เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งเดือนเต็มในโรงเรียนสตรีเลดี้เอเมไลน์ ทุกๆ วันดูเหมือนจะยืดออกไปไม่สิ้นสุด เมรี่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกท้อแท้ หายใจเอาอากาศอันหนักอึ้งของความจำเจและกฎระเบียบเข้าไปในปอด สูดดมกลิ่นแป้งฝุ่นและน้ำหอมอ่อนๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็น 'สุภาพสตรี' ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันรัดแน่นยิ่งกว่าคอร์เซ็ตเสียอีก
แต่ภายใต้ท่าทีนิ่งสงบที่พยายามแสดงออก ภายในใจของเมรี่กำลังปั่นป่วน เธอจดจำทุกรายละเอียดของไดอารี่เก่าๆ เล่มนั้น และยิ่งอ่านซ้ำๆ ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่พยายามหลบหนี แต่เป็นแผนที่สู่ "อิสรภาพ" ที่ถูกส่งต่อมาให้เธอโดยไม่ตั้งใจ คืนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนหลับใหล เมรี่ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เธอสวมเสื้อคลุมผืนหนา ทับชุดนอนธรรมดา และหยิบสมุดบันทึกเล็กๆ กับดินสอถ่านที่ซ่อนไว้ใต้หมอนออกมา เธอเปิดประตูห้องนอนรวมอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวเท้าออกไปในความมืด เธอจำได้ว่ามาดามเซเลสต์จะเดินตรวจรอบสุดท้ายประมาณตีสาม ซึ่งหมายความว่าเธอมีเวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เป้าหมายแรกของเธอคือ ห้องเก็บของเก่าใต้ดิน ห้องที่ไดอารี่เก่าๆ เล่มนั้นกล่าวถึงว่ามีช่องระบายอากาศเล็กๆ เชื่อมออกไปด้านนอก เมรี่เคยพยายามหาทางไปห้องนั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบ "ทางออกลับอยู่หลังสวน" เธอรำพึงเบาๆ ขณะย่องไปตามทางเดินแคบๆ ในความมืด มือของเธอสัมผัสไปตามผนังเย็นเฉียบ ห้องเก็บของเก่ามักจะอยู่ในมุมอับ หรือทางเดินที่น้อยคนนักจะสังเกตเห็น เธอคิดถึงคำสอนของพ่อ: “ลูกสาว พ่อจะบอกให้ว่าสถานที่ที่สำคัญที่สุด มักถูกซ่อนอยู่ในที่ที่ผู้คนละเลยและคิดว่าไม่มีความสำคัญ” ในที่สุด เธอก็พบประตูไม้เก่าๆ บานหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลังกองถังเก็บน้ำฝนที่ไม่ได้ใช้งาน ประตูถูกคลุมด้วยเถาไอวี่หนาแน่นจนแทบมองไม่เห็น มีกลอนเหล็กสนิมเขรอะล็อคอยู่ "นี่สินะ" เมรี่กระซิบ มือของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เธอส่องไฟฉายเล็กๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นเองจากเศษแก้วและเปลวเทียนเข้าไปที่กลอน มันซับซ้อนกว่าที่คิด แสดงว่าประตูนี้ไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว และคนดูแลก็คงไม่คาดคิดว่าใครจะกล้าเข้ามาในที่แบบนี้ เธอใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการพยายามไขกลอนนั้นด้วยกิ๊บติดผมที่ดัดแปลงมาจากเส้นลวดและคีมเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ในกล่องเย็บผ้า เธอเคยเห็นพ่อของเธอทำแบบนี้หลายครั้งตอนที่พ่อกำลังฝึกให้เธอไขกลอนเก่าๆ การได้ใช้ทักษะที่พ่อสอนทำให้เมรี่รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านในเส้นเลือด สัญชาตญาณนักสืบของเธอกำลังทำงาน คลิก! เสียงเบาๆ ดังขึ้น เมรี่รู้สึกถึงแรงต้านที่หายไป กลอนคลายออก เธอดันประตูออกช้าๆ เสียงไม้เสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าดในความมืด ห้องเก็บของเก่าอบอวลไปด้วยกลิ่นอับชื้นและฝุ่นละออง แสงจันทร์สลัวๆ ส่องลอดเข้ามาจากช่องระบายอากาศเล็กๆ เหนือศีรษะ เมรี่เงยหน้าขึ้นมอง มันคือช่องระบายอากาศจริงๆ! แต่มันเล็กเกินกว่าที่คนตัวเล็กอย่างเธอจะลอดผ่านได้ และสูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึง "ไม่นะ..." เธอพึมพำด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แต่นักสืบที่ดีจะไม่ยอมแพ้ เมรี่เริ่มสำรวจห้องเก็บของนั้นอย่างละเอียด เธอเจอลังไม้เก่าๆ ที่เต็มไปด้วยเศษผ้าและของใช้ที่ไม่ได้ใช้แล้ว เธอเริ่มลากลังไม้เหล่านั้นมาวางซ้อนกันเป็นบันไดชั่วคราว เมื่อขึ้นไปยืนบนลัง เธอพบว่าช่องระบายอากาศถูกปิดด้วยแผ่นไม้ที่ตอกตะปูไว้อย่างแน่นหนา เมรี่ถอนหายใจ นี่คงเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครหนีออกไปได้ เธอไม่มีเครื่องมือที่จะงัดแผ่นไม้เหล่านั้นได้เลยในตอนนี้ "ฉันต้องหาเครื่องมือ" เธอคิด "หรืออย่างน้อยก็ต้องหาทางทำให้ช่องระบายอากาศนี้หลวมพอที่จะงัดออกได้" เธอลงมาจากลังไม้ ใช้สมุดบันทึกและดินสอถ่านร่างภาพห้องเก็บของคร่าวๆ และตำแหน่งของช่องระบายอากาศ เธอจดบันทึกว่าเธอต้องการเครื่องมืออะไรบ้าง และจะสามารถหาได้จากที่ไหนในโรงเรียนแห่งนี้ ห้องช่าง? ห้องครัว? หรือแม้กระทั่งห้องของแม่บ้าน? ขณะที่เธอกำลังจดบันทึกอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบเบาๆ จากมุมห้อง เมรี่หยุดชะงัก เธอใช้ไฟฉายส่องไปที่มุมนั้น และพบกับ เอมิลี่ เพื่อนร่วมห้องของเธอ เอมิลี่กำลังนั่งขดตัวอยู่หลังลังไม้เก่าๆ ใบหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทา "เอมิลี่! เธอมาทำอะไรที่นี่?" เมรี่กระซิบถามด้วยความตกใจ เอมิลี่ตัวสั่นเล็กน้อย "ฉัน...ฉันตามเธอมาน่ะเมรี่ ฉันเห็นเธอแอบย่องออกมาตอนกลางดึก และฉันก็...ฉันก็อยากรู้ว่าเธอทำอะไร" เมรี่ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอมิลี่เป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็น แต่เธอไม่คิดว่าเอมิลี่จะกล้าขนาดนี้ "เธอไม่ควรมาที่นี่นะเอมิลี่ ถ้ามาดามเซเลสต์จับได้ พวกเราจะถูกลงโทษอย่างหนัก" "ฉันรู้" เอมิลี่ตอบเสียงสั่น "แต่ฉัน...ฉันอยากรู้ว่าเธอจะทำอะไร บางทีฉันอาจจะช่วยเธอได้" เมรี่มองเอมิลี่อย่างพิจารณา เอมิลี่ไม่ได้เป็นคนแข็งแกร่ง หรือกล้าหาญเหมือนเธอ แต่เด็กสาวคนนี้มีความซื่อสัตย์ และมีสายตาที่มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักสืบ "เธอเคยเจอห้องนี้มาก่อนไหม?" เอมิลี่พยักหน้า "เคยค่ะ! วันหนึ่งฉันแอบเล่นซ่อนหากับลูกแมวในสวน แล้วมันก็วิ่งเข้ามาในนี้ ฉันตามมันมาจนเจอห้องนี้ แต่ฉันไม่กล้าเข้าข้างในเพราะมันมืดมากเลยค่ะ" "และเธอไม่เคยบอกใครเลยใช่ไหม?" "ค่ะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย" เมรี่ยิ้มให้เอมิลี่ เธอรู้ว่าเธอเจอพันธมิตรแล้ว "ดีมากเอมิลี่ เธอช่วยฉันได้มากเลยล่ะ" เมรี่อธิบายแผนการของเธอให้เอมิลี่ฟังอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้คาดหวังว่าเอมิลี่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอเชื่อว่าเอมิลี่จะเก็บความลับและให้ความร่วมมือ "เธอจะหนีออกจากที่นี่จริงๆ เหรอเมรี่?" เอมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงกังวล "ฉันต้องหนีเอมิลี่ ฉันไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป" เมรี่ตอบด้วยความมุ่งมั่น "ชีวิตที่นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการ ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งอื่น" "แต่ว่า...มันอันตรายนะ" "ฉันรู้ แต่ฉันต้องไปตามหาพี่ชายของฉัน พวกเขานักสืบและฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ ฉันต้องไปช่วยพวกเขาไขคดีและเป็นนักสืบเหมือนพวกเขา" เมรี่กล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความฝัน "ฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ฉันจะเฉาตายเสียก่อน" เอมิลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร บอกฉันได้เลยนะเมรี่ ฉันจะช่วยเธอเท่าที่ฉันจะทำได้" เมรี่ยิ้มกว้าง "ขอบใจมากนะเอมิลี่ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย" หลังจากนั้น ทุกคืนที่เงียบสงบ เมรี่และเอมิลี่จะแอบไปที่ห้องเก็บของเก่าใต้ดิน พวกเขาผลัดกันเฝ้ายาม และเมรี่จะพยายามหาวิธีงัดแผ่นไม้ที่ปิดช่องระบายอากาศอยู่ เธอพบว่ามันถูกตอกด้วยตะปูขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก เธอต้องใช้เครื่องมือที่มีแรงงัดมากพอ "เราน่าจะหาสิ่วกับค้อนได้นะ" เอมิลี่เสนอแนะ "ฉันเคยเห็นพวกมันในห้องช่างที่โรงเรียนใช้ซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์" เมรี่พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่แล้ว! แต่จะเข้าไปในห้องช่างได้อย่างไร?" "มันอยู่ทางปีกตะวันตกของอาคาร ติดกับโรงครัวน่ะค่ะ ปกติแล้วจะถูกล็อคไว้อย่างดี" เอมิลี่ตอบความจริงที่ มิสเตอร์คลาร์ก เปิดเผยนั้นหนักหน่วงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ไม่ได้แค่ต้องการทำลายกาลเวลา แต่ยังล้างแค้นราชวงศ์อังกฤษจากการกระทำในอดีต นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับภัยคุกคามที่หยั่งรากลึกมาหลายศตวรรษ การที่กษัตริย์ทรงถูกควบคุมอยู่คือหัวใจของแผนการทั้งหมดนี้"ถ้าอย่างนั้น 'สายรัดแห่งคำสาป' ที่ควบคุมกษัตริย์อยู่คืออะไรคะ?" เมรี่ ถาม มิสเตอร์คลาร์กที่ดูอ่อนล้าแล้วมิสเตอร์คลาร์กพาพวกเขาเดินลึกเข้าไปในทางเดินใต้ดินของพระราชวังวินด์เซอร์ โดยมี 'ผู้พิทักษ์แห่งราชบัลลังก์' ที่ตอนนี้ปลอดจากคำสาป เดินนำทางไปเงียบๆ เขาเล่าเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับชะตากรรมของราชวงศ์วินด์เซอร์"มันคือ 'มงกุฎแห่งเวลา' ที่แท้จริงครับ" มิสเตอร์คลาร์กตอบ "ไม่ใช่แค่สายรัด แต่เป็นมงกุฎที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' สร้างขึ้นจากพลังของ 'กระจกแห่งความจริง' เพื่อผูกมัดกษัตริย์องค์ปัจจุบันให้เป็นหุ่นเชิดของเขา""แล้วเราจะถอดมันออกได้อย่างไรครับ?" เอดิสัน ถาม"มันถูกออกแบบมาให้หลอมรวมกับผู้สวมใส่ครับ" มิสเตอร์คลาร์กถอนหายใจ "วิธีเดียวที่จะถอดมันได้คือต้องใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่า 'กระจกแห่งค
กระดาษที่ 'ผู้ส่งสารจากอนาคต' มอบให้เมรี่ไม่ได้เป็นแค่แผนที่ แต่มันเป็นเหมือนภาพวาดที่สลักเสลาด้วยลายมือประณีต บอกเล่าถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึง หนึ่งในภาพเหล่านั้นคือภาพของ มิสเตอร์คลาร์ก กำลังยืนอยู่หน้าอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชวังวินด์เซอร์ สถานที่พำนักของราชวงศ์อังกฤษ"มิสเตอร์คลาร์กไปที่นั่นทำไมครับ!" เฟรเดอริค อุทานด้วยความแปลกใจ"ดูเหมือนว่าเขากำลังรอเราอยู่ที่นั่น" เมรี่ ตอบ เธอกำแผนที่ไว้ในมือแน่น "เราต้องไปที่นั่นให้เร็วที่สุด"หลังจากเดินทางกลับมายังลอนดอน เมรี่และทีมใช้เวลาสองวันเต็มๆ ในการเตรียมตัวและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังวินด์เซอร์ แต่การจะเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขารู้ว่าต้องใช้แผนการที่แยบยลและละเอียดรอบคอบ"เราจะเข้าไปได้อย่างไรครับ?" อเล็กซานเดอร์ ถาม "ที่นั่นมีทหารรักษาการณ์อยู่ทุกตารางนิ้วเลยนะครับ""เราต้องหาทางเข้าที่ไม่มีใครสังเกตเห็น" เบ็น ตอบ "และผมคิดว่าผมรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน"ภารกิจลับใต้ดินพวกเขาเดินทางไปยังพระราชวังวินด์เซอร์ในคืนหนึ่งที่มืดมิดและไร้ดวงจันทร์ พวกเขาแต่งกายด้วยชุด
เมรี่ และทีมของเธอออกเดินทางจากเอดินบะระในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาใช้รถยนต์เก่าๆ คันหนึ่งที่ นักสืบโธมัส เตรียมไว้ให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถไฟที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แผนที่สู่ห้วงเวลาที่ได้มาจากนักสืบโธมัสดูจะนำพวกเขาไปยังสถานที่ที่ห่างไกลจากความเจริญ และเป็นจุดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่การเดินทางของพวกเขากินเวลากว่าสองวันเต็มๆ พวกเขาขับรถผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามของชนบทในสกอตแลนด์ ท่ามกลางเนินเขาที่เขียวขจี ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ และทะเลสาบที่เงียบสงบ แต่ในใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้นกับภารกิจที่กำลังจะมาถึงในที่สุด แผนที่ก็พาพวกเขามาถึงปลายทาง มันเป็น ปราสาทเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่โดดเดี่ยว ท่ามกลางหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและต้นไม้ที่ดูน่าเกรงขาม ปราสาทแห่งนี้ดูทรุดโทรมและถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษ แต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่และน่ากลัวเอาไว้"ที่นี่แหละ" เอดิสัน กล่าวขณะมองไปที่แผนที่ "จุดหมายปลายทางของเราคือที่นี่""แล้ว 'ผู้ส่งสารจากอนาคต' อยู่ที่ไหนกันครับ?" เฟรเดอริค ถามด้วยความสงสัย"เขาน่าจะอยู่ในปราสาทแห่งนี้ครับ" ปู่ทวด ตอบ "เราต
หลังจากที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ถูกลบเลือนออกจากกาลเวลา บรรยากาศในห้องลับใต้พระราชวังเอดินบะระก็กลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง เมรี่และทีมยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความโล่งใจจากชัยชนะและความสับสนจากคำพูดปริศนาที่พวกเขาได้ยิน"อนาคต...ของพวกเจ้า...ได้เปลี่ยนไปแล้ว..." เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเมรี่เอดิสัน ก้มลงเก็บเศษ 'กระจกแห่งความจริง' ที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษกระจกชิ้นหนึ่งยังคงเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆ อยู่ในมือของเขา"เราควรจะทำอย่างไรกับมันดีครับ?" เอดิสันถามด้วยความลังเลปู่ทวด มองไปที่เศษกระจกนั้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง "มันอันตรายนัก...มันคือพลังที่เกินกว่ามนุษย์จะควบคุมได้""แต่เราก็ต้องเก็บมันไว้ครับ" อเล็กซานเดอร์ กล่าว "ถ้าปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ อาจจะมีคนอื่นมาเจอมันอีก""อเล็กซานเดอร์พูดถูก" เฟรเดอริค เสริม "เราไม่สามารถปล่อยให้พลังแบบนี้ไปอยู่ในมือคนผิดได้อีกแล้ว"เมรี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอรู้ว่าภารกิจของพวกเขายังไม่จบลง การที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ถูกลบเลือนไปไม่ได้หมายความว่าอันตรายจะหมดไป"เราต้องหาที่เก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่ส
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องลับใต้พระราชวังเอดินบะระ มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของทุกคนเท่านั้นที่ดังก้องไปมา แสงสลัวๆ จากโคมไฟโบราณส่องกระทบใบหน้าของ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ที่กำลังยืนถือ 'กระจกแห่งความจริง' ไว้ในมืออย่างเยือกเย็น แสงสีฟ้าอ่อนๆ จากกระจกสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ทำให้เขาดูเหมือนไม่ใช่คนอีกต่อไป"แกไม่ควรเข้ามาถึงที่นี่" 'สถาปนิกแห่งหายนะ' กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ "พวกแกได้ทำลายแผนการที่ข้าใช้เวลาหลายร้อยปีสร้างขึ้นมา"เขาเหลือบไปมองศพของทหารรักษาการณ์ที่ไม่มีเงา แล้วยิ้มเยาะ "การต่อต้านเป็นสิ่งไร้ค่า... เพราะสุดท้ายแล้ว พวกแกก็จะถูกลบเลือนออกจากประวัติศาสตร์เหมือนอย่างเขา"นักสืบโธมัสไม่รอช้า เขาและทหารอีกคนพุ่งเข้าใส่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ทันที ปืนพกในมือของพวกเขายิงกระสุนออกไปไม่ยั้ง!"ไร้ประโยชน์" 'สถาปนิกแห่งหายนะ' พึมพำก่อนที่กระสุนจะถึงตัวเขา 'สถาปนิกแห่งหายนะ' เพียงแค่โบกมือเบาๆ แล้วเวลาก็หยุดลง! กระสุนที่พุ่งไปข้างหน้าทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับถูกแช่แข็ง เขาก้าวผ่านพวกมันไปอย่างช้าๆ แล้วใช้มือแตะที่หน้าอกของนักสืบโธมัสและทหารคนนั้น"ไปสู่ความว่างเปล่าเถอ
เมรี่กอดบันทึกสำคัญที่ได้จากเลดี้เอลีนอร์ไว้แน่น เธอวิ่งไปตามทางเดินลับใต้พระราชวังเอดินบะระ ทิ้งกลิ่นอายของตำนานและคำเตือนจาก 'ผู้พิทักษ์แห่งเวลา' ไว้เบื้องหลัง ในใจของเธอมีเพียงเป้าหมายเดียว นั่นคือการไปถึง 'กระจกแห่งความจริง' ก่อนที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' จะใช้มันเปิดฉาก 'สงครามแห่งกาลเวลา'ทางเดินลับสิ้นสุดลงที่กำแพงหินทึบ เมรี่รู้ว่าห้องลับที่เธอตามหาจะต้องอยู่หลังกำแพงนี้ แผนผังของจอห์น สมิธ แสดงให้เห็นจุดที่ซ่อนกลไกไว้ แต่เธอจะเปิดมันได้อย่างไรท่ามกลางความมืดมิดและไร้ซึ่งเครื่องมือ?ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าก็สาดเข้ามาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างหนักแน่น เมรี่หันขวับด้วยความตกใจ พร้อมที่จะป้องกันตัว แต่เมื่อแสงนั้นส่องชัดเจนขึ้น เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคย"เมรี่! เธอปลอดภัยนะ!"อเล็กซานเดอร์, เฟรเดอริค, เอดิสัน, เบ็น, และปู่ทวด ก้าวเข้ามาในทางเดินลับ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบฝุ่นจากการต่อสู้ แต่แววตาของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความโล่งใจที่ได้เจอเมรี่"ปู่ทวด! ทุกคน!" เมรี่โผเข้ากอดพวกเขาอย่างดีใจ "พวกคุณจัดการกับ 'เงาที่หลงเหลือ' ได้แล้วเหรอคะ!""ใช่แล้ว