2 – แม่เลี้ยงดวงฤทัย สินธุเจริญพาณิช
เสียงทุ้มต่ำอย่างชายสูงวัยของผู้ใหญ่บ้านดังลอดมาถึงโถงทางเดินของบ้านยกสูง ซึ่งตอนนี้ดัดแปลงชั้นล่างเป็นห้องรับแขกและห้องทานอาหาร ดวงฤทัยพาร่างบอบบางในชุดกางเกงทำงานผ้าสีเข้มเสื้อผ้าฝ้ายสีอ่อน ซึ่งเป็นชุดที่เธอใส่ทำงานปกติที่หม่อนไหม ลงบันไดไม้สักลงสีทองเนื้อมัน
“สวัสดีค่ะผู้ใหญ่พราน ไม่ทราบมาแต่เช้ามีเรื่องด่วนหรือเปล่าคะ”
“คุณดวง”
ผู้ใหญ่บ้านห้วยแตงลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นดวงฤทัยเดินลงมาจากบ้าน ก่อนนั่งลงอีกครั้งเมื่อเธอหย่อนร่างลงบนเก้าอี้ไม้มะค่าตัวยาวตรงข้ามกับผู้ใหญ่บ้าน
“อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรหรอกครับ แต่ผมต้องเข้าเมืองไปประชุมผู้ใหญ่บ้านเลยแวะมาหาคุณดวงเสียก่อน เรื่องงานยี่เป็งปีนี้”
“งานยี่เป็ง มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ปีนี้เป็นปีแรกที่คุณดวงได้เข้ามาดูแลฟาร์มหม่อนไหมสินธุ อาจไม่ทราบว่าทุกปีพ่อเลี้ยงนฤนารทจะเป็นพ่องานแห่โคมยี่เป็งร่วมกับทางจังหวัดครับ”
“อ้อ ดวงก็นึกว่าเรื่องอะไรค่ะ ดวงไม่ทราบมาก่อนเหมือนกัน แล้วนี่ดวงต้องทำอะไรบ้างคะ”
“ตามปกติพ่อเลี้ยงเขาจะจัดการเองทั้งหมดครับ แต่ปีนี้ผมคิดว่าอยากดึงกลับไปให้ทางหมู่บ้านทำเองจะดีกว่า แล้วให้ทางคุณดวงคอยช่วย พวกชาวบ้านจะได้รู้สึกมีส่วนร่วมงานประเพณีมากกว่าครับ”
ดวงฤทัยพยักหน้าเห็นด้วย หน้างามยิ้มแย้มจนผู้ใหญ่บ้านแม้อายุสูงวัยแล้วยังขัดเขิน
“ได้ค่ะ ถ้ามีอะไรให้ดวงช่วยก็แจ้งมาเลยค่ะ ดวงพร้อมช่วยทุกอย่าง”
“ครับ ผมจะให้แม่บ้าน เออ ผมหมายถึงภรรยาผมน่ะครับ มาแจ้งกับทางคุณดวงอีกที เช้านี้ผมเห็นต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวจะเข้าเมืองไปไม่ทันประชุมครับ”
ดวงฤทัยเดินไปส่งผู้ใหญ่ตรงชายคาของบ้าน ให้เด็กช่วยกางร่มคันใหญ่ไปส่งถึงรถก่อนเดินกลับมายังห้องทานข้าว เห็นแม่กำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตา
“เช้านี้ดวงของ่าย ๆ นะคะคุณแม่ กาแฟดำกับขนมปังปิ้งก็พอ”
“ได้อย่างไรลูก ทำงานหนักขนาดนี้ถ้าทานน้อยจะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน”
“โธ่แม่ค่ะ ดวงแทบไม่ได้ใช้แรงเลยสักหน่อยนึง มีแต่ชาวบ้านเขาใช้แรง”
พูดจบดวงฤทัยรีบคว้าแก้วกาแฟร้อนและขนมปังปิ้งเดินออกจากห้องอาหารโดยมีเสียงดวงใจบ่นตามหลัง ผู้เป็นแม่ได้แต่มองร่างอันบอบบางของดวงฤทัย แม้ว่าลูกสาวของเธอไม่ได้ผอมมากนักทั้งยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม แต่ใจของแม่ยังคงกังวล ยิ่งลักษณะนิสัยของดวงฤทัยเปลี่ยนไปตั้งแต่พ่อเลี้ยงนฤนารทเสียชีวิตลง
ลูกสาวเธอไม่เคยร้องไห้ หรือปรากฎร่องรอยความเศร้าหมองแม้แต่น้อย บางครั้งเหมือนมีแววยิ้มในดวงตาเสียด้วยซ้ำ ยิ่งช่วงครึ่งปีหลังมานี้ถือว่าเอาแต่ใจตัวมากขึ้น
หรือเป็นเพราะเข้าช่วงอายุยี่สิบห้า เบญจเพสพอดี ดวงใจขมวดคิ้วเล็กน้อยพลันคิดหาทางพาลูกสาวไปรดน้ำมนต์เสียหน่อย สะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา
ดวงฤทัยเดินออกมานอกตัวบ้านไปยังอาคารหลังเล็กที่อยู่ติดกัน อาคารชั้นเดียวธรรมดาซึ่งเป็นทั้งสำนักงานและโรงทอไหมพื้นเมืองโดยเฉพาะ เธอวางร่มลงด้านหน้าแล้วเปิดประตูเข้าไปในอาคาร
ร่วมเกือบปีมาแล้วที่ดวงฤทัยเข้ามาดูแลจัดการฟาร์มหม่อนไหมของพ่อเลี้ยงสินธุ และพบว่าฟาร์มหม่อนไหมถูกทิ้งไม่ใส่ใจมาเป็นเวลานานจนขาดทุนทุกปี ทั้งยังทรุดโทรม เธอจึงนำเงินมรดกที่พ่อเลี้ยงนฤนารททิ้งไว้ให้บางส่วนมาปรับปรุงและจ้างคนเพิ่ม
ตัวอาคารหม่อมไหมเองสร้างมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เธอจ้างช่างมาปรับปรุงจนสามารถใช้การได้
“แม่เลี้ยงมาแล้วกะเจ้า”
“เช้านี้ทางผู้ใหญ่บ้านจะส่งคนมาปรึกษาเรื่องจัดงานยี่เป็ง ถ้ายังไงให้เข้าไปในห้องทำงานของดวงได้เลยนะแม่อุ๊ย”
“เจ้า”
ดวงฤทัยเดินเลยเข้าไปในห้องทำงานด้านหลัง เช้านี้เธอมีแผนงานสำหรับการฟื้นฟูหม่อนไหมเรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ร่างเล็กหย่อนตัวลงเก้าอี้ทำงานบุนวมนุ่ม วางแก้วกาแฟร้อนที่ถือติดมาด้วยลงบนโต๊ะและเปิดคอมพิวเตอร์
ตอนนี้รายจ่ายของที่นี่ยังมากกว่ารายรับ เธอจึงวางแผนทำให้หม่อนไหมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว คิดวไว้แล้วว่าอาจมีร้านกาแฟเล็ก ๆ สักร้าน ร้านขายของที่ระลึกซึ่งผลิตขึ้นจากไหมของเราเอง และอาจนำของชาวบ้านมาขายร่วมด้วย
ในหัวหญิงสาวหน้างามยังครุ่นคิดแผนการไปอีกสักพักใหญ่ ทั้งหาแหล่งข้อมูล พลันคิดได้ว่าถ้าเธอร่วมงานกับทางโรงแรมในตัวเมืองทำทัวร์เชิงอนุรักษ์ โดยมีฟาร์มหม่อนไหมของเธอเป็นหนึ่งในเส้นทางคงมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาอีกมาก
มือเปิดเข้าระบบค้นหาในโลกอินเทอร์เน็ตและพบโรงแรมระดับเกินสี่ดาวขึ้นไปอยู่สี่แห่งที่ดูเหมือนว่าเหมาะกับหม่อนไหมแห่งนี้ โรงแรมบูติกโฮเท็ลเน้นรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกระเป๋าหนัก และมีโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อยู่แล้ว ดวงฤทัยค่อยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจและภูมิใจในโรงไหมของเธอ เพียงเข้าไปยื่นข้อเสนอกับทางโรงแรม แบ่งรายได้ต่อหัว หรือรายได้จากการขายสินค้า ทางโรงแรมต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
คิดได้ดังนั้นดวงฤทัยจึงหยิบสมุดจนบันทึกเล่มเล็กที่เธอมักมีพกติดตัวไว้จดขึ้นมาเขียนรายชื่อโรงแรมที่เธอต้องการเข้าพบ
ก๊อก ก๊อก!!
“แม่เลี้ยงเจ้า เมียปู้ใหญ่บ้านมาแล้วเจ้า”
“เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ”
ดวงฤทัยเก็บสมุดจดลงลิ้นชักแล้วเงยหน้ายิ้มให้ภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นหญิงสาววัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปี ดูแล้วผู้ใหญ่บ้านและภรรยาอายุคงห่างกันพอสมควร
“แม่เลี้ยงคะ ฉันเป็นเมียผู้ใหญ่บ้านชื่อสาวิตรี เรียกฉันว่าสาก็ได้ค่ะ”
“สวัสดีค่ะน้าสา นั่งก่อนนะคะ”
ดวงฤทัยรอกระทั่งเมียผู้ใหญ่บ้านนั่งลงจึงค่อยเอ่ยถาม
“น้าสาต้องการให้ทางเราช่วยอะไรบ้างคะ”
“คือยังงี้ค่ะแม่เลี้ยง หมู่บ้านเราทุกปีก็ให้ทางพ่อเลี้ยงจัดการ แต่มาปีนี้ก็อยากดึงกลับมาทำเอง เพื่อให้ลูกบ้านมีส่วนร่วม งบประมาณทำก็พอมีอาจเรี่ยไรกันบ้างไม่มากเท่าไร แต่ที่เราขาดก็เห็นจะเป็นคนขึ้นนั่งบนรถแห่โคมค่ะแม่เลี้ยง”
เธอยังยิ้มใสซื่อมองหน้าสาวิตรีแม้ว่าในใจจะพอรู้แล้วว่าทางผู้ใหญ่บ้านต้องการอะไร
“ไม่ยากอะไรนี่คะ ในหมู่บ้านเรามีเด็กสาวสวย ๆ มากมาย ดวงคิดว่าเด็ก ๆ ก็คงเต็มใจช่วยหมู่บ้านของเราอย่างยิ่ง เอาแบบนี้ไหมคะ ดวงยินดีช่วยเรื่องผ้าซิ่นไหมแท้หายาก จะได้ยิ่งเสริมให้เด็กของเราสวยไม่แพ้หมู่บ้านอื่น”
“เด็กสาวมันก็ดีค่ะแม่เลี้ยง แต่แม่เลี้ยงเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในจังหวัด งามหาตัวจับยาก ถ้าแม่เลี้ยงยินยอมขึ้นขบวนจะทำให้หมู่บ้านเรามีชื่อเสียง คนจะรู้จักหมู่บ้านเรายิ่งขึ้น ดีต่อเศรษฐกิจชุมชนอีกด้วย”
ดวงฤทัยยิ้มหวานในขณะที่พยายามหาทางเลี่ยง แต่ดูเหมือนเมียผู้ใหญ่บ้านคงตกลงใจมาแล้วว่าต้องการตัวเธอ
“ดวงว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนะคะ”
“ไม่เหมาะอย่างไรคะ ดีเสียอีก ไม่กี่วันก็วันงานแล้วจะให้หาคนอื่นก็คงไม่ทันกาล เอาแม่เลี้ยงนี่ล่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวลาไปบอกพวกคนในหมู่บ้านก่อนนะคะ”
ดวงฤทัยได้แต่มองตามสาวิตรีที่พอพูดเองเออเองเรียบร้อย ก็พาตัวเองออกจากห้องทำงานของเธอไป แม้ว่าเธอไม่เต็มใจเลยสักนิด แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เธอย้ายเข้ามาทำหม่อนไหมในหมู่บ้านนี้ จึงไม่กล้าทักท้วงมากนัก คนงานของหม่อนไหมก็เป็นคนในหมู่บ้าน และยังต้องขอความช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้านในบางครั้ง จึงจำต้องทำใจ
มันก็ไม่แน่นะ การนั่งขบวนแห่อาจเป็นข้อดีก็เป็นได้ เธอจะใช้เรื่องนี้คุยกับโรงแรม ให้พวกเขาเห็นว่าหมู่บ้านของเรามีดีและมีผู้คนสนใจมากพอที่จะแทรกเข้าไปอยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
แม้ว่าการขึ้นไปนั่งบนรถอาจทำให้คนในตระกูลสินธุพาณิชย์ขุ่นเคือง เธอนึกภาพลูกเลี้ยงนฤเบศร์ที่คงหน้าแดงก่ำด้วยใบหน้าหล่ออย่างคนจีนออกจนนึกขำในใจ ก็ดีถ้าเธอจะทำอะไรตามใจตัวเองบ้างหลังจากที่เธอตามใจคนอื่นมาตลอดชีวิต
บทพิเศษสามเดือน เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตุบ ตุบ!ดวงฤทัยสะดุ้งลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงก้อนหินปามาโดนผนังห้องนอนด้านหน้าเรือนทรงไทยล้านนาร่างเล็กสะลืมสะลือลงจากเตียงควานมือเพราะความมืด เปิดหน้าต่างห้องนอน ชะโงกหน้าออกไปแต่ยังไม่เห็นใครได้ยินแต่เสียงเรียกทุ้มต่ำแผ่วเบา“ดวง ดวง”ดวงฤทัยขมวดคิ้ว เธอจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของใคร เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เขาเดินลับหายไปท่ามกลางผู้คนในงานยี่เป็ง แต่กลับโผล่เข้ามาในชีวิตแทบทุกวันแอ๊ดดด!!ดวงฤทัยพยายามเปิดประตูให้เบาที่สุด ย่องปลายเท้าผ่านชานเรือน โชคดีเธอได้นอนห้องหน้าสุดทำให้ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนของคุณแม่และคุณยาย จากนั้นดวงฤทัยก็พาร่างอันบอบบางลงบันไดบ้านเดินไปยังประตูเล็กข้างรั้ว“มาทำไม มันดึกแล้ว!!”“เอาขนมมาให้”“แขวนไว้นั้นแหล่ะ แล้วก็กลับไปได้แล้ว”“เดี๋ยวก่อนสิ ขอเห็นหน้าก่อนไม่ได้เหรอ”ดวงฤทัยมองซ้ายมองขวา ดูลาดเลาก่อนแอ้มประตูรั้วยื่นมือออกไปเพื่อรับขนม แต่คนร่างสูงกลับจับข้อมือเธอไว้ดึงเธอออกไปนอกรั้วดันไปยังมุมมืดด้านข้างใช้มือยันรั้วไว้“พี่แค่อยากขอดูหน้าน้องดวง หลับไปหรือยัง”“ถ้าหลับจะได้ยินเสียงหรือไง เห็นหน้าก็กลับไปได้แล
38 – ดาวเหนือคอยนำทาง จบบริบูรณ์ ncคราวนี้ดวงฤทัยลุกขึ้นนั่งข้างกายของเหนือหัว ก้มมองดวงตาของชายแกร่งที่ปิดสนิทไม่ยอมมองเธอ“คุณนฤเบศร์ฉีกสัญญาไปทิ้งแล้วค่ะ”“แล้วยังไง? แม้ว่าไม่มีสัญญา ดวงจะยอมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังไหม ไม่เลย พี่ไม่ได้อยู่ในแผนการ อยู่ในความคิดของดวงด้วยซ้ำ!”“พี่เหนือ!”มือเล็กวางบนแผ่นอกใต้ผ้าห่ม เธอวางไว้ตรงอกข้างซ้ายตรงที่หัวใจของเหนือหัวกำลังเต้นแรง“ที่ดวงไม่บอกพี่ เพราะว่าดวงไม่อยากให้พี่เหนือมองดวงว่าเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน ทั้งที่ดวงเองก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ดวงต้องการหลักประกันมั่นคงให้กับตัวเอง ดวงต้องการบ้านคุ้มหัวที่ปกป้องแม่และยายไปตลอดชีวิต แต่ดวงยอมทิ้งทุกอย่างแล้ว ที่ดวงไปบ้านคุณนฤเบศร์วันนั้นก็เพราะว่าดวงต้องการยกเลิกสัญญา ดวงยอมทิ้งทุกอย่าง ไม่เอาบ้าน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ขอแค่ได้อยู่กับพี่เหนือ”“แน่ล่ะ ก็เพราะพี่รวยใช่ไหม”“พี่เหนือ! พี่คิดว่าดวงรักพี่เหนือเพราะเงินเหรอคะ พี่คิดว่าดวง ดวงทิ้งของพวกนั้นเพราะต้องการเงินทองของพี่ใช่ไหม? ไม่เลย ดวงไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ดวงไม่ยอมให้คุณนฤเบศร์หรือเจ้ายิ่งบอกพี่เหนือก็เพราะว่า ถ้าพี่เหนือรู้ พี่เหนือต้อง
37 - คนร่างเล็กเขาง้อแล้วนะ“หนูดวง”ดวงฤทัยสะดุ้งหันกลับไปยังจันทร์มาลา เธอไม่ได้ยินเสียงเดินของหญิงวัยกลางคนเนื่องจากคิดเรื่องของเหนือหัว“คะ?”“ตั้งโต๊ะเถอะ เย็นมากแล้ว เหนือจะได้ทานยา”“ค่ะ”สองหญิงหนึ่งคนสาวหนึ่งคนแก่กว่า จัดจานใส่ถาดกว้างทยอยยกมากลางลานใกล้ระเบียงแล้ววางบนพื้นบ้านของเหนือหัวยังคงนั่งทานกับพื้นซึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้เองก็ยังคงทำแบบนี้ ยกเว้นบางบ้านที่นั่งทานโต๊ะทานอาหารอาหารของไทใหญ่ก็คล้ายกับของทางภาคเหนือจึงทำให้ดวงฤทัยเองทานได้คล่องปาก“แล้วนี่ทำไมเหนือถึงบาดเจ็บมาล่ะลูก”ในที่สุดจันทร์มาลาก็เอ่ยถามอย่างที่ใจของดวงฤทัยเองอยากรู้เช่นกัน เธอเอี้ยวหน้าไปมองพลันสบตาของเหนือหัวที่มองมาทางเธอพอดี จึงรีบหลบก้มมองจานข้าวของตัวเอง ตักข้าวเข้าปากนิ่งเงียบ“ไปตรวจงานอยู่หลายวัน พอใกล้ ๆ วันกลับเจอพวกชนกลุ่มน้อยครับ ปะทะนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่เป็นอะไรมาก หมอผ่าเอากระสุนออกไปแล้ว”“แล้วทางนั่นลูกยังจะไปอีกเหรอ”“ก็ต้องไปครับ นั่นมันธุรกิจเรา แต่อาจจะน้อยลง ให้หุ้นส่วนที่เป็นทหารช่วยดูแล”“แล้วเราจะไว้ใจได้ยังไง คนพวกนี้ใช่ย่อย”ดวงฤทัยแม้ว่าจะก้มหน้าทานข้าวแต่หูเธอคอยฟังเสียงท
36 - สำหรับเขาต้องมากกว่า ไม่มีน้อยกว่าเหนือหัวชะโงกตัวไปยังหลังรถแต่แสงทัดปัดมือของชายหนุ่มไว้ก่อนแล้วคว้ากระเป๋าของเหนือหัวมาไว้เอง“ยังไม่รู้ ไว้หลังสงกรานต์ว่ากันอีกที”แสงทัดเดินนำยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไปบนเรือนยกใต้ถุนไม่สูงมากนักแบบไทใหญ่ อากาศในหน้านี้ไม่ร้อนมากนักเพราะอยู่ภูเขา ทำให้มีสายลมพัดมาตลอดเวลาบอดี้การ์ดเดินขึ้นเรือนกำลังเดินตรงไปยังห้องนอนของเหนือหัว พลันเหลือบเห็นร่างเล็กของคน ๆ หนึ่งที่เพื่อนของเขาถวิลหามาตลอด ทำให้เท้าใหญ่หยุดนิ่งตาเบิกกว้างหันกลับไปมองเพื่อนที่กำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดเรือนมาพอดี“ไอ้เหนือ!”เหนือหัวเงยหน้าขึ้นมองแสงทัดที่ทำหน้าเหมือนเห็นผี คิ้วเข้มขมวดนิ่งไม่เอ่ยตอบอะไรยังก้าวขึ้นเรือนตามปกติ“มากันแล้ว”เสียงมารดาเอ่ยลอยมาจากชานเรือนแม้ว่าเขายังไม่ทันขึ้นไปชั้นบน จวบจนกระทั่งร่างสูงสาวเท้าไปบนขั้นสุดท้ายก้มศีรษะลงเพื่อให้พ้นชายหลังคาทรงเตี้ยเพื่อมุดเข้าไปในเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งจึงเห็นแม่เลี้ยงสาวแห่งสินธุเจริญพาณิชยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง หน้าเข้มกระด้างลงทันที“ไอ้ทัด มึงรอก่อน พาแม่เลี้ยงกลับไปด้วย”“ไอ้เหนือ!!”“เหนือ!!”เสียงแสงทัดและจั
35 – รัฐฉานปีใหม่ของชาวรัฐฉานปกติจัดขึ้นในวันขึ้นหนึ่งคำเดือนอ้ายของทุกปี ซึ่งมักจะเป็นช่วงงต้นเดือนธันวาคม ทำให้ในวันปีใหม่สากลของที่นี่เงียบเหงา ไม่ได้จัดงานเหมือนที่อื่นมีเพียงตามสถานที่สำคัญร้านค้าที่ทำสัญลักษณ์ว่าป้ายสวัสดีปีใหม่บางร้านค้าเท่านั้นร่างสูงยืนนิ่งตรงชานเรือนไม้ยกพื้นสูงบนเขาดอยเย่ว[1] ดอยสูงคดเคี้ยวเข้าลำบากถิ่นเดิมของมารดา บ้านทรงธรรมดาแบบไทใหญ่เพียงแต่หลังใหญ่กว่าทุกหลังในหมู่บ้านบอกสถานะทั้งทางสังคมและฐานะเงินทองใบหน้าเข้มไม่ได้พันผ้าโผกหัวนุ่งโสร่งเหมือนกับผู้ชายคนอื่นพื้นถิ่น เขาสวมกางเกงผ้าฝ้ายสีเข้มม่อฮ่อมและเสื้อผ้าฝ้ายสีอ่อนคอจีนผ่ายาวลงมาติดกระดุมทำจากรังผ้าฝ้ายสีเดียวกันจันทร์มาลา มารดาของเหนือหัวเองเฝ้าสังเกตลูกชายมาสักระยะแล้วนับจากกลับมาบ้านในคราวนี้ร่วมสองเดือน แม้ว่าเหนือหัวยังคงพูดคุยด้วยปกติแต่สีหน้าลูกชายดั่งมีเรื่องกลุ้มใจ บางครั้งเธอได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาขณะที่เขาเผลอยามอยู่คนเดียวแสงทัดเองเมื่อกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้เขาเองก็กลับบ้าน ไม่ได้มาอยู่ดูแลเหมือนดั่งอยู่เมืองไทย ทำให้จันทร์มาลาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปถามใครดี ได้แต่เฝ้ามองลูกชายคนเ
34 – รู้ความจริงร่างเล็กนั่งรอแทบไม่ติดที่นั่งเมื่อนฤเบศร์เดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน และพลันยืนขึ้นทันทีอย่างร้อนใจเมื่อเห็นเขา โดยไม่ต้องพูดนฤเบศร์ก็รู้ว่าเธอมาเพื่อสิ่งใดในบ่ายวันนี้“พ่อเลี้ยง”“นั่งก่อนสิ ค่อย ๆ พูด”มือเล็กกุมไว้ขยุกขยิกห้ามตัวเองไม่ได้ ร้อนใจต้องการพูดเรื่องที่ตนเองตัดสินใจโดยเด็ดขาดแล้ว แต่ถูกขัดจังหวะด้วยเด็กรับใช้ในบ้านกำลังนำน้ำดื่มมาต้อนรับเธอนั่งนิ่งรอจนกระทั่งเด็กคนนั้นออกจากห้องไปจึงได้เริ่มเปิดปาก“ดวงตัดสินใจแล้ว”“ผมรู้ว่าที่คุณดวงมาวันนี้ก็คงเลือกมาแล้ว คุณเลือกเหนือหัวใช่ไหม”ดวงฤทัยพยักหน้ารับทันทีไม่รอช้า“ใช่ ดวงตัดสินใจแล้วว่าจะขอละเมิดสัญญาที่ทำไว้ ไม่มีสิ่งใดแทนที่พี่เหนือได้ ดวงไม่ต้องการบ้านหรือฟาร์ม”“ดื่มน้ำก่อนสิ”นฤเบศร์เอ่ยแนะนำเมื่อเสียงของดวงฤทัยทั้งแหบแห้งและฟังเหนื่อยล้า นั่นคงเพราะเธอคงร้องไห้มาทั้งคืน ร่างเล็กหยุดไปชั่งครู่แล้วทำตามที่เขาบอก“ดวงรู้หรือเปล่าว่าในสัญญานอกจากจะสูญเสียทุกอย่างแล้ว ยังต้องชดใช้เงินสินสอดกลับคืนอีกด้วย”ดวงฤทัยหน้าซีดเผือดวางแก้วลงมือสั่นเล็กน้อยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ“ดวงจำได้ดี และสินสอดที่คุณพ่