LOGINอรุณรุ่งโปรยแสงสีทองอ่อนผ่านม่านบาง ผืนผ้าไหมไหวไกวตามลมจากแม่น้ำไนล์ แสงแดดอ่อนราวปลายนิ้วของเทพีไอซิส ลูบไล้ร่างเปลือยของหญิงสาวที่หลับใหลอย่างอ่อนแรงอยู่กลางแท่นบรรทม
พระหัตถ์ของแสงสว่างอาบไล้แผ่นหลังเนียนละเอียดนั้น เผยให้เห็นรอยแดงระเรื่อจากแรงรักเมื่อคืน เสียงลมหายใจเธอยังคงสม่ำเสมอ เหมือนเด็กน้อยในอ้อมแขนของพระเจ้า และพระเจ้าองค์นั้น…ก็คือเขา
ราเมเซส ฟาโรห์หนุ่มผู้ครองแผ่นดิน กลับไม่ได้เฝ้ามองขอบฟ้าตะวันออก หากแต่ทอดพระเนตรแค่เพียงใบหน้าของหญิงสาวในวงแขน ดวงตาทรงปิดแน่นอยู่ใต้แพขนตาเปียกเหงื่อ แก้มยังแดงก่ำ และริมฝีปากนั้น…ยังคงบวมเล็กน้อยจากจุมพิตรุนแรงเมื่อกลางดึก
สายพระเนตรทอดลงที่ร่างบอบบางในอ้อมพระกร อาริสา นอนหลับพริ้ม ริมฝีปากน้อยเผยอเหมือนยังฝันถึงราตรีเร่าร้อนที่เปลี่ยนชะตาเธอไปตลอดกาล ผิวเนียนชื้นเหงื่อยังมีร่องรอยรักอยู่ทั่ว รอยจูบ รอยกัด และจุดแดงช้ำที่อกอิ่มซึ่งเขาจำได้ดีว่าเกิดขึ้นตอนเธอร้องครวญ ในจังหวะที่เขาหลอมรวมกับเธอจนกลีบเนื้อกระตุกตอดไม่หยุด
แม้จะเป็นรุ่งอรุณ แต่ความปรารถนาของเขาไม่เคยหลับใหล
อรุณรุ่งโปรยแสงสีทองอ่อนผ่านม่านบาง ผืนผ้าไหมไหวไกวตามลมจากแม่น้ำไนล์ แสงแดดอ่อนราวปลายนิ้วของเทพีไอซิส ลูบไล้ร่างเปลือยของหญิงสาวที่หลับใหลอย่างอ่อนแรงอยู่กลางแท่นบรรทมพระหัตถ์ของแสงสว่างอาบไล้แผ่นหลังเนียนละเอียดนั้น เผยให้เห็นรอยแดงระเรื่อจากแรงรักเมื่อคืน เสียงลมหายใจเธอยังคงสม่ำเสมอ เหมือนเด็กน้อยในอ้อมแขนของพระเจ้า และพระเจ้าองค์นั้น…ก็คือเขาราเมเซส ฟาโรห์หนุ่มผู้ครองแผ่นดิน กลับไม่ได้เฝ้ามองขอบฟ้าตะวันออก หากแต่ทอดพระเนตรแค่เพียงใบหน้าของหญิงสาวในวงแขน ดวงตาทรงปิดแน่นอยู่ใต้แพขนตาเปียกเหงื่อ แก้มยังแดงก่ำ และริมฝีปากนั้น…ยังคงบวมเล็กน้อยจากจุมพิตรุนแรงเมื่อกลางดึกสายพระเนตรทอดลงที่ร่างบอบบางในอ้อมพระกร อาริสา นอนหลับพริ้ม ริมฝีปากน้อยเผยอเหมือนยังฝันถึงราตรีเร่าร้อนที่เปลี่ยนชะตาเธอไปตลอดกาล ผิวเนียนชื้นเหงื่อยังมีร่องรอยรักอยู่ทั่ว รอยจูบ รอยกัด และจุดแดงช้ำที่อกอิ่มซึ่งเขาจำได้ดีว่าเกิดขึ้นตอนเธอร้องครวญ ในจังหวะที่เขาหลอมรวมกับเธอจนกลีบเนื้อกระตุกตอดไม่หยุดแม้จะเป็นรุ่งอรุณ แต่ความปรารถนาของเขาไม่เคยหลับใหล
จากนั้น เขาเริ่มขยับช้า ๆ ถอนลำออกทีละน้อย ก่อนจะกดกลับเข้าไป กลีบบอบบางที่ยังแดงจัดดูดกลืนเขาเข้าไปอีกครั้ง พร้อมแรงตอดที่ทำให้เขาสั่นสะท้านพั่บ…พั่บ…พั่บ…เสียงกระแทกช้า ๆ แทรกเสียงหอบ เสียงครางเบาหวิวของหญิงสาวที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากความเจ็บ…เป็นบางอย่างที่ร้อนกว่า หวานกว่า และทรมานกว่า“อื้อ…รามเมเซส…ตะ…ตึง…มันแน่น…ไม่ไหว…”เขายิ้ม มุมปากยกขึ้นอย่างผู้ชนะ มือเลื่อนขึ้นลูบแผ่นหลังหญิงสาว จากนั้นก็ประคองร่างบางแนบชิดยิ่งขึ้น ยกสะโพกเธอขึ้นลงตามแรงตนเอง หญิงสาวแอ่นอกครางเสียงหลง มือขยุ้มไหล่เขาแน่น“เจ้ากำลังกลืนข้า…ทั้งตัวแล้วยอดรัก” เขากระซิบเสียงแหบชายหนุ่มกระแทกลึกเข้าไปจนสุด…กลีบอ่อนที่ยังคงตอดรัดเหมือนจะไม่ยอมปล่อยเขาไป ทำให้เขากัดฟันแน่นแทบจะระเบิดอาริสาร้องครางอีกครั้ง ร่างทั้งร่างสะท้านเหมือนสายฟ้าฟาดผ่านสันหลัง ชายหนุ่มรวบเธอไว้แน่นในอ้อมแขน และในขณะที่สะโพกกระแทกกันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเสียงเปียกชื้นปนกับ
ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยคำปฏิเสธ เขาก็พุ่งเข้ามา บดจูบเธอทันทีรุนแรง เร่าร้อนอีกครั้งและเต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่พลุ่งเป็นไฟสลับกับลมหายใจที่ถูกดูดกลืนไม่มีเหลือ ริมฝีปากร้อนลวกบดขยี้ของเธออย่างหิวกระหายจนกลีบปากนุ่มแดงช้ำ"อึก…!" เธอครางอู้อี้ในลำคอ พยายามผลักเขาออกแต่ฝ่ามือเขาใหญ่และแข็งแรงราวกับหินสลัก จับตรึงต้นแขนเธอไว้แน่น ขณะอีกมือกระชากผ้าคลุมเนื้อบางที่ห่อหุ้มร่างบางอยู่ออก“อ๊ะ อย่า ” เธอร้องเสียงหลงเสียงผ้าฉีกดัง พรึ่บ!กลีบดอกไม้สดไร้รอยราคี ถูกเปิดเผยสู่แสงโคมไฟทองผิวขาวผ่องของหญิงสาวตัดกับแสงจากเปลวไฟ กลิ่นกายสาวบริสุทธิ์อวลขึ้นท่ามกลางกลิ่นเครื่องหอมโบราณ ฟาโรห์รามเซสก้มลง ใช้ลิ้นลากผ่านยอดอกสีอ่อน ก่อนจะขบเม้ม“อ๊าา…! ”เขาใช้ปลายลิ้นวนรอบยอดอกสวยนั้นช้า ๆ ก่อนจะดูดแรง จ๊วบ แล้วปล่อยเสียงหัวเราะต่ำในลำคออย่างคนครอบครอง“หน้าอกของเจ้า… หอมยิ่งกว่ากลิ่นใด”ปลายนิ้วของเขาค่อย ๆ ไล้ต่ำลงไปตามหน้าท้
คำเงียบนั้นบีบรัดหัวใจหญิงสาวยิ่งกว่าคำพูดใด เธอกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาสีน้ำทะเลพร่าไหวด้วยความรู้สึกผิดและความห่วงใย แม่นมเนฟรัสรีบเบนความสนใจ หยิบขวดน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ เทลงฝ่ามือแล้วนวดเส้นผมเปียกชุ่มอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมหวานอบอวล เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกสางด้วยหวีงาช้างจนเงางามเมื่อร่างสะอาดเกลี้ยงเกลา หญิงสาวสวมชุดลินินบางเบาที่ทาสสาวจัดเตรียม แม่นมจัดโต๊ะอาหารเล็ก ๆ ข้างห้องบรรทม มีเนื้อย่าง เครื่องจิ้ม น้ำผึ้ง และขนมปังอบใหม่ แต่ขณะนั่ง อาริสายังใจลอย ดวงตาเหม่อมองแสงคบเพลิงนอกหน้าต่าง ขนมปังที่ควรหอมกรุ่นกลับจืดชืด ในปาก น้ำผึ้งหวานกลายเป็นขมในห้วงความคิด เสียงคำประกาศของราเมเซสก้องซ้ำอยู่ในใจ “หากครั้งหน้า... หากเจ้าคิดหนีอีกเพียงครั้งเดียว พวกทาสทั้งหมดจะต้องตาย” น้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง นางพยายามกลืนมันลงไปพร้อมขนมปังชิ้นเล็ก แต่หัวใจนางรู้ดีอิสรภาพของนางมิได้ผูกติดแค่ชีวิตตน แต่ยังพันธนาการวิญญาณบริสุทธิ์รอบตัวไว้ทั้งหมดยามราตรีของอีกวันแสงคบเพลิงสองข้างทางส่องวาววับสะท้อนกำแพงหินสูงตระหง่าน เปลวไฟโบกสะบัดพร
พระนางเบือนสายตาออกไปยังผืนน้ำไนล์ที่กระเพื่อมระยิบระยับ แต่ภายในพระอุระกลับเดือดพล่านดั่งเพลิงที่ไม่มีวันมอด“ข้าเฝ้ารอ... เฝ้ารักและถนอมเจ้าไว้นานแค่ไหน หวังว่าสักวันเจ้าจะรู้ ว่าไม่มีสตรีใดคู่ควรกับเจ้าเท่าข้า”เสียงในพระทัยแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบของปีศาจริมพระโอษฐ์ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่ในดวงตากลับลุกโชติช่วงด้วยไฟริษยา ใต้ถุงผ้าสีทอง เล็บเรียวยาวกำแน่นจนเลือดซึม หยดเลือดแดงเข้มเปื้อนผ้าไหมบาง ราวกับ “ตราแห่งคำสาป” ที่เพิ่งถูกประทับภาพหนึ่งแวบเข้ามาในพระทัย ภาพของหญิงสาวอีกคน “เนทาเรีย...” หญิงงามผู้เคยได้ครอบครองหัวใจของราเมเซสเมื่อครั้งอดีตมุมพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก“เนทาเรีย... หญิงคนนั้นก็เคยคิดว่าตนพิเศษ”พระสุรเสียงในลำคอเบาแต่เยียบเย็น“แล้วอย่างไรเล่า... สุดท้ายนางก็ตายอย่างน่าสมเพศ”พระเนตรวาววับขึ้นอีกครั้ง แสงบ้าคลั่งสะท้อนกับเปลวตะเกียง“ในเมื่อข้าเคยทำให้นางตายมาแล้ว...”“การจะลบล้างชี
พระองค์ก้าวไปที่หัวเรืออย่างสง่างาม ทรงชักดาบศักดิ์สิทธิ์ ที่สลักด้วยสัญลักษณ์แห่งเทพเซต คมดาบสะท้อนแสงคบเพลิงราวเปลวไฟแห่งความโกลาหล จระเข้ยักษ์พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็ว ปากกว้างขวางพร้อมฉีกเรือเป็นเสี่ยงๆเขากระโจนลงจากหัวเรือลงสู่ผืนน้ำอย่างไม่เกรงกลัว ร่างสูงสง่างามตวัดดาบฟันใส่จระเข้ด้วยพลังราวพายุ คมดาบเฉือนเกล็ดแข็งจนเลือดสีแดงเข้มพุ่งกระจายผสมกับสายน้ำ เสียงน้ำแตกกระจายดัง ผู้คนบนเรือกรีดร้องด้วยความตื่นตะลึงทันใดนั้น เสียงกรีดร้องแหลมของเจ้าหญิงฮาเชียร่าดังขึ้นจากดาดฟ้าเรือ “ราเมเซส! เสด็จกลับขึ้นมาเดี๋ยวนี้!เจ้าจะทิ้งข้าเพื่อนางนั้นหรือ?” เสียงของนางสั่นด้วยความห่วงใยปนความริษยาที่ลุกโชนราวไฟ นางตวาดสั่งทหาร“ลงไปปกป้ององค์ฟาโรห์เดี๋ยวนี้! หากน้องรักของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะกุดหัวพวกเจ้า!”ทหารห้านายคว้าหอกและดาบ กระโจนลงน้ำด้วยความกล้าหาญ ล้อมจระเข้ยักษ์และฟาดอาวุธใส่เกล็ดของมัน แต่จระเข้ยังคงดุร้าย พุ่งเข้าใส่ราเมเซสด้วยคมเขี้ยวที่พร้อมฉีกทุกสิ่งเสียงสวดโบราณจากนักบวชดังขึ้นจากเรือใหญ่ เป็นสำเนียง ที่ไม่มีผู้ใดในยุค







