แม้บนเวทีจะมีสาวงามถึงสองคนฟ้อนด้วยท่วงท่าลีลาเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวที่ตรึงสายตาของเปรมินทร์ให้มองตามทุกการร่ายรำของเธอ คนที่เขาเห็นเธอเป็นเหมือนนางฟ้านั่นเอง
หญิงสาวกำลังฟ้อนอย่างอ้อนช้อยงดงาม โดยมีมาลัยคล้องอยู่ในนิ้วของมือข้างหนึ่ง เปรมินทร์ไม่เคยรู้หรือสนใจเกี่ยวกับนาฎศิลป์ใดๆ ทว่าชายหนุ่มกลับรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังแสดงเรียกว่า ‘ฟ้อนมาลัย[1]’ จากเจ้าแม่ของเขาเอง เพราะท่านกระซิบกระซาบกับแม่เลี้ยงตั้งแต่มีการรำอวยพรวันเกิดในชุดแรกว่าเป็นมาธาวี หรือ สอง ลูกสาวคนเล็กรำเปิดงาน เขานั่งหลังผู้เป็นแม่จึงได้ยินชัด ซึ่งเจ้าแม่ของเขาก็ชมไม่ขาดปากว่ารำสวย มืออ่อน ตัวอ่อน หน้าตาก็สวยน่ารักน่าเอ็นดูสมกับเป็นนางรำ เมื่อเพลงใหม่ดังขึ้นท่านก็อุทานชื่อการแสดงเบาๆ ด้วยความยินดี นั่นทำให้เขารู้ว่าการฟ้อนของนางฟ้าคนสวยชื่ออะไร
“หนูสองคนนี้ก็รำเก่งเชียว สวยทั้งคู่เลย แม่เลี้ยงจ้างมาจากที่ไหนคะ ฉันชอบ เผื่อมีงานจะได้ติดต่อบ้าง”
ชายหนุ่มเห็นเจ้าแม่ของเขาหันไปถามแม่เลี้ยงอีกครั้ง
“อุ๊ย...ไม่ได้จ้างมาจากที่ไหนหรอกค่ะเจ้า หนูสองคนนี้เป็นเพื่อนลูกสองค่ะ เขาเรียนด้วยกัน ลูกสองก็พามาช่วยกันน่ะค่ะ”
“แต่คุณแม่ก็จ่ายเงินนะคะ ไม่งั้นคงไม่มีใครยอมมาฟรีๆ หรอกค่ะเจ้า”
เสียงราบเรียบของสาวรูปร่างโปร่งระหงในชุดราตรีสวยหรูที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาดังแทรกขึ้น แม้พยายามไม่ให้ดูเสียมารยาทที่พูดแทรกผู้ใหญ่ ราวกับตั้งใจอธิบายกับเจ้าแม่ของเขา แต่เปรมินทร์จับได้ถึงน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจได้จากมาลินี ลูกสาวคนโตของพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตี
“แม่ก็ให้เป็นน้ำใจกัน ที่จริงเด็กๆ ก็จะไม่รับหรอก แต่แม่ขอให้รับไว้เอง”
แม่เลี้ยงมารตีหันมาพูดเสียงหวานกับลูกสาวแล้วหันไปยิ้มกับเจ้าแม่ของเขาที่พยักหน้าเข้าใจ ทำเอามาลินีกอดอกหน้านิ่งแต่เห็นชัดถึงความไม่พอใจ ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยชอบการแสดงของน้องสาวกับเพื่อนๆ นัก เพราะพ่อเลี้ยงศราก็พูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ถึงลูกสาวคนเล็กอย่างภาคภูมิ ทุกคนต่างเห็นด้วยกับการแสดงที่งดงามอ่อนช้อยสมกับการเลี้ยงฉลองใหญ่ให้กับพ่อเลี้ยงยิ่งนัก
เมื่อจบการฟ้อนเสียงปรบมือดังอย่างกึกก้อง หนึ่งในนั้นก็มีเปรมินทร์ด้วย แม้ชายหนุ่มจะไม่เคยซึมซับความงดงามของการร่ายรำเลยสักครั้ง หากแต่ครั้งนี้เขากลับไม่มองไปทางอื่นได้เลย ทั้งยังรู้สึกได้ว่านี่เป็นการแสดงที่ตรึงตาตรึงใจอย่างมากมายกว่าครั้งไหน
พิธีการหลักบนเวทีใช้เวลาไม่นาน หลังจากพ่อเลี้ยงศรากล่าวขอบคุณแขกบนเวทีก็บรรเลงเพลงคลอบรรยากาศสลับกับนักร้องบ้างเล็กน้อย ส่วนแขกก็พูดคุยทานอาหารกันตามอัธยาศัย
“มาทางนี้เถอะค่ะพี่มินทร์ หนึ่งเห็นพี่มินทร์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เดี๋ยวหนึ่งหาอะไรอร่อยๆ ให้ทานดีกว่านะคะ”
แขนกำยำถูกคว้าหมับจากมาลินี เมื่อเจ้าปัทมาดาราอยากพบมาธาวีเพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้เจอกัน เนื่องจากหญิงสาวต้องเตรียมตัวอยู่หลังเวทีตลอด แม่เลี้ยงมารตีบอกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคงออกมาไหว้ผู้ใหญ่
“เราไม่รอไปพร้อมน้องสองเหรอ น้องสองก็น่าจะยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกันนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
คำถามของเขาได้รับคำตอบแบบสะบัดๆ เปรมินทร์นึกระอา เจ้าแม่เคยพูดว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้เขาเป็นฝั่งเป็นฝากับลูกสาวคนใดคนหนึ่งของครอบครัวนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ตกลงกันอย่างจริงจัง แล้วก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย แต่เขาไม่เคยมองสองสาวเป็นอย่างอื่นมากกว่าน้องสาว
ทว่าราวกับเป็นความซวยหรือโชคชะตาก็ไม่รู้ที่มักจะต้องได้เรียนที่เดียวกันกับมาลินีเสมอ ทั้งมัธยมและตอนไปเรียนต่ออเมริกาก็ยังอยู่ในรัฐเดียวกัน ทำให้อีกฝ่ายพบเจอขอความช่วยเหลือจากเขาบ่อยครั้งจนหลายคนเข้าใจว่ากำลังคบหากันอยู่ แถมมาดนางพญาของมาลินียังทำให้ไม่มีหนุ่มคนไหนเข้าหน้าติด เขาไม่แน่ใจว่าเธอสนใจการพูดคุยของผู้ใหญ่สักแค่ไหน แต่ก็สนิทสนมกับเขามากกว่าน้องสาว
“ยัยสองเขามีเพื่อนมาด้วย พี่มินทร์ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกค่ะ ยังไงพวกเขาก็หาทานกันได้ ไปกับหนึ่งดีกว่า หนึ่งก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน”
เปรมินทร์จำต้องไปพร้อมกับมาลินี เจ้าแม่ของเขากับพ่อไปนั่งโต๊ะสำหรับแขกวีไอพีและมีคนดูแลเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างนานเพราะหญิงสาวปรึกษาเรื่องงานเลขาผู้ว่าที่เธอเพิ่งเข้าไปทำ หลังจากสอบตั้งแต่เรียนจบกลับมาใหม่ๆ มองผิวเผินคงไม่มีใครคิดว่าทั้งคู่คุยเรื่องซีเรียส ราวกระหนุงกระหนิงกันเพียงสองคน กระทั่งครอบครัวของเขาจะกลับนั่นแหละชายหนุ่มจึงแยกตัวออกไป
เมื่อลาผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้วพ่อกับเจ้าแม่เขาก็กลับรถที่มาส่งพ่อโดยมีคนขับรถให้ ส่วนตัวเขากลับคันที่ตนขับมาพร้อมเจ้าแม่เอง ทว่าก่อนจะขึ้นรถเปรมินทร์ก็ต้องหยุดนิ่ง แล้วเดินยังตรงพุ่มไม้ไม่ไกลนักเพราะมีเสียงเบาๆ ดังมาจากตรงนั้น เมื่อก้มลงสังเกตสายตาคมก็เห็นร่างเล็กขยุกขยิก เขาเพ่งมองแล้วรู้สึกคุ้นตา จึงเอื้อมมือไปจับมัน หากก็ลำบากสักหน่อยเพราะพุ่มไม้ดอกเตี้ยนี้มีหนาม พอจับขึ้นมาได้มันก็ร้องไม่หยุด เปรมินทร์พิศดูไปมาแล้วก็รู้ว่าตนเคยเห็นมันที่ไหน
เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของสาวสวยคนนั้น ตอนนี้เหมือนจะได้รับการชำระล้างความสกปรกเรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีโคลนปะปนกับเลือดติดอยู่ส่วนขาและลำตัวของมันบ้าง สงสัยเจ้านี่คงเดินเล่นจนหลงมาติดอยู่ในพุ่มไม้นี่
ชายหนุ่มมองมันแล้วหันกลับไปด้านใน คนงานกำลังวุ่นวายกับงานเลี้ยง แม้ตอนนี้แขกเริ่มจะทยอยกลับกันแล้วก็ตาม หากเอามันไปส่งคืนเขาก็ไม่รู้ว่าจะฝากไว้กับใครดี จะให้ตามหาสาวใช้คนนั้นหรือนางรำคนสวยก็คงใช้เวลานาน
‘ก้อยยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะเอายังไงกับมันดี เอาขึ้นเครื่องกลับด้วยคงไม่ได้ แต่ถึงจะหาทางพามันไปด้วยได้ ที่หอก็ไม่ให้เลี้ยงสัตว์อยู่ดี’
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หญิงสาวพูด เปรมินทร์ก็จ้องเจ้าตัวเล็กผอมเห็นกระดูกน่าเกลียดจนเขาถือได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดขึ้น
“แก...จะเรียกฉันว่าพี่หรือพ่อดีล่ะ”
[1] ฟ้อนมาลัย หรือลาวดวงดอกไม้ เป็นการแสดงที่นำมาจากการแสดงละครพันทางเรื่องพระยาผานอง ซึ่งกรมศิลปากรปรับปรุงขึ้นแสดง ณ โรงละครแห่งชาติเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ โดย อาจารย์มนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งทำนองเพลงและบทร้องท่านผู้หญิงหม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำฟ้อนชุดนี้ออกเป็นเพลงซุ้ม ซึ่งเป็นเพลงลาวชั้นเดียวปัจจุบันใช้แสดงในโอกาสงานมงคล หรืองานเบ็ดเตล็ดทั่วไป
=====
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให