เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งเดือนเต็มในโรงเรียนสตรีเลดี้เอเมไลน์ ทุกๆ วันดูเหมือนจะยืดออกไปไม่สิ้นสุด เมรี่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกท้อแท้ หายใจเอาอากาศอันหนักอึ้งของความจำเจและกฎระเบียบเข้าไปในปอด สูดดมกลิ่นแป้งฝุ่นและน้ำหอมอ่อนๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็น 'สุภาพสตรี' ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันรัดแน่นยิ่งกว่าคอร์เซ็ตเสียอีก
แต่ภายใต้ท่าทีนิ่งสงบที่พยายามแสดงออก ภายในใจของเมรี่กำลังปั่นป่วน เธอจดจำทุกรายละเอียดของไดอารี่เก่าๆ เล่มนั้น และยิ่งอ่านซ้ำๆ ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่พยายามหลบหนี แต่เป็นแผนที่สู่ "อิสรภาพ" ที่ถูกส่งต่อมาให้เธอโดยไม่ตั้งใจ คืนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนหลับใหล เมรี่ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เธอสวมเสื้อคลุมผืนหนา ทับชุดนอนธรรมดา และหยิบสมุดบันทึกเล็กๆ กับดินสอถ่านที่ซ่อนไว้ใต้หมอนออกมา เธอเปิดประตูห้องนอนรวมอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวเท้าออกไปในความมืด เธอจำได้ว่ามาดามเซเลสต์จะเดินตรวจรอบสุดท้ายประมาณตีสาม ซึ่งหมายความว่าเธอมีเวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เป้าหมายแรกของเธอคือ ห้องเก็บของเก่าใต้ดิน ห้องที่ไดอารี่เก่าๆ เล่มนั้นกล่าวถึงว่ามีช่องระบายอากาศเล็กๆ เชื่อมออกไปด้านนอก เมรี่เคยพยายามหาทางไปห้องนั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบ "ทางออกลับอยู่หลังสวน" เธอรำพึงเบาๆ ขณะย่องไปตามทางเดินแคบๆ ในความมืด มือของเธอสัมผัสไปตามผนังเย็นเฉียบ ห้องเก็บของเก่ามักจะอยู่ในมุมอับ หรือทางเดินที่น้อยคนนักจะสังเกตเห็น เธอคิดถึงคำสอนของพ่อ: “ลูกสาว พ่อจะบอกให้ว่าสถานที่ที่สำคัญที่สุด มักถูกซ่อนอยู่ในที่ที่ผู้คนละเลยและคิดว่าไม่มีความสำคัญ” ในที่สุด เธอก็พบประตูไม้เก่าๆ บานหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลังกองถังเก็บน้ำฝนที่ไม่ได้ใช้งาน ประตูถูกคลุมด้วยเถาไอวี่หนาแน่นจนแทบมองไม่เห็น มีกลอนเหล็กสนิมเขรอะล็อคอยู่ "นี่สินะ" เมรี่กระซิบ มือของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เธอส่องไฟฉายเล็กๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นเองจากเศษแก้วและเปลวเทียนเข้าไปที่กลอน มันซับซ้อนกว่าที่คิด แสดงว่าประตูนี้ไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว และคนดูแลก็คงไม่คาดคิดว่าใครจะกล้าเข้ามาในที่แบบนี้ เธอใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการพยายามไขกลอนนั้นด้วยกิ๊บติดผมที่ดัดแปลงมาจากเส้นลวดและคีมเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ในกล่องเย็บผ้า เธอเคยเห็นพ่อของเธอทำแบบนี้หลายครั้งตอนที่พ่อกำลังฝึกให้เธอไขกลอนเก่าๆ การได้ใช้ทักษะที่พ่อสอนทำให้เมรี่รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านในเส้นเลือด สัญชาตญาณนักสืบของเธอกำลังทำงาน คลิก! เสียงเบาๆ ดังขึ้น เมรี่รู้สึกถึงแรงต้านที่หายไป กลอนคลายออก เธอดันประตูออกช้าๆ เสียงไม้เสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าดในความมืด ห้องเก็บของเก่าอบอวลไปด้วยกลิ่นอับชื้นและฝุ่นละออง แสงจันทร์สลัวๆ ส่องลอดเข้ามาจากช่องระบายอากาศเล็กๆ เหนือศีรษะ เมรี่เงยหน้าขึ้นมอง มันคือช่องระบายอากาศจริงๆ! แต่มันเล็กเกินกว่าที่คนตัวเล็กอย่างเธอจะลอดผ่านได้ และสูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึง "ไม่นะ..." เธอพึมพำด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แต่นักสืบที่ดีจะไม่ยอมแพ้ เมรี่เริ่มสำรวจห้องเก็บของนั้นอย่างละเอียด เธอเจอลังไม้เก่าๆ ที่เต็มไปด้วยเศษผ้าและของใช้ที่ไม่ได้ใช้แล้ว เธอเริ่มลากลังไม้เหล่านั้นมาวางซ้อนกันเป็นบันไดชั่วคราว เมื่อขึ้นไปยืนบนลัง เธอพบว่าช่องระบายอากาศถูกปิดด้วยแผ่นไม้ที่ตอกตะปูไว้อย่างแน่นหนา เมรี่ถอนหายใจ นี่คงเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครหนีออกไปได้ เธอไม่มีเครื่องมือที่จะงัดแผ่นไม้เหล่านั้นได้เลยในตอนนี้ "ฉันต้องหาเครื่องมือ" เธอคิด "หรืออย่างน้อยก็ต้องหาทางทำให้ช่องระบายอากาศนี้หลวมพอที่จะงัดออกได้" เธอลงมาจากลังไม้ ใช้สมุดบันทึกและดินสอถ่านร่างภาพห้องเก็บของคร่าวๆ และตำแหน่งของช่องระบายอากาศ เธอจดบันทึกว่าเธอต้องการเครื่องมืออะไรบ้าง และจะสามารถหาได้จากที่ไหนในโรงเรียนแห่งนี้ ห้องช่าง? ห้องครัว? หรือแม้กระทั่งห้องของแม่บ้าน? ขณะที่เธอกำลังจดบันทึกอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบเบาๆ จากมุมห้อง เมรี่หยุดชะงัก เธอใช้ไฟฉายส่องไปที่มุมนั้น และพบกับ เอมิลี่ เพื่อนร่วมห้องของเธอ เอมิลี่กำลังนั่งขดตัวอยู่หลังลังไม้เก่าๆ ใบหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทา "เอมิลี่! เธอมาทำอะไรที่นี่?" เมรี่กระซิบถามด้วยความตกใจ เอมิลี่ตัวสั่นเล็กน้อย "ฉัน...ฉันตามเธอมาน่ะเมรี่ ฉันเห็นเธอแอบย่องออกมาตอนกลางดึก และฉันก็...ฉันก็อยากรู้ว่าเธอทำอะไร" เมรี่ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอมิลี่เป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็น แต่เธอไม่คิดว่าเอมิลี่จะกล้าขนาดนี้ "เธอไม่ควรมาที่นี่นะเอมิลี่ ถ้ามาดามเซเลสต์จับได้ พวกเราจะถูกลงโทษอย่างหนัก" "ฉันรู้" เอมิลี่ตอบเสียงสั่น "แต่ฉัน...ฉันอยากรู้ว่าเธอจะทำอะไร บางทีฉันอาจจะช่วยเธอได้" เมรี่มองเอมิลี่อย่างพิจารณา เอมิลี่ไม่ได้เป็นคนแข็งแกร่ง หรือกล้าหาญเหมือนเธอ แต่เด็กสาวคนนี้มีความซื่อสัตย์ และมีสายตาที่มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักสืบ "เธอเคยเจอห้องนี้มาก่อนไหม?" เอมิลี่พยักหน้า "เคยค่ะ! วันหนึ่งฉันแอบเล่นซ่อนหากับลูกแมวในสวน แล้วมันก็วิ่งเข้ามาในนี้ ฉันตามมันมาจนเจอห้องนี้ แต่ฉันไม่กล้าเข้าข้างในเพราะมันมืดมากเลยค่ะ" "และเธอไม่เคยบอกใครเลยใช่ไหม?" "ค่ะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย" เมรี่ยิ้มให้เอมิลี่ เธอรู้ว่าเธอเจอพันธมิตรแล้ว "ดีมากเอมิลี่ เธอช่วยฉันได้มากเลยล่ะ" เมรี่อธิบายแผนการของเธอให้เอมิลี่ฟังอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้คาดหวังว่าเอมิลี่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอเชื่อว่าเอมิลี่จะเก็บความลับและให้ความร่วมมือ "เธอจะหนีออกจากที่นี่จริงๆ เหรอเมรี่?" เอมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงกังวล "ฉันต้องหนีเอมิลี่ ฉันไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป" เมรี่ตอบด้วยความมุ่งมั่น "ชีวิตที่นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการ ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งอื่น" "แต่ว่า...มันอันตรายนะ" "ฉันรู้ แต่ฉันต้องไปตามหาพี่ชายของฉัน พวกเขานักสืบและฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ ฉันต้องไปช่วยพวกเขาไขคดีและเป็นนักสืบเหมือนพวกเขา" เมรี่กล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความฝัน "ฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ฉันจะเฉาตายเสียก่อน" เอมิลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร บอกฉันได้เลยนะเมรี่ ฉันจะช่วยเธอเท่าที่ฉันจะทำได้" เมรี่ยิ้มกว้าง "ขอบใจมากนะเอมิลี่ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย" หลังจากนั้น ทุกคืนที่เงียบสงบ เมรี่และเอมิลี่จะแอบไปที่ห้องเก็บของเก่าใต้ดิน พวกเขาผลัดกันเฝ้ายาม และเมรี่จะพยายามหาวิธีงัดแผ่นไม้ที่ปิดช่องระบายอากาศอยู่ เธอพบว่ามันถูกตอกด้วยตะปูขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก เธอต้องใช้เครื่องมือที่มีแรงงัดมากพอ "เราน่าจะหาสิ่วกับค้อนได้นะ" เอมิลี่เสนอแนะ "ฉันเคยเห็นพวกมันในห้องช่างที่โรงเรียนใช้ซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์" เมรี่พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่แล้ว! แต่จะเข้าไปในห้องช่างได้อย่างไร?" "มันอยู่ทางปีกตะวันตกของอาคาร ติดกับโรงครัวน่ะค่ะ ปกติแล้วจะถูกล็อคไว้อย่างดี" เอมิลี่ตอบเมรี่ กุม กุญแจทั้งสี่ดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือ แต่ละดอกเปล่งประกายพลังงานที่แตกต่างกันออกไป บัดนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความหมายของแต่ละดอก: ความทรงจำที่หายไป, บทเพลงแห่งผู้ถูกจองจำ, ความเจ็บปวดจากอดีต และ แสงสว่างแห่งศรัทธา เหลือเพียง กุญแจดอกสุดท้าย — 'กุญแจแห่งอนาคต' — ที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' และเผชิญหน้ากับ 'ผู้สร้างแห่งหายนะ'หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 4 จากโบสถ์แห่งศรัทธา ทุกคนก็รีบเดินทางกลับมาที่ 'ป่าต้องห้าม' เพื่อพบกับ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู พวกเขาเชื่อว่าเธออาจมีเบาะแสสุดท้ายเกี่ยวกับกุญแจดอกที่ 5เมื่อมาถึง ประตูแห่งกาลเวลา ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางป่า เอเลนอร์ก็ยืนรอพวกเขาอยู่แล้ว ร่างของเธอยังคงเปล่งแสงสีเขียวมรกตที่อบอุ่น"ยินดีด้วยที่พวกเจ้าได้กุญแจดอกที่ 4 มา" เอเลนอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "แต่เส้นทางข้างหน้ายังคงอันตรายนัก""ท่านพอจะบอกได้ไหมครับว่ากุญแจดอกที่ 5 อยู่ที่ไหน?" ปู่ทวด ถามอย่างมีความหวังเอเลนอร์หลับตาลงชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยแสงแห่งปัญญา "กุญแจดอกที่ 5 นั้น...อยู่ใกล้กว่า
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสามดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น แต่ละดอกเป็นเครื่องยืนยันถึงการเดินทางที่ยาวนานและอันตรายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ามา ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสามในห้าดอกแล้ว เหลืออีกเพียงสองดอกเท่านั้นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 3 จากหัวหน้าหมู่บ้านแบล็ควินด์ พวกเขาก็รีบออกเดินทางต่อทันที ปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวงอีกครั้ง เพื่อค้นหาเบาะแสของกุญแจดอกที่ 4 "คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 4 คือ 'ที่ซึ่งความศรัทธาถูกทดสอบ... ที่ซึ่งแสงสว่างส่องนำทางในความมืดมิด...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์" "โบสถ์อย่างนั้นหรือครับ!" นักสืบโธมัส กล่าว "อาจจะเป็นไปได้" ปู่ทวดพยักหน้า "โบสถ์เก่าแก่บางแห่งถูกสร้างขึ้นบนจุดที่พลังงานแห่งกาลเวลาไหลเวียน...และอาจมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ 'กุญแจแห่งกาลเวลา' ซ่อนอยู่" พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของประวัติศาสตร์อันยาวนานและตำนานลึกลับที่เล่าขานกันมา แม่ชีผู้รอคอย การเดินทางไปยังโบสถ์นั้นค่อนข้างราบรื่น หล
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสองดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เข็มทิศแห่งความจริง และ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว หลังจากที่ได้ กุญแจดอกที่ 2 จาก ป่าต้องคำสาป ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสองในห้าดอกแล้ว แต่ละดอกล้วนเป็นหลักฐานของการเดินทางอันยาวนานและความลึกลับของ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาออกเดินทางจากป่าฮอคเฮิร์สท์ด้วยรถม้า โดยมี ไคโรส และสมาชิกของ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะยังคงมีคำถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีพันธมิตรที่รู้เรื่องกาลเวลาดีก็ถือเป็นเรื่องดี"เราจะไปหากุญแจดอกที่ 3 ที่ไหนกันครับปู่ทวด?" นักสืบโธมัส ถามขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนลูกรังที่คดเคี้ยวปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวง เขาพยายามถอดรหัสคำใบ้ของ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู"คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 3 คือ 'ที่ซึ่งเสียงหัวเราะกลายเป็นความเงียบงัน... ที่ซึ่งชีวิตถูกพรากไปโดยไร้ร่องรอย...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ที่กำลังประสบปัญหาใหญ่"คำขอจากชายชราผู้ผอมโทรมยังไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสิน
เบื้องหน้า เมรี่ และทีม คือ 'ประตูแห่งกาลเวลา' บานมหึมาที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และสัญลักษณ์โบราณ มันดูเก่าแก่และน่าเกรงขาม ราวกับเป็นประตูสู่โลกอีกใบหนึ่ง หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดใน 'ป่าต้องห้าม' และการได้มาซึ่งพันธมิตรที่ไม่คาดฝันอย่าง ไคโรส ผู้นำ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ตอนนี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังประตูบานนั้นด้วยความคาดหวังและกังวลใจ"เราจะเปิดมันได้อย่างไรครับ?" นักสืบโธมัส ถามพลางสำรวจประตูปู่ทวด มองไปที่แผนที่โบราณในมือ "ตำราโบราณกล่าวว่า 'ประตูแห่งกาลเวลา' ไม่ได้เปิดออกด้วยพละกำลัง...แต่ด้วยกุญแจแห่งความเข้าใจ"ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีเขียวมรกตก็ส่องประกายออกมาจากบริเวณด้านบนของประตู!"วูบบบบบบบบบบบ!"ร่างของ หญิงสาวคนหนึ่ง ที่สวมชุดสีเขียวมรกตดูราวกับชุดของเทพธิดา ปรากฏขึ้นจากแสงสว่างนั้น เธอมีใบหน้าที่งดงาม ดวงตาของเธอเปล่งประกายสีเขียวมรกตราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน เส้นผมของเธอพลิ้วไหวราวกับกระแสเวลาที่มองไม่เห็น"ยินดีต้อนรับ...ผู้พิทักษ์แห่งกาลเวลา" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า "ข้าคือ เอเลนอร์... ผู้เฝ้าประตูแห่งกาลเวลา"เมรี่เบิกตากว้าง "เลดี้เ
หลังจากช่วยเหลือชาวบ้านจากกลุ่มโจรป่าที่ถูกควบคุมโดย 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ได้สำเร็จ เมรี่ และทีมก็เร่งรัดการเดินทางไปยัง 'ประตูแห่งกาลเวลา' ที่ซ่อนอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน พวกเขาขึ้นรถม้าอีกครั้ง โดยมีชาวบ้านที่รอดชีวิตช่วยส่งไปถึงปากทางเข้าป่าที่เปล่าเปลี่ยว"ประตูแห่งกาลเวลาอยู่ที่นี่ครับ" ปู่ทวด ชี้ไปที่แผนที่เก่าแก่ที่บัดนี้ดูเหมือนจะส่องแสงเรืองรองขึ้นมาเองเมื่ออยู่ใกล้ เข็มทิศแห่งความจริง ของเมรี่ "มันถูกซ่อนไว้อย่างดี...เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมัน"ป่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูไม่เหมือนป่าทั่วไป ต้นไม้สูงใหญ่หนาทึบจนแสงอาทิตย์แทบส่องไม่ถึง บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ที่สร้างเสียงหวิวๆ ราวกับเสียงกระซิบของสิ่งเร้นลับ"ป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า 'ป่าต้องห้าม' ครับ" นักสืบโธมัส กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตำนานเล่าว่าไม่มีใครเคยเข้าไปในป่าแห่งนี้แล้วกลับออกมาได้อีกเลย""นั่นเพราะมันคือทางเข้าสู่มิติอื่น" ปู่ทวดเสริม "มันไม่ได้มีแค่ต้นไม้และสัตว์ป่า...แต่มันมี กับดักแห่งกาลเวลา ที่ซ่อนอยู่"เมรี่กำเข็มทิศแห่งความจริงไว้แน่น เธอรู้
เมรี่ กุม เข็มทิศแห่งความจริง ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว ที่เธอเก็บรักษามาอย่างดี ทั้งหมดคือสิ่งจำเป็นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในหอสมุดหลวง พวกเขาตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยรถม้าอีกครั้ง เพราะเกรงว่าการใช้รถไฟอาจทำให้พวกเขาถูก 'ผู้สร้างแห่งหายนะ' หรือกลุ่ม 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ดักทางได้ง่ายกว่าพวกเขาเช่ารถม้าที่ดูเก่าแต่แข็งแรงคันหนึ่ง มุ่งหน้าออกจากลอนดอนในยามเช้าตรู่ โดยมี ปู่ทวด นั่งอยู่ข้างเมรี่ในห้องโดยสาร นักสืบโธมัส สลับกันนั่งกับ อเล็กซานเดอร์ ที่บังเหียน ขณะที่ เฟรเดอริค, เบ็น, เอดิสัน, มิสเตอร์คลาร์ก และ 'ผู้พิทักษ์แห่งราชบัลลังก์' ติดตามไปอีกคัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีกำลังเพียงพอหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน"ตามแผนที่โบราณ 'ประตูแห่งกาลเวลา' ตั้งอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอนครับ" ปู่ทวดกล่าวพลางกางแผนที่ที่ได้มาจากหอสมุดหลวงเมรี่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของชนบทอังกฤษกำลังผลัดเปลี่ยนจากทุ่งหญ้าเขียวขจีเป็นป่าทึบที่ปกคลุมด้วยหมอกยามเช้า บรรยากาศเงียบสงบ แต่ในใจของเมรี่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น