สองสามวันต่อมา เมรี่เริ่มปฏิบัติการ "ล่าเครื่องมือ" เธอเลือกช่วงเวลาที่มิสพริสซิลล่ากำลังสอนวิชาจรรยาบรรณสตรีในห้องโถงใหญ่ และมาดามเซเลสต์กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบบัญชีในห้องทำงาน ส่วนเด็กสาวคนอื่นๆ กำลังฝึกร่ายรำอยู่ในห้องดนตรี
"ฉันต้องทำให้พวกเธอไม่ระแคะระคาย" เมรี่บอกเอมิลี่ "เธอช่วยสร้างความวุ่นวายเล็กน้อยในห้องดนตรีได้ไหม เพื่อดึงความสนใจของมิสพริสซิลล่า" "ให้ฉันทำอะไรเหรอ?" เอมิลี่ถามด้วยความตื่นเต้น "แกล้งทำเป็นหกล้มในระหว่างร่ายรำสิ แล้วบอกว่าเธอข้อเท้าแพลง" เมรี่ตอบ "มันจะทำให้มิสพริสซิลล่าต้องมาดูแลเธอ และทุกคนก็จะให้ความสนใจที่เธอ" เอมิลี่ลังเลเล็กน้อย "แต่ฉันไม่เคยทำแบบนั้นเลยนะเมรี่" "ไม่เป็นไรน่า ฉันจะคอยดูอยู่ห่างๆ" เมรี่ให้กำลังใจ "แค่ให้พวกเขาสนใจเธอจนฉันสามารถแอบไปที่ห้องช่างได้" แผนการดำเนินไปอย่างที่คาดไว้ เอมิลี่แกล้งหกล้มได้อย่างแนบเนียน เสียงกรีดร้องเล็กน้อยของเธอทำให้มิสพริสซิลล่ารีบปรี่เข้ามาดูด้วยความตกใจ เด็กสาวคนอื่นๆ ต่างหันมาให้ความสนใจกับเอมิลี่ที่กำลังทำท่าปวดร้าวที่ข้อเท้า ในจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย เมรี่ก็แอบย่องออกจากห้องดนตรี เธอเดินไปตามทางเดินที่เงียบสงบ สู่ปีกตะวันตกของอาคาร กลิ่นเครื่องเทศและอาหารที่กำลังปรุงอยู่ในโรงครัวลอยมาเตะจมูก ห้องช่างอยู่สุดทางเดิน ประตูไม้หนักๆ ถูกล็อคด้วยกุญแจที่แข็งแรง เมรี่หยิบกิ๊บติดผมที่ดัดแปลงขึ้นมาอีกครั้ง เธอเริ่มไขกลอนอย่างใจเย็น เธอเคยฝึกฝนทักษะนี้มาตั้งแต่เด็ก การได้ยินเสียงกลไกภายในที่กำลังเคลื่อนไหว การสัมผัสถึงความต้านทานที่ค่อยๆ คลายลง มันคือศิลปะอย่างหนึ่ง แกร๊ก! เสียงดังขึ้นเบาๆ ประตูเปิดออก เมรี่ก้าวเข้าไปในห้องช่าง กลิ่นไม้และโลหะคละคลุ้ง เครื่องมือช่างหลากหลายชนิดถูกแขวนเรียงรายอยู่บนผนังอย่างเป็นระเบียบ เธอเดินตรงไปยังชั้นวางเครื่องมือ หยิบสิ่วและค้อนขนาดเล็กมาอย่างรวดเร็ว เธอกลับมาล็อคประตูอย่างเดิม และรีบเดินกลับไปที่ห้องดนตรี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "เธอโอเคไหมเอมิลี่?" เมรี่ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่ามิสพริสซิลล่ากำลังใช้ผ้าเย็นประคบข้อเท้าของเอมิลี่ เอมิลี่พยักหน้าเบาๆ "ไม่เป็นไรแล้วเมรี่ มิสพริสซิลล่าบอกว่าฉันแค่ข้อเท้าพลิกเล็กน้อยน่ะ" เธอส่งสายตาเป็นนัยให้เมรี่ ราวกับจะถามว่า 'สำเร็จไหม?' เมรี่ยิ้มตอบในใจ 'สำเร็จสิ' คืนนั้น เมื่อทุกคนหลับ เมรี่และเอมิลี่ก็มุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของเก่าอีกครั้ง ด้วยสิ่วและค้อนในมือ เมรี่ปีนขึ้นไปบนลังไม้ และเริ่มลงมือแกะแผ่นไม้ที่ปิดช่องระบายอากาศ "ระวังนะเมรี่!" เอมิลี่กระซิบ "ถ้าเสียงดังเกินไป เดี๋ยวใครก็จะได้ยิน" เมรี่ใช้ค้อนตอกสิ่วเข้าไปในช่องว่างเล็กๆ ระหว่างแผ่นไม้กับขอบหน้าต่างอย่างระมัดระวัง เธอค่อยๆ งัดแผ่นไม้ออกทีละนิดๆ เสียงไม้แตกดังเบาๆ ในความเงียบ ยิ่งเธองัดออกได้มากเท่าไหร่ แสงจันทร์จากภายนอกก็ยิ่งส่องเข้ามามากขึ้นเท่านั้น ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ในที่สุด แผ่นไม้ที่แข็งแรงก็หลุดออก แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องเก็บของอย่างเต็มที่ เผยให้เห็นช่องระบายอากาศที่กว้างพอสำหรับเด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างเมรี่จะลอดผ่านได้ "ในที่สุด!" เมรี่กระซิบด้วยความดีใจ "เธอทำได้แล้วเมรี่!" เอมิลี่กระโดดกอดเมรี่เบาๆ ด้วยความตื่นเต้น "แล้วเธอจะไปเมื่อไหร่?" เมรี่มองออกไปนอกช่องระบายอากาศไปยังสวนที่มืดมิด ท้องฟ้ายามราตรีประดับด้วยดวงดาวนับล้าน เธอสูดหายใจลึกๆ รับอากาศบริสุทธิ์ที่แตกต่างจากอากาศในโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง "ฉันจะไปคืนนี้แหละเอมิลี่" เอมิลี่เบิกตากว้าง "คืนนี้เลยเหรอ? ไม่เตรียมตัวอะไรเลยหรือ?" "ฉันเตรียมตัวมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้วเอมิลี่" เมรี่ตอบ เธอหยิบกระเป๋าผ้าเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ในช่องว่างของลังไม้ขึ้นมา ภายในมีเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอแอบเย็บใหม่ให้กระชับขึ้นเล็กน้อย เงินเหรียญจำนวนไม่มากที่เธอเก็บสะสมไว้ และจดหมายเก่าๆ ของพี่ชายที่ระบุชื่อเมืองที่พวกเขาเคยไปทำงานสืบสวน "ฉันไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้" "แต่...แล้วฉันล่ะ?" เอมิลี่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เธอจะทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวเหรอ?" เมรี่หันไปกอดเอมิลี่อย่างแน่นหนา "ฉันไม่ทิ้งเธอหรอกเอมิลี่ เธอคือเพื่อนคนแรกที่เข้าใจฉันที่นี่ และฉันจะไม่มีวันลืมเธอเด็ดขาด" เธอผละออกจากการกอดแล้วจ้องตาเอมิลี่อย่างจริงจัง "เธอต้องอยู่ที่นี่และคอยปกปิดเรื่องของฉันให้ดีที่สุด จนกว่าฉันจะไปถึงที่หมาย แล้วฉันจะพยายามติดต่อกลับมาหาเธอให้ได้" "แต่ถ้ามาดามเซเลสต์รู้ขึ้นมาล่ะ?" "เธอต้องเข้มแข็งนะเอมิลี่ เธอจะต้องไม่บอกใครว่าฉันหายไปไหน และถ้าเธอถูกจับได้ เธอต้องจำไว้ว่าเธอไม่รู้อะไรเลย" เมรี่กำชับ "เชื่อฉันนะเอมิลี่ นี่คือทางเดียวที่ฉันจะรอดไปได้ และฉันจะไม่มีวันลืมบุญคุณเธอเลย" เอมิลี่พยักหน้าทั้งน้ำตา "ฉันจะพยายามเมรี่ ขอให้เธอปลอดภัยนะ" "เธอเองก็เช่นกันเอมิลี่" เมรี่ปีนขึ้นไปบนลังไม้และค่อยๆ มุดตัวผ่านช่องระบายอากาศที่มืดมิด เธอรู้สึกถึงความเย็นของอากาศยามราตรีที่ปะทะกับใบหน้า และกลิ่นหญ้าที่เปียกชื้นยามเช้าตรู่ ร่างกายของเธอค่อยๆ ไถลลงมาด้านนอกอย่างช้าๆ เท้าของเธอสัมผัสกับพื้นดินที่เปียกชื้น เธอเงยหน้าขึ้นมองโรงเรียนสตรีเลดี้เอเมไลน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง กำแพงหินสีเทาดูมืดทะมึนราวกับป้อมปราการแห่งความสิ้นหวัง "ลาก่อน...กรงทองของสุภาพสตรี" เมรี่กระซิบ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวังที่พึ่งได้รับกลับคืนมา "ฉันจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีกแล้ว" เธอหันหลังให้โรงเรียน และวิ่งออกไปในความมืด เธอไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง การเดินทางสู่โลกกว้างเพียงลำพังของเด็กสาววัย 17 นั้นเต็มไปด้วยอันตรายและความไม่แน่นอน แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักสืบ และตามหาพี่ชายทั้งสองที่เธอเชื่อว่ายังคงรอคอยเธออยู่ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะยาวไกลและอันตรายแค่ไหน เมรี่ก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันทั้งหมด เพื่ออิสรภาพและเพื่อความฝันของเธอ เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับบทที่ 2 นี้? เราได้เห็นความมุ่งมั่นของเมรี่ในการวางแผนและดำเนินการหลบหนี รวมถึงบทบาทของเอมิลี่ในการช่วยเหลือเธอได้อย่างดีเยี่ยมเลยค่ะ ตอนนี้เมรี่ได้หลบหนีออกมาจากโรงเรียนแล้ว เราจะมาต่อกันในบทที่ 3 ที่เธอเริ่มต้นการเดินทางและอาจจะเผชิญกับคดีแรกของเธอ หรือพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับพี่ชายนะคะเมรี่ กุม กุญแจทั้งสี่ดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือ แต่ละดอกเปล่งประกายพลังงานที่แตกต่างกันออกไป บัดนี้ พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความหมายของแต่ละดอก: ความทรงจำที่หายไป, บทเพลงแห่งผู้ถูกจองจำ, ความเจ็บปวดจากอดีต และ แสงสว่างแห่งศรัทธา เหลือเพียง กุญแจดอกสุดท้าย — 'กุญแจแห่งอนาคต' — ที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' และเผชิญหน้ากับ 'ผู้สร้างแห่งหายนะ'หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 4 จากโบสถ์แห่งศรัทธา ทุกคนก็รีบเดินทางกลับมาที่ 'ป่าต้องห้าม' เพื่อพบกับ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู พวกเขาเชื่อว่าเธออาจมีเบาะแสสุดท้ายเกี่ยวกับกุญแจดอกที่ 5เมื่อมาถึง ประตูแห่งกาลเวลา ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางป่า เอเลนอร์ก็ยืนรอพวกเขาอยู่แล้ว ร่างของเธอยังคงเปล่งแสงสีเขียวมรกตที่อบอุ่น"ยินดีด้วยที่พวกเจ้าได้กุญแจดอกที่ 4 มา" เอเลนอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "แต่เส้นทางข้างหน้ายังคงอันตรายนัก""ท่านพอจะบอกได้ไหมครับว่ากุญแจดอกที่ 5 อยู่ที่ไหน?" ปู่ทวด ถามอย่างมีความหวังเอเลนอร์หลับตาลงชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยแสงแห่งปัญญา "กุญแจดอกที่ 5 นั้น...อยู่ใกล้กว่า
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสามดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น แต่ละดอกเป็นเครื่องยืนยันถึงการเดินทางที่ยาวนานและอันตรายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ามา ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสามในห้าดอกแล้ว เหลืออีกเพียงสองดอกเท่านั้นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' หลังจากได้รับกุญแจดอกที่ 3 จากหัวหน้าหมู่บ้านแบล็ควินด์ พวกเขาก็รีบออกเดินทางต่อทันที ปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวงอีกครั้ง เพื่อค้นหาเบาะแสของกุญแจดอกที่ 4 "คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 4 คือ 'ที่ซึ่งความศรัทธาถูกทดสอบ... ที่ซึ่งแสงสว่างส่องนำทางในความมืดมิด...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์" "โบสถ์อย่างนั้นหรือครับ!" นักสืบโธมัส กล่าว "อาจจะเป็นไปได้" ปู่ทวดพยักหน้า "โบสถ์เก่าแก่บางแห่งถูกสร้างขึ้นบนจุดที่พลังงานแห่งกาลเวลาไหลเวียน...และอาจมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ 'กุญแจแห่งกาลเวลา' ซ่อนอยู่" พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของประวัติศาสตร์อันยาวนานและตำนานลึกลับที่เล่าขานกันมา แม่ชีผู้รอคอย การเดินทางไปยังโบสถ์นั้นค่อนข้างราบรื่น หล
เมรี่ กุม กุญแจทั้งสองดอกแห่งกาลเวลา ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เข็มทิศแห่งความจริง และ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว หลังจากที่ได้ กุญแจดอกที่ 2 จาก ป่าต้องคำสาป ตอนนี้พวกเขามีกุญแจสองในห้าดอกแล้ว แต่ละดอกล้วนเป็นหลักฐานของการเดินทางอันยาวนานและความลึกลับของ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาปแช่ง' ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาออกเดินทางจากป่าฮอคเฮิร์สท์ด้วยรถม้า โดยมี ไคโรส และสมาชิกของ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะยังคงมีคำถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีพันธมิตรที่รู้เรื่องกาลเวลาดีก็ถือเป็นเรื่องดี"เราจะไปหากุญแจดอกที่ 3 ที่ไหนกันครับปู่ทวด?" นักสืบโธมัส ถามขณะที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนลูกรังที่คดเคี้ยวปู่ทวด กำลังตรวจสอบแผนที่โบราณและจารึกที่ได้มาจากหอสมุดหลวง เขาพยายามถอดรหัสคำใบ้ของ เอเลนอร์ ผู้เฝ้าประตู"คำใบ้ของกุญแจดอกที่ 3 คือ 'ที่ซึ่งเสียงหัวเราะกลายเป็นความเงียบงัน... ที่ซึ่งชีวิตถูกพรากไปโดยไร้ร่องรอย...'" ปู่ทวดพึมพำ "มันฟังดูเหมือนสถานที่ที่กำลังประสบปัญหาใหญ่"คำขอจากชายชราผู้ผอมโทรมยังไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสิน
เบื้องหน้า เมรี่ และทีม คือ 'ประตูแห่งกาลเวลา' บานมหึมาที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และสัญลักษณ์โบราณ มันดูเก่าแก่และน่าเกรงขาม ราวกับเป็นประตูสู่โลกอีกใบหนึ่ง หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดใน 'ป่าต้องห้าม' และการได้มาซึ่งพันธมิตรที่ไม่คาดฝันอย่าง ไคโรส ผู้นำ 'หน่วยบิดเบือนกาลเวลา' ตอนนี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังประตูบานนั้นด้วยความคาดหวังและกังวลใจ"เราจะเปิดมันได้อย่างไรครับ?" นักสืบโธมัส ถามพลางสำรวจประตูปู่ทวด มองไปที่แผนที่โบราณในมือ "ตำราโบราณกล่าวว่า 'ประตูแห่งกาลเวลา' ไม่ได้เปิดออกด้วยพละกำลัง...แต่ด้วยกุญแจแห่งความเข้าใจ"ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีเขียวมรกตก็ส่องประกายออกมาจากบริเวณด้านบนของประตู!"วูบบบบบบบบบบบ!"ร่างของ หญิงสาวคนหนึ่ง ที่สวมชุดสีเขียวมรกตดูราวกับชุดของเทพธิดา ปรากฏขึ้นจากแสงสว่างนั้น เธอมีใบหน้าที่งดงาม ดวงตาของเธอเปล่งประกายสีเขียวมรกตราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน เส้นผมของเธอพลิ้วไหวราวกับกระแสเวลาที่มองไม่เห็น"ยินดีต้อนรับ...ผู้พิทักษ์แห่งกาลเวลา" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า "ข้าคือ เอเลนอร์... ผู้เฝ้าประตูแห่งกาลเวลา"เมรี่เบิกตากว้าง "เลดี้เ
หลังจากช่วยเหลือชาวบ้านจากกลุ่มโจรป่าที่ถูกควบคุมโดย 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ได้สำเร็จ เมรี่ และทีมก็เร่งรัดการเดินทางไปยัง 'ประตูแห่งกาลเวลา' ที่ซ่อนอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน พวกเขาขึ้นรถม้าอีกครั้ง โดยมีชาวบ้านที่รอดชีวิตช่วยส่งไปถึงปากทางเข้าป่าที่เปล่าเปลี่ยว"ประตูแห่งกาลเวลาอยู่ที่นี่ครับ" ปู่ทวด ชี้ไปที่แผนที่เก่าแก่ที่บัดนี้ดูเหมือนจะส่องแสงเรืองรองขึ้นมาเองเมื่ออยู่ใกล้ เข็มทิศแห่งความจริง ของเมรี่ "มันถูกซ่อนไว้อย่างดี...เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมัน"ป่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูไม่เหมือนป่าทั่วไป ต้นไม้สูงใหญ่หนาทึบจนแสงอาทิตย์แทบส่องไม่ถึง บรรยากาศเงียบสงัดจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ที่สร้างเสียงหวิวๆ ราวกับเสียงกระซิบของสิ่งเร้นลับ"ป่าแห่งนี้ถูกเรียกว่า 'ป่าต้องห้าม' ครับ" นักสืบโธมัส กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ตำนานเล่าว่าไม่มีใครเคยเข้าไปในป่าแห่งนี้แล้วกลับออกมาได้อีกเลย""นั่นเพราะมันคือทางเข้าสู่มิติอื่น" ปู่ทวดเสริม "มันไม่ได้มีแค่ต้นไม้และสัตว์ป่า...แต่มันมี กับดักแห่งกาลเวลา ที่ซ่อนอยู่"เมรี่กำเข็มทิศแห่งความจริงไว้แน่น เธอรู้
เมรี่ กุม เข็มทิศแห่งความจริง ไว้ในมือแน่น พร้อมกับ เศษเสี้ยวของผลึกแห่งดวงดาว ที่เธอเก็บรักษามาอย่างดี ทั้งหมดคือสิ่งจำเป็นที่จะเปิด 'ประตูแห่งกาลเวลา' สู่ 'เมืองแห่งดวงดาวที่สาบแช่ง' หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในหอสมุดหลวง พวกเขาตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยรถม้าอีกครั้ง เพราะเกรงว่าการใช้รถไฟอาจทำให้พวกเขาถูก 'ผู้สร้างแห่งหายนะ' หรือกลุ่ม 'ดวงดาวที่สาปแช่ง' ดักทางได้ง่ายกว่าพวกเขาเช่ารถม้าที่ดูเก่าแต่แข็งแรงคันหนึ่ง มุ่งหน้าออกจากลอนดอนในยามเช้าตรู่ โดยมี ปู่ทวด นั่งอยู่ข้างเมรี่ในห้องโดยสาร นักสืบโธมัส สลับกันนั่งกับ อเล็กซานเดอร์ ที่บังเหียน ขณะที่ เฟรเดอริค, เบ็น, เอดิสัน, มิสเตอร์คลาร์ก และ 'ผู้พิทักษ์แห่งราชบัลลังก์' ติดตามไปอีกคัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีกำลังเพียงพอหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน"ตามแผนที่โบราณ 'ประตูแห่งกาลเวลา' ตั้งอยู่ในป่าลึกทางตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอนครับ" ปู่ทวดกล่าวพลางกางแผนที่ที่ได้มาจากหอสมุดหลวงเมรี่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของชนบทอังกฤษกำลังผลัดเปลี่ยนจากทุ่งหญ้าเขียวขจีเป็นป่าทึบที่ปกคลุมด้วยหมอกยามเช้า บรรยากาศเงียบสงบ แต่ในใจของเมรี่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น