"ยินดีต้อนรับสู่เลดี้เอเมไลน์ มิสแบล็ควู้ด" ท่านอาจารย์ใหญ่ มาดามเซเลสต์ หญิงชราผู้ดูสง่างามแต่มีดวงตาเฉียบคมดุจเหยี่ยว กล่าวต้อนรับเมรี่ที่ประตูทางเข้า เสียงของนางเย็นชาและไร้ความรู้สึก "หวังว่าเธอจะมีความสุขกับการเรียนรู้การเป็นสุภาพสตรีที่แท้จริงที่นี่"
ภายในโรงเรียน ทุกสิ่งล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ห้องเรียนสะอาดสะอ้าน บรรยากาศเงียบสงบจนน่าอึดอัด เด็กสาวทุกคนแต่งกายด้วยชุดนักเรียนสีเทาเข้มเหมือนกันหมด ผมถูกรวบเรียบร้อย ไม่มีเส้นใดเล็ดลอดออกมา กิริยาท่าทางงดงามราวกับตุ๊กตาเคลือบเซรามิก เมรี่รู้สึกราวกับเป็นแกะดำในฝูงหงส์หิมะ เมรี่พยายามปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ แต่ทุกวันคือการทรมาน เธอถูกบังคับให้เรียนรู้การปักครอสติช การเล่นเปียโน การจัดดอกไม้ และที่น่าเบื่อที่สุดคือ วิชาการวางตัวเป็นสุภาพสตรี ซึ่งสอนโดย มิสพริสซิลล่า อาจารย์ผู้มีท่าทางเคร่งขรึมและรอยยิ้มที่ไม่เคยไปถึงดวงตา "มิสแบล็ควู้ด! หลังตรง! ไหล่ผาย! อย่าห่อไหล่เยี่ยงบุรุษ!" เสียงแหลมๆ ของมิสพริสซิลล่าดังก้องในห้องโถงกว้าง เมื่อเมรี่เผลอเอียงตัวเล็กน้อยขณะจดบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การปักผ้าเช็ดหน้า "แต่หลังหนูตรงอยู่แล้วนะคะมิสพริสซิลล่า" เมรี่แย้งเบาๆ แต่ก็ถูกสายตาพิฆาตของอาจารย์จ้องมองกลับมา "อย่าเถียง! สุภาพสตรีที่ดีไม่เคยโต้เถียงผู้ใหญ่!" มิสพริสซิลล่าชี้ไม้เรียวไปที่เมรี่ "และจำไว้ว่า รอยยิ้มของสุภาพสตรีควรเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ไม่ใช่รอยยิ้มแบบ...แบบที่ผู้ชายชอบใช้กัน!" เมรี่กัดฟันแน่น เธออยากจะตะโกนออกไปว่ารอยยิ้มที่เธอมีคือรอยยิ้มที่แสดงความมั่นใจ ไม่ใช่รอยยิ้มจอมปลอมที่ต้องเสแสร้ง แต่เธอก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ ในยามค่ำคืน เมื่อแสงเทียนในห้องนอนรวมริบหรี่ลง เด็กสาวคนอื่นๆ หลับใหลไปแล้ว เมรี่มักจะแอบหยิบสมุดบันทึกเก่าๆ ที่พ่อของเธอเคยใช้จดคดีต่างๆ ออกมาเปิดอ่าน เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่ง พ่อเคยบอกเธอว่า "เมรี่เอ๋ย ดวงตาที่ดีไม่ใช่แค่เห็น แต่ต้องมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และนั่นแหละคือนักสืบที่แท้จริง" เธอคิดถึงเสียงหัวเราะของพ่อ คิดถึงพี่ชายทั้งสอง อเล็กซานเดอร์ผู้เงียบขรึมแต่เฉียบคม และเฟรเดอริคผู้ร่าเริงและมีไหวพริบ ทุกครั้งที่พ่อและพี่ชายกลับมาจากคดีใหม่ๆ บ้านของเธอก็จะกลายเป็นห้องสืบสวนเล็กๆ พวกเขาถกเถียง แลกเปลี่ยนความเห็น วาดภาพจุดเกิดเหตุ และเมรี่มักจะแอบฟังอย่างตั้งใจ จดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนา เธอเคยไขปริศนาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านได้ด้วยตัวเองหลายครั้ง จนพ่อถึงกับเอ่ยปากชมว่าเธอมีพรสวรรค์ "เมรี่" พ่อเคยพูดกับเธอ ดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ "ลูกมีความสามารถพิเศษจริงๆ บางที...ลูกอาจจะเป็นนักสืบที่เก่งที่สุดในตระกูลแบล็ควู้ดเลยก็ได้" คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหูของเมรี่ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดที่เธอไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ "ฉันจะไม่ยอมอยู่ที่นี่เด็ดขาด" เมรี่กระซิบกับตัวเองในความมืด ดวงตาของเธอฉายแววมุ่งมั่น "ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ และตามหาพี่ชายของฉัน" วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในโรงเรียนแห่งนี้ เมรี่พยายามสังเกตการณ์ทุกสิ่งรอบตัว เธอเรียนรู้เส้นทางหนีไฟ เรียนรู้ตารางเวรของแม่บ้านและยามกลางคืน สังเกตพฤติกรรมของอาจารย์แต่ละคน และทำความเข้าใจกฎระเบียบที่เข้มงวดที่สุด เพื่อนร่วมห้องของเมรี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวที่มาจากตระกูลดี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพูดคุยกับเธออย่างเปิดเผย หนึ่งในนั้นคือ เอมิลี่ เด็กสาวร่างเล็ก ผมสีทอง ผู้มีดวงตาที่เต็มไปด้วยความฝันคล้ายเมรี่ "เธอทำท่าทางเหมือนกำลังสืบคดีเลยนะเมรี่" เอมิลี่กระซิบขณะที่พวกเขากำลังช่วยกันจัดดอกไม้ในห้องโถง "เธอรู้ไหมว่ามาดามเซเลสต์ชอบเดินตรวจเวรตอนตีสาม" เมรี่หันไปมองเอมิลี่อย่างประหลาดใจ "เธอรู้ได้อย่างไร?" เอมิลี่หัวเราะคิกคัก "ฉันแอบเห็นท่านเดินผ่านห้องนอนฉันบ่อยๆ ในตอนกลางคืนน่ะสิ เธอคิดว่าท่านอาจารย์ใหญ่เป็นแวมไพร์รึเปล่า?" "บางทีอาจจะแย่กว่านั้นก็ได้นะเอมิลี่" เมรี่ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่เอมิลี่คาดไว้ "การรู้ตารางชีวิตของคนอื่นคือข้อมูลสำคัญที่จะทำให้เราได้เปรียบ" เอมิลี่เลิกคิ้วขึ้น "หมายความว่ายังไง?" "หมายความว่า...ถ้าฉันคิดจะทำอะไรบางอย่าง ฉันก็ต้องรู้ว่าใครจะอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่" เมรี่ตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เอมิลี่จ้องมองเธอด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ คืนหนึ่ง เมรี่แอบย่องเข้าไปในห้องสมุดของโรงเรียน เธอเคยได้ยินมาว่าในห้องสมุดมีหนังสือเก่าๆ ที่ถูกเก็บไว้ในส่วนที่ไม่มีใครสนใจ และหวังว่าจะเจอแผนที่เมืองบาธ หรือข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางรถไฟที่สามารถพาเธอไปยังเมืองที่พี่ชายของเธออยู่ได้ "อะไรนะ? หนังสือเก่าๆ ที่นี่น่ะหรือ?" มิสพริสซิลล่าเคยหัวเราะเยาะเมื่อเมรี่เคยถามหาหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ "ที่นี่มีแต่ตำราการเรือนและบทกวีโรแมนติกเท่านั้นแหละจ้ะ มิสแบล็ควู้ด!" แต่เมรี่ไม่เชื่อ เธอรู้ว่าพ่อของเธอเคยบอกเสมอว่า "คำตอบมักจะซ่อนอยู่ในที่ที่คนอื่นไม่คิดจะมองหา" ในมุมมืดของห้องสมุด กองหนังสือเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นถูกวางซ้อนกัน เมรี่ค่อยๆ ค้นหาอย่างระมัดระวัง มือของเธอสัมผัสได้ถึงปกหนังที่เปื่อยยุ่ยและกระดาษสีเหลืองที่กรอบ เธอสะดุดเข้ากับสมุดเล่มหนึ่งที่มีตราประทับของเมืองบาธอยู่บนปก เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นไดอารี่เก่าๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งที่เคยเรียนที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน เมรี่เริ่มอ่านอย่างรวดเร็ว "...วันนี้ฉันพยายามหนีออกจากโรงเรียนนี้อีกครั้ง แต่ก็ถูกจับได้ที่ทางออกลับหลังสวน...' เมรี่เบิกตากว้าง 'ทางออกลับหลังสวน!' เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน! เธออ่านต่ออย่างกระหาย "...อาจารย์ลงโทษฉันด้วยการกักบริเวณในห้องเก็บของเก่าใต้ดิน...เป็นห้องที่มืดและเหม็นอับ แต่ฉันเห็นช่องระบายอากาศเล็กๆ ที่เชื่อมออกไปด้านนอก..." เมรี่รู้สึกหัวใจเต้นแรง นี่คือเบาะแสสำคัญ! ทางออกลับ! ช่องระบายอากาศ! เธอจะต้องไปสำรวจที่นั่นให้ได้ในไม่ช้า ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับการอ่าน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นจากทางเดิน เมรี่รีบปิดสมุดและซ่อนมันไว้ใต้เสื้อคลุมของเธอ เธอแกล้งทำเป็นกำลังจัดหนังสืออยู่บนชั้น "มิสแบล็ควู้ด? ยังไม่นอนอีกหรือคะ?" เสียงของมาดามเซเลสต์ดังขึ้นจากทางเดินที่มืดมิด มาดามเซเลสต์เดินเข้ามาในห้องสมุดอย่างช้าๆ แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างกระทบกับใบหน้าของนาง ทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น "หนู...หนูแค่รู้สึกนอนไม่หลับค่ะมาดามเซเลสต์ เลยลงมาหาหนังสืออ่าน" เมรี่ตอบเสียงตะกุกตะกัก "หนังสืออะไรหรือคะ?" มาดามเซเลสต์เดินตรงมายังมุมที่เมรี่ยืนอยู่ ดวงตาของนางกวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่ไว้วางใจ "มิสพริสซิลล่าบอกว่าเธอมีความสนใจในเรื่องแปลกๆ อยู่เสมอ" เมรี่พยายามสงบสติอารมณ์ "ก็...หนูแค่อยากอ่านวรรณคดีคลาสสิกน่ะค่ะ ท่านอาจารย์ใหญ่" เธอหยิบหนังสือเล่มหนาที่ใกล้ที่สุดออกมาจากชั้น มันคือหนังสือบทกวีเล่มหนึ่ง มาดามเซเลสต์มองเมรี่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ "ดูเหมือนเธอจะชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวในที่เงียบๆ นะ มิสแบล็ควู้ด" "หนู...หนูแค่อยากมีสมาธิกับการอ่านค่ะ" "อืม...ดีแล้วที่เธอมีความขยัน แต่เธอควรจะเข้ากับเพื่อนร่วมห้องให้มากกว่านี้ สุภาพสตรีที่ดีควรมีสังคมและเรียนรู้ที่จะเข้าหาผู้อื่น" มาดามเซเลสต์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยคำเตือน "อย่าให้ฉันต้องได้ยินเรื่องที่เธอแอบทำอะไรที่ไม่เหมาะสมอีกนะ ไม่เช่นนั้น...ฉันจะแจ้งให้ท่านลุงท่านป้าของเธอทราบ" เมรี่รู้สึกเหมือนถูกจับได้ แต่ก็พยายามรักษาสีหน้าให้ปกติ "ค่ะ มาดามเซเลสต์" มาดามเซเลสต์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เมรี่ยืนใจเต้นระทึกอยู่คนเดียวในความมืด เธอรู้ว่าการหลบหนีครั้งนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องง่าย มาดามเซเลสต์เป็นคนฉลาดและระมัดระวัง แต่เมรี่ก็จะไม่ยอมแพ้ เธอจะใช้ทุกสิ่งที่เธอเรียนรู้จากพ่อและพี่ชาย เพื่อไขปริศนาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ นั่นคือการปลดปล่อยตัวเองจากกรงขังแห่งนี้ เธอกำสมุดไดอารี่เก่าๆ ในมือแน่น ราวกับมันเป็นแสงสว่างเดียวในความมืดมิดนี้ 'ทางออกลับ...ห้องเก็บของเก่าใต้ดิน...ช่องระบายอากาศ...' แผนการหลบหนีเริ่มก่อตัวขึ้นในความคิดของเมรี่อย่างช้าๆ แต่ชัดเจน เธอจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด เพราะการหลบหนีครั้งนี้คือเดิมพันทั้งหมดในชีวิตของเธอเมรี่ กุม กุญแจทั้งสี่ดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือ แต่ละดอกเปล่งประกายพลังงานที่แตกต่างกันออกไป บัดนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความหมายของแต่ละดอก: ความทรงจำที่หายไป, บทเพลงแห่งผู้ถูกจองจำ, ความเจ็บปวดจากอดีต และ แสงสว่างแห่งศรัทธา เหลือเพียง กุญแจดอกสุดท้าย — 'กุญแจแห่งอนาคต' — ที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' และเผชิญหน้ากับ 'ผู้สร้างแห่งหายนะ'หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 4 จากโบสถ์แห่งศรัทธา ทุกคนก็รีบเดินทางกลับมาที่ 'ป่าต้องห้าม' เพื่อพบกับ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู พวกเขาเชื่อว่าเธออาจมีเบาะแสสุดท้ายเกี่ยวกับกุญแจดอกที่ 5เมื่อมาถึง ประตูแห่งกาลเวลา ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางป่า เอเลนอร์ก็ยืนรอพวกเขาอยู่แล้ว ร่างของเธอยังคงเปล่งแสงสีเขียวมรกตที่อบอุ่น"ยินดีด้วยที่พวกเจ้าได้กุญแจดอกที่ 4 มา" เอเลนอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "แต่เส้นทางข้างหน้ายังคงอันตรายนัก""ท่านพอจะบอกได้ไหมครับว่ากุญแจดอกที่ 5 อยู่ที่ไหน?" ปู่ทวด ถามอย่างมีความหวังเอเลนอร์หลับตาลงชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยแสงแห่งปัญญา "กุญแจดอกที่ 5 นั้น...อยู่ใกล้กว่า
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสามดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น แต่ละดอกเป็นเครื่องยืนยันถึงการเดินทางที่ยาวนานและอันตรายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ามา ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสามในห้าดอกแล้ว เหลืออีกเพียงสองดอกเท่านั้นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 3 จากหัวหน้าหมู่บ้านแบล็ควินด์ พวกเขาก็รีบออกเดินทางต่อทันที ปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวงอีกครั้ง เพื่อค้นหาเบาะแสของกุญแจดอกที่ 4 "คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 4 คือ 'ที่ซึ่งความศรัทธาถูกทดสอบ... ที่ซึ่งแสงสว่างส่องนำทางในความมืดมิด...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์" "โบสถ์อย่างนั้นหรือครับ!" นักสืบโธมัส กล่าว "อาจจะเป็นไปได้" ปู่ทวดพยักหน้า "โบสถ์เก่าแก่บางแห่งถูกสร้างขึ้นบนจุดที่พลังงานแห่งกาลเวลาไหลเวียน...และอาจมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ 'กุญแจแห่งกาลเวลา' ซ่อนอยู่" พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของประวัติศาสตร์อันยาวนานและตำนานลึกลับที่เล่าขานกันมา แม่ชีผู้รอคอย การเดินทางไปยังโบสถ์นั้นค่อนข้างราบรื่น หล
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสองดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เข็มทิศแห่งความจริง และ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว หลังจากที่ได้ กุญแจดอกที่ 2 จาก ป่าต้องคำสาป ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสองในห้าดอกแล้ว แต่ละดอกล้วนเป็นหลักฐานของการเดินทางอันยาวนานและความลึกลับของ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาออกเดินทางจากป่าฮอคเฮิร์สท์ด้วยรถม้า โดยมี ไคโรส และสมาชิกของ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะยังคงมีคำถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีพันธมิตรที่รู้เรื่องกาลเวลาดีก็ถือเป็นเรื่องดี"เราจะไปหากุญแจดอกที่ 3 ที่ไหนกันครับปู่ทวด?" นักสืบโธมัส ถามขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนลูกรังที่คดเคี้ยวปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวง เขาพยายามถอดรหัสคำใบ้ของ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู"คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 3 คือ 'ที่ซึ่งเสียงหัวเราะกลายเป็นความเงียบงัน... ที่ซึ่งชีวิตถูกพรากไปโดยไร้ร่องรอย...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ที่กำลังประสบปัญหาใหญ่"คำขอจากชายชราผู้ผอมโทรมยังไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสิน
เบื้องหน้า เมรี่ และทีม คือ 'ประตูแห่งกาลเวลา' บานมหึมาที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และสัญลักษณ์โบราณ มันดูเก่าแก่และน่าเกรงขาม ราวกับเป็นประตูสู่โลกอีกใบหนึ่ง หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดใน 'ป่าต้องห้าม' และการได้มาซึ่งพันธมิตรที่ไม่คาดฝันอย่าง ไคโรส ผู้นำ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ตอนนี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังประตูบานนั้นด้วยความคาดหวังและกังวลใจ"เราจะเปิดมันได้อย่างไรครับ?" นักสืบโธมัส ถามพลางสำรวจประตูปู่ทวด มองไปที่แผนที่โบราณในมือ "ตำราโบราณกล่าวว่า 'ประตูแห่งกาลเวลา' ไม่ได้เปิดออกด้วยพละกำลัง...แต่ด้วยกุญแจแห่งความเข้าใจ"ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีเขียวมรกตก็ส่องประกายออกมาจากบริเวณด้านบนของประตู!"วูบบบบบบบบบบบ!"ร่างของ หญิงสาวคนหนึ่ง ที่สวมชุดสีเขียวมรกตดูราวกับชุดของเทพธิดา ปรากฏขึ้นจากแสงสว่างนั้น เธอมีใบหน้าที่งดงาม ดวงตาของเธอเปล่งประกายสีเขียวมรกตราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน เส้นผมของเธอพลิ้วไหวราวกับกระแสเวลาที่มองไม่เห็น"ยินดีต้อนรับ...ผู้พิทักษ์แห่งกาลเวลา" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า "ข้าคือ เอเลนอร์... ผู้เฝ้าประตูแห่งกาลเวลา"เมรี่เบิกตากว้าง "เลดี้เ
หลังจากช่วยเหลือชาวบ้านจากกลุ่มโจรป่าที่ถูกควบคุมโดย 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ได้สำเร็จ เมรี่ และทีมก็เร่งรัดการเดินทางไปยัง 'ประตูแห่งกาลเวลา' ที่ซ่อนอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน พวกเขาขึ้นรถม้าอีกครั้ง โดยมีชาวบ้านที่รอดชีวิตช่วยส่งไปถึงปากทางเข้าป่าที่เปล่าเปลี่ยว"ประตูแห่งกาลเวลาอยู่ที่นี่ครับ" ปู่ทวด ชี้ไปที่แผนที่เก่าแก่ที่บัดนี้ดูเหมือนจะส่องแสงเรืองรองขึ้นมาเองเมื่ออยู่ใกล้ เข็มทิศแห่งความจริง ของเมรี่ "มันถูกซ่อนไว้อย่างดี...เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมัน"ป่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูไม่เหมือนป่าทั่วไป ต้นไม้สูงใหญ่หนาทึบจนแสงอาทิตย์แทบส่องไม่ถึง บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ที่สร้างเสียงหวิวๆ ราวกับเสียงกระซิบของสิ่งเร้นลับ"ป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า 'ป่าต้องห้าม' ครับ" นักสืบโธมัส กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตำนานเล่าว่าไม่มีใครเคยเข้าไปในป่าแห่งนี้แล้วกลับออกมาได้อีกเลย""นั่นเพราะมันคือทางเข้าสู่มิติอื่น" ปู่ทวดเสริม "มันไม่ได้มีแค่ต้นไม้และสัตว์ป่า...แต่มันมี กับดักแห่งกาลเวลา ที่ซ่อนอยู่"เมรี่กำเข็มทิศแห่งความจริงไว้แน่น เธอรู้
เมรี่ กุม เข็มทิศแห่งความจริง ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว ที่เธอเก็บรักษามาอย่างดี ทั้งหมดคือสิ่งจำเป็นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในหอสมุดหลวง พวกเขาตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยรถม้าอีกครั้ง เพราะเกรงว่าการใช้รถไฟอาจทำให้พวกเขาถูก 'ผู้สร้างแห่งหายนะ' หรือกลุ่ม 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ดักทางได้ง่ายกว่าพวกเขาเช่ารถม้าที่ดูเก่าแต่แข็งแรงคันหนึ่ง มุ่งหน้าออกจากลอนดอนในยามเช้าตรู่ โดยมี ปู่ทวด นั่งอยู่ข้างเมรี่ในห้องโดยสาร นักสืบโธมัส สลับกันนั่งกับ อเล็กซานเดอร์ ที่บังเหียน ขณะที่ เฟรเดอริค, เบ็น, เอดิสัน, มิสเตอร์คลาร์ก และ 'ผู้พิทักษ์แห่งราชบัลลังก์' ติดตามไปอีกคัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีกำลังเพียงพอหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน"ตามแผนที่โบราณ 'ประตูแห่งกาลเวลา' ตั้งอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอนครับ" ปู่ทวดกล่าวพลางกางแผนที่ที่ได้มาจากหอสมุดหลวงเมรี่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของชนบทอังกฤษกำลังผลัดเปลี่ยนจากทุ่งหญ้าเขียวขจีเป็นป่าทึบที่ปกคลุมด้วยหมอกยามเช้า บรรยากาศเงียบสงบ แต่ในใจของเมรี่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น