มหาวิทยาลัย
มิลินในชุดนักศึกษาพอดีตัวดึงสายตาจากคนแถวนั้นไว้ รูปร่างของเธอสมส่วน ผิวพรรณขาวผ่อง ทั้งยังขับรถหรู ประกาศฐานะอยู่ในตัว กลายเป็นที่ฮือฮาในชั่วพริบตา
มิลินย่นคิ้วเข้าหากัน สายตาของเธอไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้ และบางคนก็ไม่ได้มองด้วยความชื่นชมเธอซะด้วย
“เบะปากซะงั้น” มิลินกลอกตาไปมาแล้วเบะปากใส่ ถึงเธอจะเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้พวกรุ่นพี่มามองด้วยความหมั่นไส้อย่างนั้น
สาว ๆ ต่างพากันซุบซิบว่าสาวสวยคนนี้ท่าทางจะเป็นตัวแม่ของมหาลัยในไม่ช้า ทั้งสวยเริ่ดเชิดซะขนาดนี้ และยังไม่ยอมใครอีก
มิลินเดินมาถึงตึกคณะนิเทศศาสตร์ เธอก็กวาดตามองหาเพื่อนสนิทที่มาเรียนด้วยกัน
“มิลินทางนี้” มินนี่ตะโกนเรียก
มิลินเดินผ่านพวกรุ่นพี่ที่มองจิกเธออยู่ เธอก็ตวัดสายตาไปมองจนอีกฝ่ายตกใจ หญิงสาวยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“สวัสดีค่ะพี่ มองหนูแบบนี้ มีอะไรปะคะ” น้ำเสียงของเธอยียวน
“ไม่มี”
“ก็นึกว่ามีซะอีก เห็นสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรเลย” มิลินยิ้มเหยียดหยามรุ่นพี่ นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน
“มีอะไรวะ” มินนี่เห็นว่ามิลินหยุดคุยกับรุ่นพี่ ท่าทางของแต่ละคนไม่ค่อยดีเอาซะเลย เธอเลยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“มองเหยียดกู แต่พอกูถามบอกไม่มีอะไร” มิลินเบะปากคว่ำ
“มึงอย่าเพิ่งออกตัวมาก วันนี้มีงานต้อนรับเฟรชชี่ เดี๋ยวจะโดนมันแกล้งเอา”
“ฮะ งานต้อนรับอะไรวะ”
“ก็เหมือนรับน้องนั่นแหละ”
มิลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมนี้เลย ยังไม่ได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทต่อ รุ่นพี่ก็ประกาศเรียกให้ไปนั่งรวมกันอยู่ที่ลานหน้าตึก
“ทำไมต้องให้มาร่วมกิจกรรมอะไรแบบนี้ด้วย” มิลินเอ่ยออกมา หน้าตางอง้ำ มือก็ลูบคลำกระเป๋าราคาแพงที่วางอยู่บนตัก เธอไม่อยากวางลงกับพื้นเดี๋ยวกระเป๋าจะเปรอะเปื้อนเอาได้
“กูโคตรเบื่อ” มินนี่เอ่ยออกมา รุ่นพี่เอาแต่พูดยาวเหยียด เธอไม่ได้สนใจที่จะฟังเลยสักนิด
“เห็นว่าเป็นกิจกรรมของคณะนะ ไม่งั้นก็ลุกหนีกลับบ้านละ” มิลินเอากระดาษทิชชูมาซับเหงื่อที่ซึมอยู่ตามกรอบหน้า อยู่บ้านแอร์เย็นฉ่ำ แต่พอมาอยู่มหาลัยต้องมาทนนั่งตากแดดร้อน ๆ
“เดี๋ยวน้อง ๆ เขียนชื่อตัวเองไว้บนป้ายเลยนะคะ แล้วเอาคล้องคอไว้เลย เพื่อน ๆ จะได้รู้จักนะ” รุ่นพี่ตะโกนเสียงดัง
“กูว่าพี่คนนี้ต้องเสียงแหบแน่” มิลินกระซิบคุยกับมินนี่แล้วพากันหัวเราะ
“ขำอะไรกัน รับกระดาษไปเขียนชื่อสิน้อง” รุ่นพี่ที่ยืนล้อมอยู่สะกิดที่ไหล่ของมิลิน
หญิงสาวยักไหล่แล้วรับกระดาษจากเพื่อนข้างหน้ามาเขียนชื่อตัวเองลงไป แล้วคล้องคอไว้ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิท
“ถึงยังไงกูก็คงรู้จักกับมึงแค่สองคนนี่แหละ” มิลินเข้าหาใครไม่เก่งทั้งที่อยากมีเพื่อนเพิ่ม หน้าตาของเธอหากไม่ยิ้มก็ดูดุ แล้วแบบนี้ใครจะอยากมาเป็นเพื่อนกับเธอกันล่ะ
หญิงสาวถอนหายใจแล้วมองเพื่อนปีหนึ่งที่กำลังทำความรู้จักกันไว้ พอมีใครหันมามองที่เธอ เธอก็ลองยิ้มให้ แต่อีกฝ่ายกลับหลบตา
“ฮ่า ๆ มึงอย่าพยายามเลยมิลิน” มินนี่หัวเราะร่วน
“กูน่ากลัวตรงไหนวะ” มิลินเกาหัวตัวเองด้วยความงุนงง เธออุตส่าห์ยิ้มทักกลับหลบหน้าเธอซะงั้น
มิลินหยุดความคิดที่จะหาเพื่อนเพิ่มอีก ให้คนอื่นเป็นฝ่ายเข้าหาเธอแทนก็แล้วกัน หญิงสาวนั่งกอดกระเป๋าฟังรุ่นพี่พูดต่อไป จนกระทั่งได้เวลากลับบ้าน
“แยกย้ายกันกลับบ้านได้ค่ะ วันพรุ่งนี้เรามารวมกันที่นี่เวลาเดิมนะคะ”
“ยังมีต่ออีกเหรอ” มิลินเอ่ยถามเสียงดัง สายตาของเพื่อนปีหนึ่งต่างหันมามองที่เธอ
“มีต่อค่ะน้อง” น้ำเสียงของรุ่นพี่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
มิลินถอนหายใจแล้วพยักหน้าเพื่อสื่อว่าตัวเองเข้าใจแล้ว เธอจะไปค้านอะไรได้เพราะรุ่นพี่พูดกรอกหูอยู่ตลอดว่าเป็นกิจกรรมของคณะ
หญิงสาวกลับมาที่บ้านด้วยท่าทางอ่อนแรง คนรับใช้รีบเอาน้ำหวานมาเสิร์ฟให้เพราะเห็นสีหน้าของคุณหนูไม่ค่อยดี
“เหนื่อยเหรอคะ”
“เหนื่อยค่ะ ร้อนมาก ๆ เลย มิลินขึ้นไปนอนบนห้องก่อนนะคะ” หญิงสาวดื่มน้ำหวานหมดแก้วแล้วส่งคืนให้คนรับใช้ เธอเดินขึ้นไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ในห้องแอร์เย็น ๆ แล้วหลับไปในทันที
บทที่ 6 “ยัยมิลิน!” มินนี่หันซ้ายหันขวามองท่าทางของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เห็นว่าไม่มีใครสนใจก็เลยหันมาถลึงตาใส่เพื่อนรัก “กูหุบปากก็ได้” มิลินยู่หน้าใส่เพื่อนแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ “น้อง ๆ หันหน้าเข้าหาเพื่อนแถวข้าง ๆ เลยค่ะจะได้ทำความรู้จักกันนะคะ” เสียงรุ่นพี่ดังก้องไปทั่ว แต่มิลินยังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม จนมินนี่ต้องสะกิดเรียก หญิงสาวถอนหายใจแล้วนั่งหันหน้าเข้าหาเพื่อนแถวข้าง ๆ ตามคำสั่งของสาวรุ่นพี่ อีกฝ่ายหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร ทว่ามิลินกลับทำหน้านิ่ง ๆ จนคนตรงหน้าต้องหลบตาลง “จะก้มหน้าทำไม เราไม่ได้ดุซะหน่อย” มิลินเอ่ยขึ้นมา เธอรู้ตัวว่าหน้าตัวเองไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร เธอเลยคลี่ยิ้มบางให้ “น้อง ๆ อ่านชื่อเพื่อนจากป้ายที่ห้อยคอค่ะ อ่านทีละคนนะคะ” ‘พิมพ์’ มิลินมองป้ายชื่อของคนตรงหน้า แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของพิมพ์ “ป้ายชื่อของเธอล่ะ” พิมพ์เอ่ยถาม มิลินก้มมองตัวเองถึงได้รู้ว่าไม่ได้เอาป้ายมาคล้องคอไว้ หญิงสาวเปิดกระเป๋าใบเล็กแล้วควานหาป้ายชื่อ ใบหน้าของเธอเจื่อนลง แล้ว
บทที่ 5 ร่างเล็กยังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงทั้งที่เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่นานแล้ว มิลินเอื้อมไปกดปิดเสียงนาฬิกาเพื่อตัดความรำคาญ แต่หญิงสาวก็ยังนอนกลิ้งไปมาอยู่อย่างนั้น ไม่อยากไปมหาลัยเลย! มิลินเบะปากคว่ำ กิจกรรมต้อนรับน้องเฟรชชี่ยังมีวันนี้อีกวันนึง เธอถึงได้เบื่อไม่อยากไปเข้าร่วม หากแต่จะโดดกิจกรรมก็ไม่ได้ เพราะรุ่นพี่ขู่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าจะมีผลไปถึงคะแนนกิจกรรม “เบื่อ!!!” มิลินนั่งแล้วเอาตุ๊กตัวหมีมากอดแน่น หน้าตาของเธององ้ำยังไม่อยากลุกไปอาบน้ำ แต่ก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หญิงสาวเลยจำใจลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว บิดาและมารดาของเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ท่านมองหน้าลูกสาวด้วยความงุนงงเพราะสีหน้าของมิลินไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ท่าเดินก็เหมือนคนอ่อนแรง “เป็นอะไรมิลิน ทำไมหน้าตางอแงอย่างนั้น” มารดาเอ่ยถามขึ้นมา “ไม่อยากไปมหาลัยเลยค่ะแม่” มิลินนั่งลงโดยที่ไม่ได้มองพ่อและแม่เลย แม่บ้านเอาข้าวต้มร้อน ๆ มาเสิร์ฟให้ เธอก็เอาแต่เขี่ยข้าวอย่างกับรสชาติแย่มากจนกินไม่ลง “ตอนแรกมิลินยังนับวันรอไปเรียนอยู่เลยนิ” บิดาอมยิ้มด
บทที่ 4 มหาวิทยาลัย มิลินในชุดนักศึกษาพอดีตัวดึงสายตาจากคนแถวนั้นไว้ รูปร่างของเธอสมส่วน ผิวพรรณขาวผ่อง ทั้งยังขับรถหรู ประกาศฐานะอยู่ในตัว กลายเป็นที่ฮือฮาในชั่วพริบตา มิลินย่นคิ้วเข้าหากัน สายตาของเธอไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้ และบางคนก็ไม่ได้มองด้วยความชื่นชมเธอซะด้วย “เบะปากซะงั้น” มิลินกลอกตาไปมาแล้วเบะปากใส่ ถึงเธอจะเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้พวกรุ่นพี่มามองด้วยความหมั่นไส้อย่างนั้น สาว ๆ ต่างพากันซุบซิบว่าสาวสวยคนนี้ท่าทางจะเป็นตัวแม่ของมหาลัยในไม่ช้า ทั้งสวยเริ่ดเชิดซะขนาดนี้ และยังไม่ยอมใครอีก มิลินเดินมาถึงตึกคณะนิเทศศาสตร์ เธอก็กวาดตามองหาเพื่อนสนิทที่มาเรียนด้วยกัน “มิลินทางนี้” มินนี่ตะโกนเรียก มิลินเดินผ่านพวกรุ่นพี่ที่มองจิกเธออยู่ เธอก็ตวัดสายตาไปมองจนอีกฝ่ายตกใจ หญิงสาวยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “สวัสดีค่ะพี่ มองหนูแบบนี้ มีอะไรปะคะ” น้ำเสียงของเธอยียวน “ไม่มี” “ก็นึกว่ามีซะอีก เห็นสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรเลย”
บทที่ 3“ยัยมิลิน หนูรูดซื้ออะไรไปเนี่ย” เสียงแหลมแผดดังจนมิลินต้องเอามือขึ้นปิดหู ดวงตาคู่สวยมองไปที่มารดา ท่านทำท่าคล้ายจะเป็นลมจนคนรับใช้ต้องเอายาดมมาให้ “ฮ่า ๆ คุณไม่ชินเหรอ” ชายวัยกลางคนมองลงมาจากราวบันไดที่เคลือบสีทอง เขาหัวเราะให้กับท่าทางของภรรยา ช็อกถึงขั้นที่ต้องมีคนคอยประคองเอาไว้เลยเหรอ เขาเห็นภรรยาของตัวเองเป็นแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เวลาที่เห็นบิลบัตรเครดิต เธอน่าจะชินได้แล้วแต่ทว่าก็ไม่เห็นจะชินสักที “คุณดูบิลก่อนเถอะค่ะ ยัยมิลินเอาไปรูดซื้อมาทั้งห้างเลยมั้ง” “เวอร์ไปค่ะคุณแม่” มิลินหน้างอใส่มารดา ท่านพูดเกินจริงไปมากเพราะบิลก็ไม่ได้สูงไปจากเดิมสักเท่าไหร่ หญิงสาวรับเสื้อสูทของบิดามาถือไว้อย่างเอาใจ จะได้มีคนช่วยไม่ให้ตัวเองต้องถูกแม่ดุ “ไม่เวอร์หรอก รูดซื้ออะไรไปเป็นล้าน” “กระเป๋าค่ะ” มิลินตอบออกไปตรง ๆ เธอเอาไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมคอลเลกชันใหม่ อุตส่าห์ไปซื้อมาจนได้ หากช้ากว่านี้เธอก็คงอดแน่ ๆ เพราะยังมีอีกหลายคนที่เข้ามาซื้อแต่ก็ต้องพลาดไป “ยัยมิลิน แกซื้อกระเป๋าอะไรขนาดนั้น” “กระเป๋าน่ะส่วนนึง แ
บทที่ 2 “ทำหน้าให้มันสนุก ๆ หน่อยดิวะ นัดมาดื่มก่อนเข้าเรียนต้องปลดปล่อยดิวะ” ปอร์เช่หันไปมองหน้าฟาโรแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก คืนนี้พวกเขานัดกันมาดื่มก่อนที่จะต้องแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัย “เออ” ชายหนุ่มตอบเพื่อนแล้วยกแก้วขึ้นมาชนกัน ความเซ็งพลันหายไปในพริบตา เพราะคิดว่าต้องสนุกให้เต็มที่ เผื่อว่าเข้าเรียนมหาลัยแล้วจะไม่มีเวลาได้ออกมาสนุกแบบนี้อีก ปอร์เช่ไม่หันไปมองสาวสวยคนนั้น แต่หัวใจมันก็เรียกร้องให้ต้องคอยหันไป เขาจึงตรึงสายตาไว้ที่เธอแค่คนเดียว ไม่ให้ผู้ชายที่มาด้วยในเข้ามาอยู่ในสายตาเด็ดขาด! “มึงเมาแล้วเหรอวะ” ฟาโรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วปอร์เช่ไม่ค่อยเมา แต่คืนนี้เขากลับเมาเป็นคนแรก ปอร์เช่นั่งคอตกยกมือขึ้นปฏิเสธ เขากำลังสื่อว่าตัวเองไม่เมาทั้งที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่อยากถูกแซวว่าคืนนี้เมาก่อนใครเพื่อน แต่ท่าทางของเขาก็ปิดเอาไว้ไม่มิด “มึงอะเมาแล้วไม่ต้องโกหก” พัตเตอร์พูดเสียงดังกรอกหู ปอร์เช่ตวัดสายตาขุ่นไปให้แล้วลุกขึ้นจะเข้าไปเตะเพื่อนสักที แต่ทว่าพอเขาลุกก็เซไปชนก
บทที่ 1รถสปอร์ตคันหรูเลี้ยวเข้ามาที่ผับชื่อดัง ดึงสายตาของนักท่องราตรีเอาไว้ แต่ที่ทำให้สาว ๆ ต่างพากันสนใจมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่รถหรูคันนั้นเพราะย่านนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของพวกคนมีเงิน รถหรู มีให้เห็นอยู่เต็มลานจอด แต่เป็นเจ้าของรถต่างหากที่เรียกความสนใจไว้ ปอร์เช่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตา พลันรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็โผล่ขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา เขาแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่ามีคนมองแล้วเดินผ่านพวกสาว ๆ เข้าไปข้างใน เขานัดแนะกับเพื่อนแก๊งนี้อยู่เป็นประจำเพราะชอบออกมาเที่ยวท่ามกลางแสงสีในค่ำคืน เพื่อนกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกของเพื่อนพ่อทั้งนั้น ถึงได้สนิทสนมกันจนชวนเที่ยวอยู่ตลอดแบบนี้ “ปอร์เช่” พัตเตอร์ยกมือเรียกเพื่อนรักที่ยังเพลิดเพลินกับการเดินโปรยเสน่ห์ให้สาว ๆ ปอร์เช่ถลึงตาใส่คนที่กำลังโบกมือเรียก ชายหนุ่มมาบ่อยจนมีโต๊ะประจำจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเพื่อน ๆ นั่งอยู่ไหน ที่เรียกเขาไว้ก็แค่จะแกล้งขัดขาให้เลิกอ่อยสาว ๆ “มึงจะรีบเรียกมันทำไม หน้ามันบูดเลย” ฟาโรกระตุกยิ้มเย้ยหยันปอร์เช่ คำพูดของเขาเหมือนกับเห็นใจทั้งที่เขากำลังซ้ำเติมซะมากกว่า