั้งคู่จะลงมาจากห้องหอเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง หม่อมหลวงสุริยะ แสงสุรียกานต์ต้องทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่ออีกสองเดือน กว่าที่เ
ร่างหนาโหมสะโพกถาโถมเต็มกำลัง เหมือนเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องเร็วเต็มสปีด เท่าที่พละกำลังทั้งหมดจะเอื้ออำนวย ไฟรักไม่เคยมอดดับตราบใดที่ลมหายใจแห่งรักยังคงดำเนินอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หัวใจสองดวงก็ยังคงเชื่อมต่อกันอย่างโหยหา สุริยะคำรามลั่นเมื่อถึงวินาทีสุดท้าย หยาดรักชโลมอยู่ภายในความคับแน่น และชายหนุ่มก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องได้ลูกหัวปีท้ายปีให้ได้ เขาอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกตัวน้อยวิ่งเล่นกันเต็มบ้าน เวลาไปไหนมาไหนทีเขาก็จะอุ้มลูกหนึ่งคน จูงหนึ่งคน และให้แม่เขาจูงอีกคนหนึ่ง เท่านั้นแหละครอบครัวที่สุริยะต้องการ “โอย...นี่ขนาดยังบาดเจ็บอยู่ พี่ยะยังมีแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ” เสียงหวานของคนในอ้อมกอดสั่นพร่า แต่ดวงตาไหววับล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านม่านลูกไม้โปร่งบาง เธอกับเขายังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ส่งตัวเข้าหอ ป่านนี้คนข้างล่างคงชะเง้อชะแง้รอคอยแล้ว “เรี่ยวแรงพี่ยังคงเหมือนม้าศึกไม่เปลี่ยนหรอกที่รัก ว่าแต่...เราจะต่อกันอีกรอบหนึ่งดีไหม” “ไม่ดีค่ะ ชิ...เห็นหน้าจันทร์เจ้าก็คิดเป็นแต่เรื่องเดียว ลุ
ชายหนุ่มหันไปจูบแก้มเนียนนุ่มหนักๆ แล้วทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความรักและความห่วงหาอาทรในยามที่รู้ว่าคนรักกำลังจะมีลูก แต่คนเป็นพ่อกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนแหม็บอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล แล้วยังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเดินไม่ได้เหมือนปกติ ทำให้เขาอยากลองใจหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ ว่าถ้าเขากลายเป็นคนพิการทั้งหน้าตาและร่างกาย เมียรักจะรับเขาได้ไหมและจะยังรักเขาเหมือนเดิมรึเปล่า “จันทร์เจ้ารังเกียจคนพิการอย่างพี่รึเปล่า” หญิงสาวไม่ตอบ เวลานี้เธออยากใช้ภาษากายบอกเขา ว่าเธอรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน คำว่ารังเกียจตัดทิ้งไปได้เลย ไม่ว่าสุริยะจะกลับมาด้วยร่างกายที่ครบ 32 หรือไม่ เธอก็ยังรักเขาไม่เสื่อมคลาย มือบางปลดกระดุมเสื้อสูทสีขาวเช่นเดียวกับชุดเจ้าสาวของเธอจนหมดแถว และช่วยถอดออกจากร่างหนา ไม่สนใจดวงตาคมกริบซึ่งมองใบหน้างดงามของคนตั้งอกตั้งใจปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออก มองการกระทำอันแสนน่ารักซึ่งทำให้ด้วยความเต็มใจ “ที่รัก...ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าพี่ไปเจอกับอะไรมาบ้าง” “อยากรู้ค่ะ แต่อยากรู้เรื่องอื่นก่อน”
“โอ๊ย! ปล่อยนะ คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้กับฉัน” กลีบปากและจมูกร้อนๆ ซุกไซ้ไปตามลำคอหอมกรุ่ม ไม่สนใจมือบางที่ดันใบหน้าเหวอะหวะเอาไว้แน่น คนตัวโตลืมตัวลืมใจปล่อยให้ความต้องการเข้าครอบงำ ลืมแม้กระทั่งความลับที่ต้องการจะปกปิด แต่คนตัวเล็กนั้นหาได้ลืมตัวไปกับสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น จริงสิ...อ้อมกอดแบบนี้ รวมถึงกลิ่นกายที่คุ้นจมูก ทำไมช่างเหมือนกันนัก มือบางลูบไปตามแผลแห้งกรังนั้น รู้สึกแปลกใจว่าทำไมแผลนั้นมันไม่มีเปียกชื้นจากเลือดหรือน้ำเหลือง ทั้งที่มองไกลๆ ก็เหมือนว่ามันเหวอะหวะดูน่ากลัวนัก แต่ทำไม... หม่อมหลวงตะวันชะงักและดันหน้าออกห่างอย่างรวดเร็ว เมื่อสำนึกได้ว่ามือน้อยกำลังสำรวจไปทั่วใบหน้า “อย่า!” เขาลืมตัวร้องห้ามเสียงหลง ทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ยิ่งได้ใจ ความรู้สึกบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น “ทำไมแผลถึงแห้งแบบนี้ ทั้งที่ดูเหมือนมันเปียกแฉะ” มือใหญ่ตะครุบมือบางไม่ให้แตกถูกไรผม แต่ช้าไปเสียแล้ว กลิ่นหอมจากกายอิ่มทำให้สมองของเขาสั่งงานช้าไปกว่าเธอหนึ่งก้าว จันทร์ดา
“หม่อมหลวงตะวัน แสงสุรียกานต์เหรอคะ” “สวัสดีครับน้องจันทร์เจ้า วันนี้ดูสวยมากจริงๆ” หม่อมหลวงตะวันแย้มยิ้มในขณะพูด แต่ไม่ว่าเขาจะยิ้มกว้างขนาดไหน ความน่ากลัวบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยถดถอยลง “พูดยังกับเราเคยเจอกันงั้นแหละ” “เราเคยเจอกันแล้ว แต่น้องจันทร์เจ้าคงลืมพี่คนนี้ไปนานแล้ว” “เอ่อ...” คุณหญิงชดช้อยเข้ามาห้ามทับ เพราะถ้าขืนยังพูดคุยกันต่อไปแบบนี้ งานแต่งงานคงไม่ได้เริ่มขึ้นแน่ “แม่ว่าเราควรเริ่มงานได้แล้ว อ้อ...นายอำเภอมาถึงพอดี” “คุณแม่คะ” จันทร์ดาราอยากปฏิเสธงานแต่งงานในครั้งนี้เหลือเกิน เธอไม่เคยคิดรังเกียจคนพิการ แต่ก็ไม่เคยคิดจะมีสามีเป็นคนพิการแบบนี้ ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกคนท้องอย่างเธอเป็นเมีย นี่คงหมดสมรรถภาพทางเพศด้วยกระมัง ถึงอยากได้คนที่กำลังท้องเป็นเมีย บิดาหันมาส่งตาดุห้ามปรามบุตรสาว เขารู้ดีว่าจันทร์ดารากำลังจะพูดอะไร แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลานในท้องจะต้องมีพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าสาวแสนสวยถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า แล้วก้าว