เสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาตามสายลมหนาวเหน็บยามเช้าของฤดูใบไม้ร่วง กลิ่นดินชื้นและใบไม้ที่ร่วงหล่นอวลอยู่ในอากาศ แม้จะอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่มที่หนานุ่ม เมรี่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกที่ซึมเข้ามาถึงกระดูก ไม่ใช่เพียงเพราะอุณหภูมิภายนอก แต่เป็นความเย็นยะเยือกที่เกาะกุมอยู่ในจิตใจของเธอตั้งแต่วันนั้น...วันที่ทุกสิ่งพังทลายลง
สองเดือนเต็มแล้วนับตั้งแต่ ท่านพ่อ โรเบิร์ต แบล็ควู้ด ผู้เป็นที่รักยิ่ง และ ท่านแม่ เอเลนอร์ จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทิ้งให้บ้านสีเทาหม่นแห่งตระกูลแบล็ควู้ดที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันฉลาดเฉลียวจากคดีปริศนาที่กำลังถูกคลี่คลาย กลายเป็นเพียงซากปรักหักพังของความทรงจำ เมรี่ในวัยสิบเจ็ดปีต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายเพียงลำพัง พี่ชายทั้งสองคนของเธอ อเล็กซานเดอร์ และ เฟรเดอริค ซึ่งเป็นนักสืบที่ออกเดินทางไปทำงานในต่างเมือง ไม่ได้รับข่าวสารการจากไปของบิดามารดาเลยแม้แต่น้อย เมรี่พยายามส่งจดหมายไปหาพวกเขา แต่ก็ไร้การตอบรับ นั่นยิ่งเพิ่มพูนความกังวลและความรู้สึกโดดเดี่ยวให้กับเธอ ความวุ่นวายยังไม่จบสิ้น เมื่อ ท่านลุงเฮนรี่ และ ท่านป้าวีโอเล็ต ผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเอกสารมากมายและท่าทีที่เร่งรีบ ราวกับเกรงว่าสมบัติของตระกูลแบล็ควู้ดจะอันตรธานไปไหนเสียก่อน ความเศร้าโศกเสียใจยังไม่ทันจางหายดี เมรี่ก็ต้องเผชิญกับอีกหนึ่งคำสั่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล "เมรี่ที่รัก" ท่านป้าวีโอเล็ตเอ่ยเสียงอ่อนโยนเกินจริง ดวงตาเล็กๆ ของนางจ้องมองมาที่เมรี่อย่างพิจารณา "เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโรเบิร์ตและเอเลนอร์จริงๆ แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปนะจ๊ะ" ท่านลุงเฮนรี่ ซึ่งมักจะซ่อนใบหน้าเคร่งขรึมไว้ภายใต้เคราสีเข้ม พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่แล้วหลานรัก และในฐานะผู้ปกครองคนใหม่ของเจ้า เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอก" หัวใจของเมรี่เต้นระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติจากแววตาของทั้งสองคน "เรื่องอะไรคะ ท่านลุง ท่านป้า?" "ด้วยความรักและความเป็นห่วงอย่างที่สุด" ท่านป้าวีโอเล็ตจิบชาพลางยิ้มเย็น "เรารู้ว่าเจ้ายังเด็กนัก และจำเป็นต้องได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เติบโตเป็นสุภาพสตรีที่สมบูรณ์แบบ" "แต่หนู..." เมรี่พยายามจะโต้แย้ง เธอรู้ดีว่าคำว่า 'สุภาพสตรีที่สมบูรณ์แบบ' ในพจนานุกรมของท่านป้าวีโอเล็ตนั้น ห่างไกลจากความฝันที่จะเป็นนักสืบอย่างลิบลับ "หนูได้เรียนรู้จากท่านพ่อมาเยอะแล้วค่ะ ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ วรรณคดี และคณิตศาสตร์" ท่านลุงเฮนรี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "นั่นคือการศึกษาสำหรับบุรุษต่างหากเมรี่! ไม่เหมาะสำหรับสตรีผู้สูงศักดิ์โดยสิ้นเชิง เจ้าควรเรียนรู้เรื่องการจัดการบ้านเรือน การปักเย็บ การร่ายรำ และที่สำคัญที่สุดคือการวางตัวให้เหมาะสมในสังคม" "และเราได้ตัดสินใจแล้วว่า" ท่านป้าวีโอเล็ตเสริมขึ้นทันควัน "เจ้าจะต้องย้ายไปอยู่ที่ โรงเรียนสตรีเลดี้เอเมไลน์ ที่เมืองบาธในสัปดาห์หน้า" คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจของเมรี่ "โรงเรียนประจำหรือคะ?" เสียงของเธอแผ่วลง ความตกใจแผ่ซ่านไปทั่วร่าง "ใช่แล้วจ้ะ" ท่านป้าวีโอเล็ตยิ้มกว้างขึ้น "เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในอังกฤษเลยนะจ๊ะ มีแต่ลูกสาวผู้ดีมีสกุลเท่านั้นที่จะได้เข้าเรียนที่นั่น" "แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยนี่คะ!" เมรี่ลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ "และหนู...หนูไม่อยากไป!" ท่านลุงเฮนรี่ตบโต๊ะเบาๆ "เมรี่! เจ้าจะพูดจาหยาบคายกับผู้ใหญ่ได้อย่างไร? การเป็นนักสืบอะไรนั่นมันเป็นเรื่องไร้สาระของบุรุษ! พ่อเจ้าก็จากไปแล้ว เหลือแต่เจ้าคนเดียวในฐานะลูกสาวตระกูลแบล็ควู้ด เจ้าต้องแบกรับชื่อเสียงของตระกูล และต้องเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีในอนาคตอันใกล้!" "แต่หนูอยากเป็นนักสืบเหมือนท่านพ่อ! เหมือนพี่ชายทั้งสอง!" เมรี่ตะโกนตอบ เธอไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกผิดหวังและคับข้องใจไว้ได้อีกต่อไป ท่านป้าวีโอเล็ตมองเมรี่ด้วยแววตาตำหนิ "เห็นไหมล่ะเฮนรี่ นิสัยห่ามๆ แบบนี้แหละที่ต้องได้รับการขัดเกลา! ที่โรงเรียนเลดี้เอเมไลน์มีระเบียบวินัยเข้มงวด รับรองว่าเจ้าจะกลายเป็นสุภาพสตรีที่เรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว" "พวกท่านไม่มีสิทธิ์! หนูไม่ได้ยินดีกับเรื่องนี้เลย!" เมรี่รู้สึกว่ากำแพงแห่งอิสรภาพของเธอกำลังพังทลายลงตรงหน้า "เรามีสิทธิ์โดยสมบูรณ์!" ท่านลุงเฮนรี่ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเมรี่ "ในฐานะผู้ปกครองของเจ้า! และนี่คือคำสั่ง ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น!" และแล้ว สัปดาห์แห่งความอ้างว้างก็มาถึง เมรี่ถูกย้ายมายัง โรงเรียนสตรีเลดี้เอเมไลน์ ในเมืองบาธ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ดี แต่บัดนี้กลายเป็นกรงขังสำหรับเธอ โรงเรียนแห่งนี้ตั้งตระหง่านราวกับป้อมปราการหินสีเทาดูน่าเกรงขาม กำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบอาคาร ปิดกั้นเมรี่จากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเมรี่ กุม กุญแจทั้งสี่ดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือ แต่ละดอกเปล่งประกายพลังงานที่แตกต่างกันออกไป บัดนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความหมายของแต่ละดอก: ความทรงจำที่หายไป, บทเพลงแห่งผู้ถูกจองจำ, ความเจ็บปวดจากอดีต และ แสงสว่างแห่งศรัทธา เหลือเพียง กุญแจดอกสุดท้าย — 'กุญแจแห่งอนาคต' — ที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' และเผชิญหน้ากับ 'ผู้สร้างแห่งหายนะ'หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 4 จากโบสถ์แห่งศรัทธา ทุกคนก็รีบเดินทางกลับมาที่ 'ป่าต้องห้าม' เพื่อพบกับ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู พวกเขาเชื่อว่าเธออาจมีเบาะแสสุดท้ายเกี่ยวกับกุญแจดอกที่ 5เมื่อมาถึง ประตูแห่งกาลเวลา ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางป่า เอเลนอร์ก็ยืนรอพวกเขาอยู่แล้ว ร่างของเธอยังคงเปล่งแสงสีเขียวมรกตที่อบอุ่น"ยินดีด้วยที่พวกเจ้าได้กุญแจดอกที่ 4 มา" เอเลนอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "แต่เส้นทางข้างหน้ายังคงอันตรายนัก""ท่านพอจะบอกได้ไหมครับว่ากุญแจดอกที่ 5 อยู่ที่ไหน?" ปู่ทวด ถามอย่างมีความหวังเอเลนอร์หลับตาลงชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยแสงแห่งปัญญา "กุญแจดอกที่ 5 นั้น...อยู่ใกล้กว่า
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสามดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น แต่ละดอกเป็นเครื่องยืนยันถึงการเดินทางที่ยาวนานและอันตรายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ามา ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสามในห้าดอกแล้ว เหลืออีกเพียงสองดอกเท่านั้นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 3 จากหัวหน้าหมู่บ้านแบล็ควินด์ พวกเขาก็รีบออกเดินทางต่อทันที ปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวงอีกครั้ง เพื่อค้นหาเบาะแสของกุญแจดอกที่ 4 "คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 4 คือ 'ที่ซึ่งความศรัทธาถูกทดสอบ... ที่ซึ่งแสงสว่างส่องนำทางในความมืดมิด...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์" "โบสถ์อย่างนั้นหรือครับ!" นักสืบโธมัส กล่าว "อาจจะเป็นไปได้" ปู่ทวดพยักหน้า "โบสถ์เก่าแก่บางแห่งถูกสร้างขึ้นบนจุดที่พลังงานแห่งกาลเวลาไหลเวียน...และอาจมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ 'กุญแจแห่งกาลเวลา' ซ่อนอยู่" พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของประวัติศาสตร์อันยาวนานและตำนานลึกลับที่เล่าขานกันมา แม่ชีผู้รอคอย การเดินทางไปยังโบสถ์นั้นค่อนข้างราบรื่น หล
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสองดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เข็มทิศแห่งความจริง และ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว หลังจากที่ได้ กุญแจดอกที่ 2 จาก ป่าต้องคำสาป ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสองในห้าดอกแล้ว แต่ละดอกล้วนเป็นหลักฐานของการเดินทางอันยาวนานและความลึกลับของ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาออกเดินทางจากป่าฮอคเฮิร์สท์ด้วยรถม้า โดยมี ไคโรส และสมาชิกของ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะยังคงมีคำถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีพันธมิตรที่รู้เรื่องกาลเวลาดีก็ถือเป็นเรื่องดี"เราจะไปหากุญแจดอกที่ 3 ที่ไหนกันครับปู่ทวด?" นักสืบโธมัส ถามขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนลูกรังที่คดเคี้ยวปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวง เขาพยายามถอดรหัสคำใบ้ของ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู"คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 3 คือ 'ที่ซึ่งเสียงหัวเราะกลายเป็นความเงียบงัน... ที่ซึ่งชีวิตถูกพรากไปโดยไร้ร่องรอย...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ที่กำลังประสบปัญหาใหญ่"คำขอจากชายชราผู้ผอมโทรมยังไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสิน
เบื้องหน้า เมรี่ และทีม คือ 'ประตูแห่งกาลเวลา' บานมหึมาที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และสัญลักษณ์โบราณ มันดูเก่าแก่และน่าเกรงขาม ราวกับเป็นประตูสู่โลกอีกใบหนึ่ง หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดใน 'ป่าต้องห้าม' และการได้มาซึ่งพันธมิตรที่ไม่คาดฝันอย่าง ไคโรส ผู้นำ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ตอนนี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังประตูบานนั้นด้วยความคาดหวังและกังวลใจ"เราจะเปิดมันได้อย่างไรครับ?" นักสืบโธมัส ถามพลางสำรวจประตูปู่ทวด มองไปที่แผนที่โบราณในมือ "ตำราโบราณกล่าวว่า 'ประตูแห่งกาลเวลา' ไม่ได้เปิดออกด้วยพละกำลัง...แต่ด้วยกุญแจแห่งความเข้าใจ"ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีเขียวมรกตก็ส่องประกายออกมาจากบริเวณด้านบนของประตู!"วูบบบบบบบบบบบ!"ร่างของ หญิงสาวคนหนึ่ง ที่สวมชุดสีเขียวมรกตดูราวกับชุดของเทพธิดา ปรากฏขึ้นจากแสงสว่างนั้น เธอมีใบหน้าที่งดงาม ดวงตาของเธอเปล่งประกายสีเขียวมรกตราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน เส้นผมของเธอพลิ้วไหวราวกับกระแสเวลาที่มองไม่เห็น"ยินดีต้อนรับ...ผู้พิทักษ์แห่งกาลเวลา" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า "ข้าคือ เอเลนอร์... ผู้เฝ้าประตูแห่งกาลเวลา"เมรี่เบิกตากว้าง "เลดี้เ
หลังจากช่วยเหลือชาวบ้านจากกลุ่มโจรป่าที่ถูกควบคุมโดย 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ได้สำเร็จ เมรี่ และทีมก็เร่งรัดการเดินทางไปยัง 'ประตูแห่งกาลเวลา' ที่ซ่อนอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน พวกเขาขึ้นรถม้าอีกครั้ง โดยมีชาวบ้านที่รอดชีวิตช่วยส่งไปถึงปากทางเข้าป่าที่เปล่าเปลี่ยว"ประตูแห่งกาลเวลาอยู่ที่นี่ครับ" ปู่ทวด ชี้ไปที่แผนที่เก่าแก่ที่บัดนี้ดูเหมือนจะส่องแสงเรืองรองขึ้นมาเองเมื่ออยู่ใกล้ เข็มทิศแห่งความจริง ของเมรี่ "มันถูกซ่อนไว้อย่างดี...เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมัน"ป่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูไม่เหมือนป่าทั่วไป ต้นไม้สูงใหญ่หนาทึบจนแสงอาทิตย์แทบส่องไม่ถึง บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ที่สร้างเสียงหวิวๆ ราวกับเสียงกระซิบของสิ่งเร้นลับ"ป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า 'ป่าต้องห้าม' ครับ" นักสืบโธมัส กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตำนานเล่าว่าไม่มีใครเคยเข้าไปในป่าแห่งนี้แล้วกลับออกมาได้อีกเลย""นั่นเพราะมันคือทางเข้าสู่มิติอื่น" ปู่ทวดเสริม "มันไม่ได้มีแค่ต้นไม้และสัตว์ป่า...แต่มันมี กับดักแห่งกาลเวลา ที่ซ่อนอยู่"เมรี่กำเข็มทิศแห่งความจริงไว้แน่น เธอรู้
เมรี่ กุม เข็มทิศแห่งความจริง ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว ที่เธอเก็บรักษามาอย่างดี ทั้งหมดคือสิ่งจำเป็นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในหอสมุดหลวง พวกเขาตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยรถม้าอีกครั้ง เพราะเกรงว่าการใช้รถไฟอาจทำให้พวกเขาถูก 'ผู้สร้างแห่งหายนะ' หรือกลุ่ม 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ดักทางได้ง่ายกว่าพวกเขาเช่ารถม้าที่ดูเก่าแต่แข็งแรงคันหนึ่ง มุ่งหน้าออกจากลอนดอนในยามเช้าตรู่ โดยมี ปู่ทวด นั่งอยู่ข้างเมรี่ในห้องโดยสาร นักสืบโธมัส สลับกันนั่งกับ อเล็กซานเดอร์ ที่บังเหียน ขณะที่ เฟรเดอริค, เบ็น, เอดิสัน, มิสเตอร์คลาร์ก และ 'ผู้พิทักษ์แห่งราชบัลลังก์' ติดตามไปอีกคัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีกำลังเพียงพอหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน"ตามแผนที่โบราณ 'ประตูแห่งกาลเวลา' ตั้งอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอนครับ" ปู่ทวดกล่าวพลางกางแผนที่ที่ได้มาจากหอสมุดหลวงเมรี่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของชนบทอังกฤษกำลังผลัดเปลี่ยนจากทุ่งหญ้าเขียวขจีเป็นป่าทึบที่ปกคลุมด้วยหมอกยามเช้า บรรยากาศเงียบสงบ แต่ในใจของเมรี่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น