จันทร์ดาราก้าวถอยหลังทันทีที่สุริยะก้าวเข้าหา หนึ่งก้าวต่อหนึ่งก้าว หญิงสาวมองร่างสูงอย่างหวาดผวา ริมฝีปากบ่วมเจ่อจากการถูกจูบอย่างรุนแรงนั้นสั่นระริก ดวงตาคู่สวยฉายชัดถึงความหวาดกลัวคนตรงหน้า
“อย่าเข้ามานะ ถ้านายทำอะไรฉันล่ะก็ ฉันจะฟ้องพ่อจริงๆ ด้วย แล้วฉันจะบอกพ่อให้ไล่นายออกจากราชการ”
“เหรอ...อย่าลืมบอกด้วยล่ะ ว่าได้พันตรีสุริยะเป็นผัวตั้งแต่อยู่กลางป่าแล้ว”
“อ๊าย...คนบ้า ถึงฉันจะดูง่าย แต่ฉันก็เลือกนะยะ” จันทร์ดาราบอกเสียงหลง แต่เท้าบางที่เดินถอยหลังไปทีละก้าว ต้องหยุดนิ่ง เมื่อแผ่นหลังชนเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง
“ผมไม่อยากเป็นตัวเลือกของคุณหรอก” สุริยะก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกชิดกัน “แต่ถ้าแก้ขัดล่ะก็พอได้”
“เอาหน้าดำๆ ของนายออกไปนะนายราหู ไม่งั้น...ฉันจะร้องจริงๆ ด้วย” จันทร์ดาราเบี่ยงหน้าหลบปลายจมูกโด่งที่เอียงวูบเพียงให้ริมฝีปากทำงานได้ถนัดถนี่
“เชิญเลย ถ้าคุณไม่กลัวพวกมันมาตามไล่ล่าอีก ก็เอาสิ” สุริยะขู่เสียงดุ แต่ดวงตานั้นพราวระยับ
จันทร์ดาราจึงหุบปากฉับ และเม้มปากแน่นเมื่อเรียวปากร้อนผ่าวแตะทาบเบาๆ แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดชะงักเสียดื้อๆ ไม่บดคลึงและไม่ถอยห่าง ไม่พูดไม่จา นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว แล้วจันทร์ดาราก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้ กลีบปากนุ่มขยับเพียงเล็กน้อย ตั้งใจจะบอกให้สุริยะถอยห่าง แต่เธอก็เสียทีจนได้ เมื่อคนเจ้าเล่ห์รอเวลานี้อยู่พอดี เพราะทันทีที่กลีบปากนุ่มเผยอแย้มเรียวปากหนาก็บดคลึงและสอดเรียวลิ้นทักทายลิ้นนุ่ม ยั่วเย้าและหลอกล่อให้เรียวลิ้นนุ่มตามติดเข้ามาในโพรงปากร้อน
มือบางที่ยันอกกว้างเอาไว้ไต่ขึ้นไปโอบรอบลำคอหนาอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้จันทร์ดารากำลังรู้สึกว่าถูกราหูอมจันทร์เข้าจริงๆ ร่างกายของเธอร้อนวูบวาบแต่เส้นขนในกายลุกชันราวกับหนาวเหน็บ ความรู้สึกกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และเผลอตัวเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ
“จูบแรกล่ะสินะ ขอโทษด้วยที่ผมเป็นคนได้มันไป แต่ขอชมหน่อยนึงว่าหวานชะมัด”
สุริยะบอก เมื่อถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย
จันทร์ดาราเริ่มรู้สึกตัว และผลักร่างหนาออกเต็มแรง มือบางยกหลังมือขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเองแรงๆ ก่อนกระโดดไปตามก้อนหินและนั่งยองๆ ริมธารน้ำตก วักน้ำขึ้นล้างปากหลายๆ ครั้งด้วยท่าทีรังเกียจสัมผัสจากเขา
“โอ๊ย...ไม่ทันแล้วมั้ง รสจูบของผมมันคงฝังลึกเข้าไปในหัวใจของคุณแล้วล่ะ”
เสียงยั่วเย้าอย่างอารมณ์ดีดังไล่ตามมา
จันทร์ดาราจึงลุกขึ้น และก้าวฉับๆ เดินนำหน้าไปอีกทางอย่างฉุนเฉียว เธออยากบริภาษคนปากปีจอให้สาแก่ใจ แต่ก็กลัวจะถูกลงโทษด้วยการกระทำอันจาบจ้วงอีก หญิงสาวทำปากขมุบขมิบเจริญพรสุริยะไปตลอดเวลา และไม่คิดจะหันมามองว่านายราหูจะเดินตามมาหรือไม่
“นี่คุณ...แถวนี้ไม่มีควายให้คุณไล่หรอกนะ จะรีบเดินไปไหนกัน แล้วรู้เหรอว่าต้องเดินไปทางนั้น”
“ข้างหน้าฉันไม่มี แต่ข้างหลังฉันมี และฉันก็ไม่ได้เดินไล่ควายนะ แต่ฉันกำลังเดินหนีควายที่ไล่ตามมาต่างหาก”
“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ก็สวยสิ” สุริยะสาวเท้าเร็วขึ้น ไล่ตามคนตัวบางไปติดๆ
“เชอะ สวยอยู่แล้วย่ะ ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก ฉันส่องกระจกอยู่ทุกวัน”
สุริยะกระชากแขนบางจนจันทร์ดาราปลิวเข้ามาปะทะอกกว้าง
“คุณนี่นะ...มันน่าจะเอาผงซักฟอกมาล้างปากจริงๆ เสียดายหน้าตาก็สะสวย แต่ปากเสียชะมัด”
“แล้วนายมันต่างกับฉันตรงไหนกัน นายก็ปากปีจอไม่แพ้ฉันหรอกน่ะ”
“จะบอกอะไรให้ ผู้หญิงปากปลาร้าอย่างคุณ ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้ไปทำเมียหรอก ผมทำนายได้เลย ว่าคุณต้องขึ้นคานแหงๆ”
“ฮึ ฉันเพิ่งจะอายุ 23 ยังห่างไกลจากคำนั้นอีกเยอะ แต่...อย่างนายนี่...คงใกล้จะ 40 แล้วถ้าให้ฉันเดา นายก็คงยังไม่มีเมียหรอกจริงมั้ย คำว่าขึ้นคานควรจะเก็บไว้ใช้กับตัวเองดีกว่าล่ะมั้ง นายราหู...”
จันทร์ดาราจีบปากจีบคอพูด แถมยังลอยหน้าลอยตาไปมาอย่างน่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ด
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ผมอายุ 34 ครับคุณผู้หญิง แล้วคำว่าขึ้นคาน เขาก็ใช้เฉพาะสาวแก่ไม่มีผัวเท่านั้น”
ระหว่างที่กำลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่นั้น สายตาของจันทร์ดาราก็มองเห็นโขลงช้างป่าที่เดินต่อแถวมากินน้ำ มีทั้งตัวใหญ่ ที่เธอคิดว่าคงจะเป็นตัวพ่อหรือตัวแม่ และตัวเล็กๆ ก็คงจะเป็นตัวลูกเดินตามกันมา
“นี่ๆ นายราหู ดูนั่นสิ”
สุริยะขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองตามนิ้วที่ตวัดขึ้นชี้ไปยังโขลงช้างป่า ผู้พันหนุ่มถึงกับคลายปมที่หัวคิ้ว เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างตื่นเต้นของจันทร์ดารา หญิงสาวแทบกระโดดเหมือนเด็กที่พ่อแม่พามาเที่ยวสวนสัตว์ และแทบถลาเข้าไปหา ถ้าไม่ติดว่าอยู่คนละฟากฝั่งธารน้ำ
“เชิญค่ะ ตามสบาย” “ไม่ทราบว่าเป็นพนักงานใหม่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า แต่เอ...ไม่ยังรู้ว่าเขารับคนท้องเข้าทำงานด้วย” จันทร์ดาราเกือบหัวเราะ นี่เธอดูเหมือนเป็นพนักงานของที่นี่งั้นเหรอ งั้นก็ฟอร์มทำเป็นพนักงานต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาไม้ไหน “ค่ะ ดิฉันโชคดีค่ะ ที่เอส.เอส.เค.รับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่ท้องแก่” “อ๋อ...ที่บริษัทนี้มีสวัสดิการดีมากเลยครับ สงสัยจะไม่เลือกว่าท้องไม่ท้อง แต่คงเลือกที่ความสามารถมากกว่า” “นั่นสิคะ ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ แล้วทำงานในตำแหน่งอะไร” “ผมชื่อวิสุทธิ์ วิชยะชัยเจริญ ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายคิวซีครับ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร ทำงานแผนกไหน” จันทร์ดารานิ่งคิดชั่วครู่ จะบอกเขาดีไหมนะว่าเธอเป็นใคร หรือจะปล่อยให้เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ‘อืม...พี่ยะก็เคยหลอกเรานี่นา อยากรู้จังว่าความรู้สึกหลอกใครบางคนได้นั้น มันเป็นยังไง’ “ดิฉันจันทร์ดารา จักราพิมุขค่ะ ทำงานอยู่...แผนก...เอ่อ...เลขานุการค่ะ” “ห๊า...เลขานุการเหรอ
หัวใจของเธอกลั่นกรองความรู้สึกแล้วส่งไปให้ปลายลิ้นและเรียวปาก ซึ่งกำลังมอบความสุขให้คนรักอย่างตั้งใจ ปลายลิ้นสะบัดกวัดไกวประสานงานกับเรียวนิ้วทั้งห้า ร่างกำยำไหวยะเยือกตัวสั่นสะเทิ้ม มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ที่รักจ๋า พี่...จะขาดใจ...อยู่แล้ว...คนดี” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ความสุขกำลังทะยานจนใกล้จะถึงขีดสุด จันทร์ดาราลุกขึ้นนั่งหันหลังบนตักกว้าง ครอบครองแก่นกายที่กำลังสะท้านเจียนขาดใจรอมร่อ เธอเท้ามือยันที่เท้าแขนแล้วเริ่มห่มสะโพกผายขึ้นลง “จำไว้นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราหูก็ต้องอยู่คู่กับพระจันทร์” ร่างสองร่างขยับสอดคล้องกันบนรถวีลแชร์ ความคับแคบหาได้เป็นอุปสรรค ความรักที่บรรจงมอบให้แก่กันและกันจนรุ่มร้อน ไฟรับโอบล้อมรอบกายของทั้งคู่ จนห้องน้ำนั้นร้อนระอุ เสียงครวญครางไม่เป็นประสาดังสอดประสานกัน เหมือนกับดวงใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน กว่าที่ทั้งคู่จะลงมาจากห้องหอเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง หม่อมหลวงสุริยะ แสงสุรียกานต์ต้องทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่ออีกสองเดือน กว่าที่เ
ร่างหนาโหมสะโพกถาโถมเต็มกำลัง เหมือนเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องเร็วเต็มสปีด เท่าที่พละกำลังทั้งหมดจะเอื้ออำนวย ไฟรักไม่เคยมอดดับตราบใดที่ลมหายใจแห่งรักยังคงดำเนินอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หัวใจสองดวงก็ยังคงเชื่อมต่อกันอย่างโหยหา สุริยะคำรามลั่นเมื่อถึงวินาทีสุดท้าย หยาดรักชโลมอยู่ภายในความคับแน่น และชายหนุ่มก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องได้ลูกหัวปีท้ายปีให้ได้ เขาอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกตัวน้อยวิ่งเล่นกันเต็มบ้าน เวลาไปไหนมาไหนทีเขาก็จะอุ้มลูกหนึ่งคน จูงหนึ่งคน และให้แม่เขาจูงอีกคนหนึ่ง เท่านั้นแหละครอบครัวที่สุริยะต้องการ “โอย...นี่ขนาดยังบาดเจ็บอยู่ พี่ยะยังมีแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ” เสียงหวานของคนในอ้อมกอดสั่นพร่า แต่ดวงตาไหววับล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านม่านลูกไม้โปร่งบาง เธอกับเขายังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ส่งตัวเข้าหอ ป่านนี้คนข้างล่างคงชะเง้อชะแง้รอคอยแล้ว “เรี่ยวแรงพี่ยังคงเหมือนม้าศึกไม่เปลี่ยนหรอกที่รัก ว่าแต่...เราจะต่อกันอีกรอบหนึ่งดีไหม” “ไม่ดีค่ะ ชิ...เห็นหน้าจันทร์เจ้าก็คิดเป็นแต่เรื่องเดียว ลุ
ชายหนุ่มหันไปจูบแก้มเนียนนุ่มหนักๆ แล้วทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความรักและความห่วงหาอาทรในยามที่รู้ว่าคนรักกำลังจะมีลูก แต่คนเป็นพ่อกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนแหม็บอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล แล้วยังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเดินไม่ได้เหมือนปกติ ทำให้เขาอยากลองใจหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ ว่าถ้าเขากลายเป็นคนพิการทั้งหน้าตาและร่างกาย เมียรักจะรับเขาได้ไหมและจะยังรักเขาเหมือนเดิมรึเปล่า “จันทร์เจ้ารังเกียจคนพิการอย่างพี่รึเปล่า” หญิงสาวไม่ตอบ เวลานี้เธออยากใช้ภาษากายบอกเขา ว่าเธอรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน คำว่ารังเกียจตัดทิ้งไปได้เลย ไม่ว่าสุริยะจะกลับมาด้วยร่างกายที่ครบ 32 หรือไม่ เธอก็ยังรักเขาไม่เสื่อมคลาย มือบางปลดกระดุมเสื้อสูทสีขาวเช่นเดียวกับชุดเจ้าสาวของเธอจนหมดแถว และช่วยถอดออกจากร่างหนา ไม่สนใจดวงตาคมกริบซึ่งมองใบหน้างดงามของคนตั้งอกตั้งใจปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออก มองการกระทำอันแสนน่ารักซึ่งทำให้ด้วยความเต็มใจ “ที่รัก...ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าพี่ไปเจอกับอะไรมาบ้าง” “อยากรู้ค่ะ แต่อยากรู้เรื่องอื่นก่อน”
“โอ๊ย! ปล่อยนะ คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้กับฉัน” กลีบปากและจมูกร้อนๆ ซุกไซ้ไปตามลำคอหอมกรุ่ม ไม่สนใจมือบางที่ดันใบหน้าเหวอะหวะเอาไว้แน่น คนตัวโตลืมตัวลืมใจปล่อยให้ความต้องการเข้าครอบงำ ลืมแม้กระทั่งความลับที่ต้องการจะปกปิด แต่คนตัวเล็กนั้นหาได้ลืมตัวไปกับสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น จริงสิ...อ้อมกอดแบบนี้ รวมถึงกลิ่นกายที่คุ้นจมูก ทำไมช่างเหมือนกันนัก มือบางลูบไปตามแผลแห้งกรังนั้น รู้สึกแปลกใจว่าทำไมแผลนั้นมันไม่มีเปียกชื้นจากเลือดหรือน้ำเหลือง ทั้งที่มองไกลๆ ก็เหมือนว่ามันเหวอะหวะดูน่ากลัวนัก แต่ทำไม... หม่อมหลวงตะวันชะงักและดันหน้าออกห่างอย่างรวดเร็ว เมื่อสำนึกได้ว่ามือน้อยกำลังสำรวจไปทั่วใบหน้า “อย่า!” เขาลืมตัวร้องห้ามเสียงหลง ทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ยิ่งได้ใจ ความรู้สึกบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น “ทำไมแผลถึงแห้งแบบนี้ ทั้งที่ดูเหมือนมันเปียกแฉะ” มือใหญ่ตะครุบมือบางไม่ให้แตกถูกไรผม แต่ช้าไปเสียแล้ว กลิ่นหอมจากกายอิ่มทำให้สมองของเขาสั่งงานช้าไปกว่าเธอหนึ่งก้าว จันทร์ดา
“หม่อมหลวงตะวัน แสงสุรียกานต์เหรอคะ” “สวัสดีครับน้องจันทร์เจ้า วันนี้ดูสวยมากจริงๆ” หม่อมหลวงตะวันแย้มยิ้มในขณะพูด แต่ไม่ว่าเขาจะยิ้มกว้างขนาดไหน ความน่ากลัวบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยถดถอยลง “พูดยังกับเราเคยเจอกันงั้นแหละ” “เราเคยเจอกันแล้ว แต่น้องจันทร์เจ้าคงลืมพี่คนนี้ไปนานแล้ว” “เอ่อ...” คุณหญิงชดช้อยเข้ามาห้ามทับ เพราะถ้าขืนยังพูดคุยกันต่อไปแบบนี้ งานแต่งงานคงไม่ได้เริ่มขึ้นแน่ “แม่ว่าเราควรเริ่มงานได้แล้ว อ้อ...นายอำเภอมาถึงพอดี” “คุณแม่คะ” จันทร์ดาราอยากปฏิเสธงานแต่งงานในครั้งนี้เหลือเกิน เธอไม่เคยคิดรังเกียจคนพิการ แต่ก็ไม่เคยคิดจะมีสามีเป็นคนพิการแบบนี้ ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกคนท้องอย่างเธอเป็นเมีย นี่คงหมดสมรรถภาพทางเพศด้วยกระมัง ถึงอยากได้คนที่กำลังท้องเป็นเมีย บิดาหันมาส่งตาดุห้ามปรามบุตรสาว เขารู้ดีว่าจันทร์ดารากำลังจะพูดอะไร แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลานในท้องจะต้องมีพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าสาวแสนสวยถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า แล้วก้าว