ลมหนาวในยามเช้าตรู่ของเมืองบาธปะทะเข้ากับใบหน้าของเมรี่ ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอปลิวสยายไปด้านหลังขณะที่เธอวิ่งไปตามถนนที่ยังคงเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของเธอดังก้องบนก้อนหินที่ปูทาง เมรี่วิ่งโดยไม่รู้ทิศทางแน่ชัด รู้เพียงว่าต้องไปให้ไกลที่สุดจากโรงเรียนสตรีเลดี้เอเมไลน์
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อน บอกสัญญาณของการมาถึงของรุ่งอรุณ เมรี่หอบเหนื่อย เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อขา แต่หัวใจกลับเบิกบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือน นี่คืออิสรภาพที่เธอโหยหา! เธอวิ่งมาหยุดที่ริมแม่น้ำเอวอนที่ไหลเอื่อยๆ มองเห็นสะพานพัลเทนีย์ที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า บ้านเรือนของชาวเมืองยังคงเงียบสงบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนในตอนกลางวัน "ฉันจะไปที่ไหนดีนะ" เมรี่พึมพำกับตัวเอง เธอเปิดกระเป๋าผ้าเล็กๆ หยิบจดหมายเก่าๆ ของพี่ชายออกมาอีกครั้ง จดหมายฉบับหนึ่งระบุว่า อเล็กซานเดอร์ กำลังสืบคดีเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในลอนดอน ส่วนอีกฉบับของ เฟรเดอริค กล่าวถึงการตรวจสอบคดีปล้นเครื่องเพชรในเมืองเบอร์มิงแฮม "ลอนดอน...เบอร์มิงแฮม..." เมรี่ครุ่นคิด เธอมีเงินติดตัวไม่มากนัก การเดินทางไปเมืองใหญ่ทั้งสองแห่งนั้นต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายไม่น้อย "ฉันต้องหาเงิน" ในขณะที่เธอกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น เสียงเกวียนไม้เก่าๆ ก็แล่นผ่านไปบนถนน กลิ่นขนมปังอบใหม่ๆ ลอยมาเตะจมูก เมรี่หันไปมอง เธอเห็นชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าใจดีกำลังเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยขนมปังอบใหม่ๆ ออกมาจากร้านเบเกอรี่เล็กๆ แห่งหนึ่ง "คุณลุงคะ พอจะมีงานอะไรให้หนูทำบ้างไหมคะ" เมรี่รวบรวมความกล้า ถามออกไปอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายคนนั้นหันมามองเมรี่ด้วยความประหลาดใจ สายตาของเขาจับจ้องไปยังเสื้อผ้าที่เรียบง่ายของเธอ "งานหรือหนูน้อย? แต่ดูจากชุดของเจ้าแล้ว เจ้าไม่น่าจะใช่เด็กสาวที่มาทำงานหามรุ่งหามค่ำได้นะ" เมรี่ก้มหน้าเล็กน้อย "หนู...หนูหนีมาจากโรงเรียนค่ะ ต้องการเงินเพื่อเดินทางไปหาญาติที่ลอนดอนค่ะ" เธอเลือกที่จะไม่บอกความจริงทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกลับไป ชายเบเกอรี่พิจารณาเธออยู่ครู่หนึ่ง "หนูน้อยเอ๋ย ดูเจ้าอ่อนแรงเต็มที หากเจ้าทำงานได้จริง พอลุงจะให้งานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยขนขนมปังไปส่งที่ตลาดได้ ลุงก็ต้องการคนช่วยอยู่พอดี แต่ลุงไม่มีเงินจ่ายมากนักหรอกนะ" เมรี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกาย "เท่าไหร่ก็ได้ค่ะคุณลุง! หนูทำงานได้จริงๆ ค่ะ!" และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในโลกกว้างของเมรี่ เธอทำงานช่วยชายเบเกอรี่ไปส่งขนมปังที่ตลาดในตอนเช้า ช่วยล้างจาน ทำความสะอาดร้านในตอนบ่าย และอาศัยนอนบนกองกระสอบแป้งในร้านเบเกอรี่เล็กๆ แห่งนั้น แลกกับอาหารและเงินเล็กน้อยที่พอจะเก็บเป็นค่าเดินทางได้ สองสัปดาห์ผ่านไป เมรี่เก็บเงินได้พอสมควร แต่การเดินทางไปลอนดอนก็ยังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม เธอเริ่มรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัว เธอก็จะนึกถึงหน้าพ่อและพี่ชาย นึกถึงความฝันที่จะเป็นนักสืบ แล้วเธอก็จะฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ เสียงกระซิบจากตลาด เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เมรี่กำลังช่วยชายเบเกอรี่ขนขนมปังไปที่ตลาด เสียงโกลาหลก็ดังขึ้นมาจากฝูงชนที่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่บริเวณน้ำพุกลางตลาด เมรี่สังหรณ์ใจว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น "เกิดอะไรขึ้นคะคุณลุง?" เธอถาม ชายเบเกอรี่ถอนหายใจ "ไม่รู้สิหนู คงเป็นเรื่องราวของคนแปลกหน้าอีกแล้วล่ะมั้ง ช่างเถอะ เราไปขายขนมปังกันเถอะ" แต่เมรี่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ สัญชาตญาณนักสืบของเธอกำลังกระตุ้น เธอเดินเข้าไปใกล้ฝูงชน และพยายามชะเง้อมอง เมื่อเข้าไปใกล้พอ เธอได้ยินเสียงคนซุบซิบ "แหวนของท่านดัชเชสหายไปอีกแล้ว!" "นี่มันครั้งที่สามในรอบเดือนแล้วนะ!" "ใครกันที่กล้าขโมยของจากผู้ดีมีสกุลเช่นนั้น!" เมรี่เบิกตากว้าง 'คดีขโมย!' หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น นี่คือโอกาสของเธอ! "คุณตำรวจคะ!" เมรี่เรียกตำรวจที่กำลังสอบปากคำหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งอยู่ "เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?" ตำรวจคนนั้นหันมามองเมรี่ด้วยสายตาดูแคลน "เจ้าเด็กน้อย! ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้! ไปให้พ้น!" "แต่ฉันอยากช่วยค่ะ" เมรี่พยายาม "ฉันอาจจะช่วยหาเบาะแสได้" "ฮึ่ม! เจ้าเด็กน้อยจะไปรู้อะไร!" ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หัวเราะเยาะ "นี่เป็นเรื่องของตำรวจ และนักสืบมืออาชีพ ไม่ใช่เรื่องที่สตรีอย่างเจ้าจะมายุ่งเกี่ยว!" เมรี่รู้สึกโกรธ แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ เธอรู้ดีว่าเธอต้องพิสูจน์ตัวเอง เธอสังเกตเห็นกลุ่มคนสามสี่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูดี มีหนึ่งในนั้นคือ ท่านดัชเชสเอลิซาเบธ ผู้มีใบหน้าซีดเผือดและดวงตาที่แดงก่ำจากการร้องไห้ "ไม่มีประโยชน์หรอกตำรวจ!" ท่านดัชเชสกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ "แหวนวงนั้นเป็นของขวัญจากสามีของฉัน! และมันหายไปจากกระเป๋าถือของฉันขณะที่ฉันกำลังเดินเลือกซื้อดอกไม้อยู่ตรงนี้เอง!" "แล้วท่านดัชเชสแน่ใจหรือคะว่าแหวนหายไปที่นี่?" ตำรวจคนหนึ่งถามด้วยความอดทน "อาจจะหล่นหายที่อื่นก็ได้" "ไม่! ฉันแน่ใจ!" ท่านดัชเชสตอบอย่างฉุนเฉียว "ฉันเพิ่งตรวจดูมันก่อนที่จะลงจากรถม้า และมันก็อยู่ในกระเป๋าของฉันจริงๆ!" เมรี่เดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เธอสำรวจบริเวณรอบๆ น้ำพุอย่างละเอียด เธอสังเกตเห็นรอยเท้าเล็กๆ หลายรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่บนพื้นดินที่ชื้นแฉะจากการพรมน้ำของคนขายดอกไม้ เธอนั่งยองๆ ลงไปใกล้ๆ รอยเท้าเหล่านั้น และเห็นรอยบุ๋มเล็กๆ คล้ายรอยของรองเท้าบูทขนาดเล็ก "คุณตำรวจคะ!" เมรี่เรียกอีกครั้ง "ท่านดัชเชสลงจากรถม้าตรงไหนคะ?" ตำรวจคนนั้นหันมามองเมรี่ด้วยความรำคาญ "เจ้าเด็กนี่! ยังไม่ไปอีกหรือ!" "ตอบหนูเถอะค่ะ หนูคิดว่าหนูเห็นบางอย่าง" เมรี่พูดด้วยความมุ่งมั่น ท่านดัชเชสชี้ไปที่รถม้าคันงามที่จอดอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย "ตรงนั้นแหละจ้ะ" เมรี่เดินไปที่จุดนั้น เธอสังเกตเห็นว่าพื้นดินบริเวณนั้นค่อนข้างแห้งกว่าบริเวณอื่นๆ ยกเว้นจุดหนึ่งที่เปียกชื้นเป็นพิเศษ และมีรอยเท้าเล็กๆ คล้ายกับรอยที่เธอกำลังตรวจสอบอยู่ เมรี่ก้มลงมองใกล้ๆ เธอเห็นประกายบางอย่างบนพื้นดิน มันคือเศษหินเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากแหวน "ท่านดัชเชสคะ" เมรี่เดินกลับไปหาท่านดัชเชส "แหวนของท่านมีอัญมณีอะไรประดับอยู่บ้างคะ?" "มันคือแหวนเพชรวงงาม มีแซฟไฟร์ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ นับสิบเม็ด" ท่านดัชเชสตอบอย่างรวดเร็ว "หนูพบเศษหินเล็กๆ ที่คาดว่าเป็นเพชรหล่นอยู่ใกล้จุดที่ท่านลงจากรถม้าค่ะ" เมรี่กล่าวอย่างมั่นใจ "และรอยเท้าเหล่านี้...ดูเหมือนจะเป็นรอยเท้าของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ หรือผู้หญิงร่างเล็ก" ตำรวจและท่านดัชเชสต่างพากันประหลาดใจ สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เมรี่ "เจ้าแน่ใจหรือเด็กน้อย?" ตำรวจถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป "ค่ะ" เมรี่พยักหน้า "หนูเคยเรียนรู้การแกะรอยเท้าจากพ่อของหนูค่ะ ท่านเป็นนักสืบ" ท่านดัชเชสมองเมรี่ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง "ถ้าอย่างนั้น เจ้าพอจะช่วยฉันได้ไหม? ฉันจะให้รางวัลอย่างงาม!" เมรี่รู้สึกดีใจสุดขีด "แน่นอนค่ะท่านดัชเชส! หนูจะพยายามอย่างเต็มที่ค่ะ"ความจริงที่ มิสเตอร์คลาร์ก เปิดเผยนั้นหนักหน่วงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ไม่ได้แค่ต้องการทำลายกาลเวลา แต่ยังล้างแค้นราชวงศ์อังกฤษจากการกระทำในอดีต นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับภัยคุกคามที่หยั่งรากลึกมาหลายศตวรรษ การที่กษัตริย์ทรงถูกควบคุมอยู่คือหัวใจของแผนการทั้งหมดนี้"ถ้าอย่างนั้น 'สายรัดแห่งคำสาป' ที่ควบคุมกษัตริย์อยู่คืออะไรคะ?" เมรี่ ถาม มิสเตอร์คลาร์กที่ดูอ่อนล้าแล้วมิสเตอร์คลาร์กพาพวกเขาเดินลึกเข้าไปในทางเดินใต้ดินของพระราชวังวินด์เซอร์ โดยมี 'ผู้พิทักษ์แห่งราชบัลลังก์' ที่ตอนนี้ปลอดจากคำสาป เดินนำทางไปเงียบๆ เขาเล่าเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับชะตากรรมของราชวงศ์วินด์เซอร์"มันคือ 'มงกุฎแห่งเวลา' ที่แท้จริงครับ" มิสเตอร์คลาร์กตอบ "ไม่ใช่แค่สายรัด แต่เป็นมงกุฎที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' สร้างขึ้นจากพลังของ 'กระจกแห่งความจริง' เพื่อผูกมัดกษัตริย์องค์ปัจจุบันให้เป็นหุ่นเชิดของเขา""แล้วเราจะถอดมันออกได้อย่างไรครับ?" เอดิสัน ถาม"มันถูกออกแบบมาให้หลอมรวมกับผู้สวมใส่ครับ" มิสเตอร์คลาร์กถอนหายใจ "วิธีเดียวที่จะถอดมันได้คือต้องใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่า 'กระจกแห่งค
กระดาษที่ 'ผู้ส่งสารจากอนาคต' มอบให้เมรี่ไม่ได้เป็นแค่แผนที่ แต่มันเป็นเหมือนภาพวาดที่สลักเสลาด้วยลายมือประณีต บอกเล่าถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึง หนึ่งในภาพเหล่านั้นคือภาพของ มิสเตอร์คลาร์ก กำลังยืนอยู่หน้าอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชวังวินด์เซอร์ สถานที่พำนักของราชวงศ์อังกฤษ"มิสเตอร์คลาร์กไปที่นั่นทำไมครับ!" เฟรเดอริค อุทานด้วยความแปลกใจ"ดูเหมือนว่าเขากำลังรอเราอยู่ที่นั่น" เมรี่ ตอบ เธอกำแผนที่ไว้ในมือแน่น "เราต้องไปที่นั่นให้เร็วที่สุด"หลังจากเดินทางกลับมายังลอนดอน เมรี่และทีมใช้เวลาสองวันเต็มๆ ในการเตรียมตัวและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังวินด์เซอร์ แต่การจะเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขารู้ว่าต้องใช้แผนการที่แยบยลและละเอียดรอบคอบ"เราจะเข้าไปได้อย่างไรครับ?" อเล็กซานเดอร์ ถาม "ที่นั่นมีทหารรักษาการณ์อยู่ทุกตารางนิ้วเลยนะครับ""เราต้องหาทางเข้าที่ไม่มีใครสังเกตเห็น" เบ็น ตอบ "และผมคิดว่าผมรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน"ภารกิจลับใต้ดินพวกเขาเดินทางไปยังพระราชวังวินด์เซอร์ในคืนหนึ่งที่มืดมิดและไร้ดวงจันทร์ พวกเขาแต่งกายด้วยชุด
เมรี่ และทีมของเธอออกเดินทางจากเอดินบะระในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาใช้รถยนต์เก่าๆ คันหนึ่งที่ นักสืบโธมัส เตรียมไว้ให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถไฟที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แผนที่สู่ห้วงเวลาที่ได้มาจากนักสืบโธมัสดูจะนำพวกเขาไปยังสถานที่ที่ห่างไกลจากความเจริญ และเป็นจุดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่การเดินทางของพวกเขากินเวลากว่าสองวันเต็มๆ พวกเขาขับรถผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามของชนบทในสกอตแลนด์ ท่ามกลางเนินเขาที่เขียวขจี ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ และทะเลสาบที่เงียบสงบ แต่ในใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้นกับภารกิจที่กำลังจะมาถึงในที่สุด แผนที่ก็พาพวกเขามาถึงปลายทาง มันเป็น ปราสาทเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่โดดเดี่ยว ท่ามกลางหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและต้นไม้ที่ดูน่าเกรงขาม ปราสาทแห่งนี้ดูทรุดโทรมและถูกทิ้งร้างมานานหลายศตวรรษ แต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่และน่ากลัวเอาไว้"ที่นี่แหละ" เอดิสัน กล่าวขณะมองไปที่แผนที่ "จุดหมายปลายทางของเราคือที่นี่""แล้ว 'ผู้ส่งสารจากอนาคต' อยู่ที่ไหนกันครับ?" เฟรเดอริค ถามด้วยความสงสัย"เขาน่าจะอยู่ในปราสาทแห่งนี้ครับ" ปู่ทวด ตอบ "เราต
หลังจากที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ถูกลบเลือนออกจากกาลเวลา บรรยากาศในห้องลับใต้พระราชวังเอดินบะระก็กลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง เมรี่และทีมยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความโล่งใจจากชัยชนะและความสับสนจากคำพูดปริศนาที่พวกเขาได้ยิน"อนาคต...ของพวกเจ้า...ได้เปลี่ยนไปแล้ว..." เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเมรี่เอดิสัน ก้มลงเก็บเศษ 'กระจกแห่งความจริง' ที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษกระจกชิ้นหนึ่งยังคงเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆ อยู่ในมือของเขา"เราควรจะทำอย่างไรกับมันดีครับ?" เอดิสันถามด้วยความลังเลปู่ทวด มองไปที่เศษกระจกนั้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง "มันอันตรายนัก...มันคือพลังที่เกินกว่ามนุษย์จะควบคุมได้""แต่เราก็ต้องเก็บมันไว้ครับ" อเล็กซานเดอร์ กล่าว "ถ้าปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ อาจจะมีคนอื่นมาเจอมันอีก""อเล็กซานเดอร์พูดถูก" เฟรเดอริค เสริม "เราไม่สามารถปล่อยให้พลังแบบนี้ไปอยู่ในมือคนผิดได้อีกแล้ว"เมรี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอรู้ว่าภารกิจของพวกเขายังไม่จบลง การที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ถูกลบเลือนไปไม่ได้หมายความว่าอันตรายจะหมดไป"เราต้องหาที่เก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่ส
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องลับใต้พระราชวังเอดินบะระ มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของทุกคนเท่านั้นที่ดังก้องไปมา แสงสลัวๆ จากโคมไฟโบราณส่องกระทบใบหน้าของ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ที่กำลังยืนถือ 'กระจกแห่งความจริง' ไว้ในมืออย่างเยือกเย็น แสงสีฟ้าอ่อนๆ จากกระจกสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ทำให้เขาดูเหมือนไม่ใช่คนอีกต่อไป"แกไม่ควรเข้ามาถึงที่นี่" 'สถาปนิกแห่งหายนะ' กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ "พวกแกได้ทำลายแผนการที่ข้าใช้เวลาหลายร้อยปีสร้างขึ้นมา"เขาเหลือบไปมองศพของทหารรักษาการณ์ที่ไม่มีเงา แล้วยิ้มเยาะ "การต่อต้านเป็นสิ่งไร้ค่า... เพราะสุดท้ายแล้ว พวกแกก็จะถูกลบเลือนออกจากประวัติศาสตร์เหมือนอย่างเขา"นักสืบโธมัสไม่รอช้า เขาและทหารอีกคนพุ่งเข้าใส่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' ทันที ปืนพกในมือของพวกเขายิงกระสุนออกไปไม่ยั้ง!"ไร้ประโยชน์" 'สถาปนิกแห่งหายนะ' พึมพำก่อนที่กระสุนจะถึงตัวเขา 'สถาปนิกแห่งหายนะ' เพียงแค่โบกมือเบาๆ แล้วเวลาก็หยุดลง! กระสุนที่พุ่งไปข้างหน้าทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับถูกแช่แข็ง เขาก้าวผ่านพวกมันไปอย่างช้าๆ แล้วใช้มือแตะที่หน้าอกของนักสืบโธมัสและทหารคนนั้น"ไปสู่ความว่างเปล่าเถอ
เมรี่กอดบันทึกสำคัญที่ได้จากเลดี้เอลีนอร์ไว้แน่น เธอวิ่งไปตามทางเดินลับใต้พระราชวังเอดินบะระ ทิ้งกลิ่นอายของตำนานและคำเตือนจาก 'ผู้พิทักษ์แห่งเวลา' ไว้เบื้องหลัง ในใจของเธอมีเพียงเป้าหมายเดียว นั่นคือการไปถึง 'กระจกแห่งความจริง' ก่อนที่ 'สถาปนิกแห่งหายนะ' จะใช้มันเปิดฉาก 'สงครามแห่งกาลเวลา'ทางเดินลับสิ้นสุดลงที่กำแพงหินทึบ เมรี่รู้ว่าห้องลับที่เธอตามหาจะต้องอยู่หลังกำแพงนี้ แผนผังของจอห์น สมิธ แสดงให้เห็นจุดที่ซ่อนกลไกไว้ แต่เธอจะเปิดมันได้อย่างไรท่ามกลางความมืดมิดและไร้ซึ่งเครื่องมือ?ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าก็สาดเข้ามาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างหนักแน่น เมรี่หันขวับด้วยความตกใจ พร้อมที่จะป้องกันตัว แต่เมื่อแสงนั้นส่องชัดเจนขึ้น เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคย"เมรี่! เธอปลอดภัยนะ!"อเล็กซานเดอร์, เฟรเดอริค, เอดิสัน, เบ็น, และปู่ทวด ก้าวเข้ามาในทางเดินลับ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบฝุ่นจากการต่อสู้ แต่แววตาของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความโล่งใจที่ได้เจอเมรี่"ปู่ทวด! ทุกคน!" เมรี่โผเข้ากอดพวกเขาอย่างดีใจ "พวกคุณจัดการกับ 'เงาที่หลงเหลือ' ได้แล้วเหรอคะ!""ใช่แล้ว