บทที่
1
โลกของนิยาย
หลังจากที่ดวงวิญญาณออกจากร่าง เจ้านายก็ถูกกระแสคลื่นของกาลเวลาพัดพาร่างโปร่งใสของตัวเองล่องลอยไปบนผืนฟ้าที่กว้างใหญ่ เขาที่ไร้ญาติขาดมิตรจึงได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ ว่า “จบสิ้นกันสักที ชีวิตเฮงซวยแบบนี้ตายไปก็ดีเหมือนกัน”
ว่าได้เพียงแค่นั้นเขาก็แหงนหน้ามองท้องนภาที่สดใสตรงหน้า เพราะคิดไปเองว่าตัวเขาถึงจะทำความชั่วมาอยู่บ้าง แต่ด้วยความดีที่มีอันน้อยนิดของตัวเองจึงทำให้เขาได้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นฟ้า
และอีกไม่นานก็คงมีเหล่านางฟ้านางสวรรค์ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักหลายร้อยตนเข้ามาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย
คิดมาถึงตรงนี้ริมฝีปากบางก็ขยับยกขึ้นอย่างพออกพอใจเต็มที่ ก่อนเจ้าตัวอ้าแขนของตัวเองออกจนสุด เพื่อชีวิตใหม่ที่แสนสุขนี้เอาไว้ด้วยความเต็มใจ
แต่แล้วในขณะนั้นเองก็มีสายลมวูบหนึ่งโบกพัดไปมาอย่างรุนแรง จนทำให้ดวงวิญญาณของเขาปลิวกระเด็นไปตามแรงลมหอบนี้แบบกะทันหัน
เจ้านายที่ถูกลมพัดปลิวได้แต่ร้องเสียงหลงออกมาอย่างตกอกตกใจว่า “เฮ้ย...อะไรของมันวะ...นี่ขนาดตายแล้ว ยังดวงซวยอีกหรือไง” แล้วได้แต่มองท้องฟ้าสีครามที่สุกสกาวที่กำลังห่างออกไป อย่างหวนถวิลหาด้วยสายตาเศร้าโศก
เพราะดูเหมือนสายลมผืนนี้จะพัดพาร่างโปร่งใสของเขา ให้ปลิวไปไกลจากท้องนภาเข้าทุกที จนไม่รู้ว่าตัวเองจะไปตกอยู่ในที่แห่งหนใด
ทว่าในขณะที่เจ้านายอยู่ในภาวะชอกช้ำระกำใจ จู่ๆ ท้องฟ้าที่แสนสดใสที่อยู่ไกลลิบตา ก็แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นความมืดในยามราตรีเสียอย่างนั้น
ส่งผลให้เจ้านายที่ได้เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับหน้าซีดปากสั่น แล้วอดไม่ได้ที่จะผรุสวาทอย่างหยาบคายว่า “ฉิบหายแล้วไม่ล่ะ เป็นนักฆ่ารับจ้างแค่นี้ถึงกับต้องตกนรกเลยเหรอ” ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ ตัวของตัวเองไปมา ก็เห็นว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่นรกที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้
เจ้านายจึงพึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ “นรกทำไมหน้าตาถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ” เนื่องจากภาพที่เห็นมีเพียงมืดปกคลุมไปทั่วทุกแห่งหน เขาจึงได้แต่พยายามที่จะหยัดกายยืนขึ้นเพื่อหาทางหนีกลับขึ้นไป
เจ้านายพยายามอยู่นาน อีกทั้งร่างของเขาก็ยังคงถูกลมหอบพัดพาไป อยากจะกลับไปที่เก่าเท่าไรก็ทำไม่ได้สักที
พอรู้ตัวแล้วว่าไม่อาจขัดขืนโชคชะตานี้ได้แล้วจริงๆ นัยน์ตาสีเข้มกลอกก็พลันกลิ้งไปมาอย่างตื่นตกใจเต็มที่ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแนบบนผิวแก้มของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับพูดออกไปด้วยสีหน้าตื่นๆ ว่า “ต้องตกนรกจริงๆ น่ะเหรอ ไม่นะ...”
แต่แล้วในขณะที่ร่างกายของตัวเองกำลังร่วงหล่นอยู่ในความมืดมิดนั้นเอง ภาพเบื้องหน้าก็พลันแตกร้าว ราวกับเป็นจิ๊กซอร์ที่ถูกฝ่ามือใหญ่มาขยุ้มแรงๆ
จนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วร่วงกราวลงมา เผยให้เห็นห้องสีขาวสะอาดตาห้องหนึ่ง ที่ไม่มีแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ใดๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้านายที่เพิ่งพบเจอเรื่องพิลึกพิลั่นมาก่อนหน้า จึงไม่ได้ตื่นตกใจมากมายสักเท่าไร พร้อมกับมองไปรอบๆ ห้องนี้อยู่พักใหญ่ จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
ส่งผลให้นัยน์สีเข้มพราวระยับอย่างตื่นเต้น เมื่อตัวเองคิดไปไกลว่าสวรรค์คงเมตตาที่เขาไม่เคยตบยุงเลยสักครั้ง
เลยทำให้ได้ขึ้นมาเป็นเทพอยู่บนสรวงสวรรค์ เขาจึงพูดพึมพำออกไปอย่างดีใจว่า “นี่หรือว่า...สวรรค์เห็นใจเราก็เลยให้เราขึ้นสวรรค์กัน...”
ทว่าพูดยังไม่ทันจบประโยคดี จู่ๆ ก็มีบานประตูไม้บานหนึ่งปรากฏออกมาตรงหน้า เจ้านายที่เห็นเช่นนั้น เขาก็กวาดตามองไปมารอบกายอีกที
ก็เห็นว่ารอบๆ กายของเขาในตอนนี้ ไม่ได้มีหนทางไหนให้เดินไปต่อแล้วจริงๆ เขาจึงชักสายตาคืนกลับมาจ้องมองบานประตูไม้ที่ปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้ง แล้วใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อประมวลเหตุการณ์เหล่านี้อีกที
ยืนนึกอยู่ได้พักหนึ่งเขาก็แค่นหัวเราะในลำคอออกมาหนึ่งที ก่อนจะสบถสบถพึมพำอยู่ในใจว่า ‘แกตายไปแล้วนะเจ้านาย แกกลัวว่าตัวเองจะต้องมาตายอีกรอบหรือยังไงกัน’
คิดมาถึงตรงนี้เจ้านายก็ส่ายศีรษะไปมาด้วยรอยยิ้มขำ กับความรักตัวกลัวตายของตัวเองในตอนนี้ แล้วตัดสินใจสาวเท้าไปที่บานประตูไม้ทันที
พอเดินไปถึงเขายื่นมือไปผลักให้แผ่นไม้ตรงหน้าให้เปิดอ้าทันใด และทันทีบานประตูไม้ตรงหน้าเปิดออก
สิ่งที่เห็นในครรลองสายตาก็ทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อภาพที่สะท้อนให้เห็นคือคนกลุ่มหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ไม่ต่างจากพนักงานออฟฟิศสักเท่าไร
แต่ละคนที่นั่งทำงานอยู่ในที่นี้ ต่างก็ใส่ชุดสูทสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า เบื้องหน้ามีคอมพิวเตอร์ที่ดูยังไงยังไงก็เป็นของมีราคา
โต๊ะที่นั่งของพวกเขาตั้งเรียงรายขนาบสองข้างทาง และเว้นที่ตรงกลางเป็นทางเดินซึ่งถูกปูด้วยพรมสีแดงทอดยาวไป และสุดปลายทางเดินนี้ก็มีบัลลังก์ใหญ่โตตั้งตระหง่านอย่างเดียวดาย
และทันทีที่เจ้านายก้าวขาเข้ามา ทุกๆ ต่างคนที่อยู่ภายในห้องนี้ต่างก็เหลียวหน้าหันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ส่งผลให้คนที่อยู่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ ได้แต่ยิ้มแหยออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะแก้เก้อไปมา พร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเขินๆ ว่า “ขอโทษครับไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คำตอบกลับมาแต่อย่างใด ก็มีเสียงของคนคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า “คุณศราวุธ ธนะปรีดา เกิดเมื่อวันที่สิบสี่ธันวาคมพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสี่สิบเจ็ด สิริอายุสิบเก้าปีบริบูรณ์พอดี ตายเพราะถูกกระสุนปืนขนาดจุดห้าศูนย์มอมอเจาะเข้าไปในกะโหลกศีรษะ”
ได้ยินดังนั้นเจ้านายจึงเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสายตาฉงน ก็เห็นว่าในตอนนี้เบื้องหน้าของเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ มือข้างหนึ่งถือหนังสือเล่มเบ้อเร่อเอาไว้
ส่งผลให้เจ้านายที่เห็นภาพเบื้องหน้าก็พอจะเดาได้รางๆ แล้วว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาว่า “หรือว่านี่จะเป็นนรก ทันสมัยจริงๆ แฮะ” เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่เหมือนกับที่ตัวเองเคยคิดไว้
แต่แล้วในขณะที่ตัวเองกำลังตื่นตาตื่นใจ ก็มีเสียงของคนที่พูดเมื่อครู่นี้ขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ผิดแล้วที่นี่ไม่ใช่นรก แต่เป็นโลกของนิยาย”
ส่งผลให้คนที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว อุทานออกมาอย่างตกอกตกใจว่า “หา” ก่อนจะกวาดตามองไปมารอบๆ กายอีกที
ก็เห็นว่าในเวลานี้ทุกๆ คนที่อยู่ในสายตาของเขาต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น แล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาเกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังคู่สนทนาตรงหน้า พร้อมกับถามออกไปด้วยสีหน้าตื่นๆ ว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ก็ผมตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงมาโผล่ที่โลกแห่งนิยายนี่ได้ล่ะ”
สิ้นเสียงดังกล่าว คนที่อยู่บนบัลลังก์ใหญ่อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะตอบคำถามที่อยู่ในใจของดวงวิญญาณตรงหน้าว่า “ใช่นายตายไปแล้ว”
“...”
พอเห็นว่าดวงวิญญาณตรงหน้าไม่พูดหรือโต้ตอบอะไรกลับมา ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงบัลลังก์กลางก็เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “แต่เป็นเพราะความผิดพลาดทางเทคนิคในระบบบัญชีหนังหมา ทำให้รายชื่อคนตายไม่มีชื่อของนายอยู่ และเป็นเพราะร่างของนายโดนเผาไปแล้ว ทางนรกจึงให้โอกาสนายอีกครั้ง เลยส่งดวงวิญญาณของนายมาที่นี่เพื่อให้ไปมีชีวิตใหม่”
ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีเข้มบนใบหน้าซีดเซียวของเจ้านายก็เบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นท่าทางตื่นเต้นดีใจออกมา “พวกคุณจะให้ผมไปมีชีวิตใหม่จริงๆ เหรอ”
“อืม”
สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้านายก็กลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขาเผยรอยยิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมาอย่างพอใจ
แต่แล้วในขณะที่ตัวเองกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับมา จู่ๆ ภายในหัวก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แบบกะทันหัน จึงทำให้รอยยิ้มดังกล่าวค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ
เนื่องจากว่าตัวเขานั้นในชีวิตเก่าเป็นมือสังหารที่ทำงานตามใบสั่งเพื่อแลกกับเงินตรา อีกทั้งเขาก็เป็นคนที่ดวงไม่ดีเอามากๆ ด้วยเช่นกัน
จึงทำให้ทุกๆ ครั้งที่เสร็จจากงานที่ทำ เขาจะต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ถูกเขาสังหารเสียทุกครั้ง
อย่างไรเสียเขาก็ยังรู้ว่าบาปกรรมมีจริง จึงไม่อยากให้โชคชะตาของตัวเองอาภัพมากเกินไป เพราะถ้าหากเขาเลือกได้เขาก็ไม่อยากทำงานนี้เช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้เจ้านายก็พึมพำออกไปว่า “ดีเลย ถ้างั้นหากเป็นไปได้ ช่วยส่งให้ผมไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเลยได้ไหม ไหนๆ มันก็เป็นความผิดพลาดของพวกคุณแล้ว พวกคุณก็ช่วยส่งผมไปเกิดให้ที่ดีๆ หน่อย จะได้ไม่ต้องมาทำงานแบบนั้นอีก”
ส่งผลให้คนฟังอย่างเจ้าแห่งโลกนิยายยกปลายนิ้วมือขึ้นมาจับปลายคางของตัวเองอย่างใช้ความคิดอย่างหนัก
เพราะแต่ไหนแต่ไรมา การที่ดวงวิญญาณดวงหนึ่งจะหลุดเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอะไร แต่หากได้หลุดเข้ามาแล้ว ตัวเองก็จะส่งคนคนหนึ่งไปในที่ต่างๆ ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่เสมอภาคด้วยเช่นกัน
พอมาวันนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของโปรแกรมตรวจสอบรายชื่อในนรก จึงทำให้เขาที่ต้องเป็นคนส่งคนไปเกิดใหม่แบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย จำต้องเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายทันที
คิดอยู่เพียงครู่ เจ้าแห่งโลกนิยายก็พูดขึ้นมาว่า “ไอ้ส่งให้นายไปเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐีที่อยู่ในนิยายมันก็ได้อยู่หรอก แต่มีข้อแม้ว่า ทุกๆ คนที่มาอยู่ในโลกนี้จะต้องรับภารกิจไปหนึ่งภารกิจ ส่วนความยากง่ายของภารกิจนั้นก็จะขึ้นอยู่กับลำดับของชนชั้นที่จะส่งนายไป”
พอได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า เจ้านายก็พึมพำออกมาว่า “ส่งคนไปเกิดใหม่ก็ยังมีภารกิจอีกเหรอ”
“ย่อมต้องมี เพราะแต่ไหนแต่ไรมาสถานที่แห่งนี้ก็มีหน้าที่ส่งดวงวิญญาณที่หลุดรอดออกมาจากนรกและสวรรค์ให้ไปเกิดอีกที่หนึ่ง เลยทำให้คนเหล่านี้มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าของคนหมู่มากอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง การได้มีชีวิตอยู่ขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้รับโทษใดๆ นายไม่คิดว่านี่มันเป็นอภิสิทธิ์ของนายอย่างนั้นเหรอ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าซีดๆ ของเจ้านายก็ขมวดมุ่นจนแทบจะเป็นปมผูกกันได้
เพราะตัวเขาถึงแม้จะเป็นคนที่จะทำชั่วมามาก สังหารชีวิตคนมาแล้วถึงสามคน แต่ทุกๆ คนที่เขาสังหารต่างก็มีประวัติดำมืดด้วยกันทั้งนั้น และทุกๆ ภารกิจที่ทำลงไปก็ล้วนแต่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ถึงยังไงการที่เขาต้องมาทำข้อแลกเปลี่ยนที่ตัวเองไม่ต้องการและไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ ก็เป็นอะไรที่เขาไม่ไม่ชอบอยู่ดี เจ้านายจึงเถียงกลับไปทันทีว่า “ได้ไงล่ะในเมื่อมันเป็นความผิดของพวกคุณผมถึงมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือไง”
ส่งผลให้เจ้าแห่งโลกนิยายขมวดคิ้วแน่นในทันที แล้วใช้ฝ่ามือตบลงไปบนที่เท้าแขนอย่างแรงเต็มที่จนบังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “เอ๊ะ...เจ้าคนคนนี้นี่ หรือนายจะกลับไปอยู่ในนรกดีล่ะ นายสังหารชีวิตผู้คนไปถึงสามคน ถึงนายจะรับงานจากผู้ว่าจ้างมา แต่ยังไงนายก็ต้องรับโทษทัณฑ์ในนรกอยู่ดี”
ว่าเพียงแค่นั้นนัยน์ตาสีเข้มก็จับจ้องมองดวงวิญญาณดวงเล็กจ้อยตรงหน้า แล้วกล่าวออกมาว่า “ยังไงซะเรื่องแค่แก้รายชื่อไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับฉัน”
จึงทำให้คนที่ได้เห็นท่าทางของคนตรงหน้า อย่างเจ้านายก็ถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ พร้อมกับอุทานออกมาว่า “อึ๋ย...โกรธจริงๆ ด้วย” เสียหนึ่งประโยค
แต่ถึงกระนั้นพอได้สบสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว แล้วได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจว่า ‘อะไรกันไม่ใช่ความผิดของเราแท้ๆ’
พอเห็นว่าเจ้านายไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก จ้าวแห่งโลกนิยายก็พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะในเมื่อนายไม่พูดอะไรอีก ฉันก็ถือว่านายยินยอมพร้อมใจที่จะทำภารกิจนี้แล้วล่ะนะ”
เจ้านายที่ได้ฟังคำพูดของคนตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วกระตุกไปเสียสองที แล้วสบถอยู่ในใจว่า ‘มัดมือชกนะสิไม่ว่า’ แต่เขาก็ไม่ได้พูดคำนี้ออกมาด้วยเช่นกัน
ยืนนิ่งได้เพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจเต็มที่ แล้วพูดออกไปว่า “ถึงไม่พร้อมผมก็จำเป็นต้องพร้อมไม่ใช่หรือไง”
ส่งผลให้เจ้าแห่งโลกนิยายเลิกเรียวคิ้วเข้มขึ้นหนึ่งข้าง แล้วเผลอขยับยกริมฝีปากบางของตัวเองขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจในคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกไปว่า “ดี”
จากนั้นจึงโบกมือหนึ่งครั้ง จดหมายฉบับหนึ่งก็ลอยล่องเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่บนพื้นเบื้องล่างทันใด
จึงทำให้เจ้านายที่เห็นเช่นนั้นหลุบสายตามองของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชั่งใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันคิดอะไร ก็มีเสียงของเจ้าแห่งโลกนิยายดังขึ้นมา “นี่เป็นภารกิจของนายรับไปซะสิ”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายจึงยื่นมือไปรับซองจดหมายตรงหน้ามาเปิดดูอีกที และหลังจากที่ได้เปิดดูภารกิจที่มี เขาก็พึมพำออกมาว่า “ปกป้องตัวละคร”
ว่าได้เพียงแค่นั้นเบื้องหน้าของเขาก็มีภาพเมมโมแกรมของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏออกมาให้เห็น ทำให้เจ้านายอดไม่ได้ที่จะเหลียวหน้าหันไปมองกับเจ้าแห่งโลกนิยายด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ก่อนจะถามออกไปว่า “ผมต้องปกป้องเขาหรือครับ”
สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้าแห่งโลกนิยายก็พยักหน้าลงเป็นคำตอบกลับไป ก่อนจะพูดออกมาว่า “ใช่นายต้องปกป้องตัวละครตัวนี้ให้พ้นจากเงื้อมมือของคนที่จะทำร้ายเขาจนตาย”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายที่ฝึกศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่จำความได้ ก็พูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ของแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ”
“ดี หากเช่นนั้นก็หลับตาซะสิ ฉันจะได้ส่งนายไป” เจ้าแห่งนิยายพูดออกมาได้เพียงแค่นั้นเขาก็โบกมือเสียหนึ่งที ส่งผลให้ร่างโปร่งใสของคนคนนี้ค่อยๆ เลือนหายไป
เจ้านายที่ถูกเจ้าแห่งโลกนิยายส่งมาให้อยู่ในโลกแห่งนิยายก็ถูกความมืดบางเบาแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง
จึงทำให้ร่างทั้งร่างของเขาในตอนนี้หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหินขนาดใหญ่เอาไว้ จะขยับกายแต่ละครั้งช่างยากเย็นเสียนี่กระไร แม้เขาจะพยายามลืมตาขึ้นมาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน
แต่ถึงกระนั้นการที่เขาได้มีชีวิตใหม่ขึ้นอีกครั้ง ก็ทำให้เขายอมอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างใจเย็น แม้ตัวเองจะไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันก็ตามทีก็ยังยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ เพราะเขาคิดไปเองว่าตัวเองคงอยู่ในสภาพที่กำลังรอไปเกิดใหม่เหมือนในนิยายทะลุมิติทั่วไป
ถึงเขาจะมีอาชีพเป็นนักฆ่า แต่ก็เคยอ่านนิยายแนวทะลุมิติมาไม่น้อยด้วยเช่นกัน เขาจึงเข้าใจไปเองว่า ตัวเองกำลังอยู่ในระหว่างรอเจ้าของร่างที่เขากำลังจะเข้าไปเกิดใหม่สิ้นบุญ
คิดได้เพียงแค่นั้นเจ้านายก็ได้แต่นึกไปว่าตัวเขานั้นคงจะได้ไปอยู่ในตระกูลใหญ่ เป็นคุณชายที่มีบ่าวรับใช้มากมายรายล้อมคอยปรนนิบัติรับใช้
จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางออกมาอย่างสุขใจ แล้ววาดฝันว่าเกิดใหม่ในหนนี้เขาจะไม่หวนกลับไปเป็นนักฆ่าอย่างในชาติที่แล้วด้วยเช่นกัน
ทว่าในขณะที่ตัวเองกำลังนึกว่าถ้าได้เกิดใหม่จะทำเช่นไร จู่ๆ รอบๆ ตัวที่เขาอยู่ก็บีบรัดอย่างหนัก แล้วพยายามดันตัวเขาไปมา จนรู้สึกอึดอัดเลยต้องพยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองขยับไปมา
แต่แล้วในขณะที่กำลังหาทางออกให้กับตัวเองอยู่นั้น ก็มีช่องว่างขนาดเล็กเกิดขึ้นตรงหน้า จึงทำให้เจ้านายพยายามลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ทำให้เขาเห็นว่าท่ามกลางสายตาที่เลือนราง จู่ๆ ก็มีมือขนาดใหญ่ของใครบางคนมาจับตัวเขาเอาไว้แล้วดึงออกไป
พอหลุดออกมาจากสถานที่คับแคบได้ เจ้านายจึงพยายามขยับตัวไปมา แต่เป็นเพราะตัวเองถูกบีบให้อยู่ในที่แคบๆ มานานการจะขยับตัวแต่ละครั้งจึงค่อนข้างยากเย็นหนักหนา
และในท่ามกลางเสียงดังของโลหะกระทบกันไปมา เขาจึงลืมตาขึ้นเพื่อหมายจะมองหน้าคนที่มาทำกับตน ก่อนจะร้องออกไปอย่างไม่พอใจว่า “อุแว้”
ส่งผลให้เขาถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจที่ได้ยินเสียงดังกล่าว และยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังให้ได้ยิน “ทารกเพศชาย เวลาเกิดสิบนาฬิกายี่สิบสามนาที”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายก็อุทานอยู่ในใจออกมาทันทีว่า ‘เหะ...เวลาเกิดเหรอ’ คิดได้เพียงแค่นั้นก็มีฝ่ามือใหญ่ๆ กับผ้าผืนนุ่มมาเช็ดตัวเขาไปมา
จึงทำให้เจ้านายได้แต่ร้องอยู่ในใจว่า ‘อย่าบอกนะ อย่าบอกนะ ว่าเราได้มาเกิดเป็นเด็กแรกเกิดเลยนะ ไม่เอานะ’