แพขนตางอนสั่นระริก เมื่อปราณต์แทรกลิ้นเข้ามาในปากของเธออย่างง่ายดาย คล้ายกับว่าเธอเองก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี จากนั้นลิ้นนุ่มและลิ้นสากก็ม้วนกระหวัดเข้าพันกันอย่างดูดดื่ม พร้อมๆ กับที่คลื่นความวาบหวามขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นในท้องน้อยของนัสริน จนเธอเผลอยกมือขึ้นโอบกอดรอบคอเขาและจูบตอบเขาอย่างเนิ่นนาน
“ถ้าคุณน่ารักกับผมแบบนี้ตลอดไปก็ดีสินะ” ปราณต์พูดขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าสวยๆ และปากอิ่มที่เลอะลิปสติกเพราะถูกเขาบดจูบอย่างเอ็นดู
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ปล่อยได้แล้ว” นัสรินเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง แล้วรีบเดินออกจากห้อง ขับรถไปทำงานโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตอนนี้ปากของตนนั้นเลอะไปด้วยลิปสติกจากแรงจูบของปราณต์
เมื่อไปถึงที่ทำงานหนานอินซึ่งเป็นรปภ.หน้าออฟฟิศก็ลุกจากเก้าอี้และเอ่ยทักทายนัสรินเช่นเดียวกับทุกวัน แต่นัสรินก็อดสงสัยไม่ได้ ที่วันนี้หนานอินมองหน้าเธอแปลกๆ แล้วอมยิ้ม ซึ่งเป็นอาการเดียวกับอุ่นคำตอนที่เห็นเธอเดินเข้าไปในออฟฟิศ
“เป็นอะไรกันไปหมดคะป้าอุ่นคำ ทำไมทั้งป้าทั้งลุงหนานอินมองหน้านัสแล้วยิ้มแปลกๆ” นัสรินถามแม่บ้านเพื่อคลายความสงสัยของตัวเอง
“ก็ปากคุณนัสน่ะสิคะ”
“ปากนัส? ปากนัสเป็นอะไรเหรอคะ”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ เพียงแต่ลิปสติกมันเลอะน่ะค่ะ สงสัยคุณนัสจะรีบ”
นัสรินหน้าร้อนผ่าว รีบก้าวเข้าไปในห้องน้ำ มองดูตัวเองผ่านกระจก และก็พบว่าปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกเนื้อเนียนอย่างประณีตก่อนหน้านั้น ตอนนี้เลอะไปด้วยคราบลิปสติกจริงๆ
“คนบ้า! จะเตือนกันหน่อยก็ไม่ได้” เสียงหวานก่นด่าไปยังคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง พร้อมกับอมยิ้มออกมาเขินๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนและเมื่อเช้านี้ หากทว่ารอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า เธอก็เป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ชั่วคราวของปราณต์เท่านั้น เมื่อเช้าเขาบอกเอง ว่าเขาเลือกใครคนหนึ่งเอาไว้แล้ว...
คนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง ต้องรีบเสตามองไปทางอื่นเหมือนคนทำความผิด แล้วกลัวถูกจับได้ เมื่อเห็นว่าตอนนี้เพื่อนสนิทของตนนั่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว ความรู้สึกของนัสรินยามนี้ไม่ต่างอะไรกับแมวขโมยปลาย่างที่ลักกินขโมยกิน พอเจ้าของปลาย่างตัวจริงมา แมวขโมยอย่างเธอก็เลยไม่กล้าสบตาด้วย
“วันนี้กลับช้านะนัส” พินทุสรเอ่ยทักทายขึ้นก่อน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเคลือบแคลงระแวงสงสัยใดๆ ในตัวนัสรินเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของพินทุสรดูร่าเริงแจ่มใส แววตาเปล่งประกายอย่างคนมีความรัก นั่นทำให้ความรู้สึกผิดของนัสรินในคราแรก แปรเปลี่ยนเป็นความหนักอึ้งในใจ เพราะไม่รู้จะหาทางออกกับรักสามเส้าที่เป็นอยู่นี้อย่างไร
“พอดีเคลียร์งานเพลินไปหน่อยน่ะ พอนึกได้อีกทีก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว”
“แล้วไป...ตอนแรกเราก็คิดว่ามีหนุ่มเชียงใหม่มาชิงนางไปแล้วเสียอีก”
“บ้าเหรอออย จะมีใครล่ะ”
“ไม่รู้สิ นัสออกจะสวยขนาดนี้ ผู้ชายคนไหนเห็นก็ต้องสนใจทั้งนั้นละ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีใครสนใจแม่หม้ายอย่างเราหรอก ว่าแต่ออยเถอะกลับมาเมื่อไหร่” นัสรินจำต้องถามในสิ่งที่เหมือนเอาเข็มทิ่มใจตัวเอง แต่ก็ไม่อยากให้พินทุสรสงสัยเอาได้ว่าทำไมเธอไม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบหลังจากที่พินทุสรหายไปทั้งคืน
“มาตอนบ่ายๆ นี่เอง แต่ดูเหมือนว่าตอนที่เรามาถึง เตียงนอนดูยับๆ นะ สงสัยนัสจะรีบจนลืมเก็บใช่มั้ย ปกตินัสเรียบร้อยจะตาย ตื่นมาก็จัดที่นอนและพับผ้าห่มซะเรียบร้อยเลยไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ...คือเรา” นัสรินหน้าร้อนวาบ ใช่...เมื่อเช้าเธอทั้งรีบทั้งมีคนที่ทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่าง จึงออกจากห้องทั้งที่ไม่ได้เก็บที่นอนให้เรียบร้อยเหมือนอย่างเคย
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้จะตำหนิอะไรนัสหรอก แต่เอ...ดูเหมือนว่านัสจะเปลี่ยนลุคด้วยนะ จากสาวมั่นเป็นสาวหวาน เราไม่อยู่คืนเดียวแต่รู้สึกเหมือนมีอะไรเปลี่ยนแปลงเยอะแยะไปหมดเลยเนอะ”
ยิ่งพินทุสรพูดเช่นนั้นและมองอย่างสำรวจมากเท่าไหร่ คนมีความผิดติดตัวอย่างนัสริน ก็ยิ่งเหมือนวัวสันหลังหวะมากขึ้นเท่านั้น ร่างบางจึงต้องหันหลังหลบสายตาค้นคว้าของพินทุสร และทำทีเป็นเอากระเป๋าสะพายไปวางที่โต๊ะใกล้กับโต๊ะเครื่องแป้ง
“ก็แค่ใส่เสื้อผ้าแบบใหม่เท่านั้นเอง”
“คงเป็นเสื้อผ้าที่น้องสะใภ้คุณปราณต์ฝากมาให้ล่ะสิ”
“ใช่...น้องเล็กเป็นผู้หญิงที่สวยและเรียบร้อยมาก เสื้อผ้าของน้องเล็กก็มีแต่หวานๆ แบบนี้ละ” นัสรินกล่าวขอโทษธรินดาในใจที่ต้องรับสมอ้างแบบนั้น ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่นี่เป็นของใคร
“ว่าแล้วก็อยากเห็นตัวจริงเหมือนกันนะ แต่เมื่อคืนคุณปราณต์ก็เปรยๆ อยู่แหละว่าจะพาเราไปทำความรู้จักกับครอบครัวเขา แม่เขาดุมั้ยนัส แล้วคนอื่นๆ ล่ะเป็นยังไงบ้าง”
เป็นอีกครั้งที่นัสรินฟังแล้วรู้สึกยอกแสลงในอก นอกจากทั้งสองคนจะมีอะไรลึกซึ้งกันแล้ว เขายังคิดจะพาพินทุสรเข้าบ้าน นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าปราณต์จริงจังกับพินทุสรมากแค่ไหน
“ไม่เลย...แม่เลี้ยงลักษิกาดูจะดุๆ แต่ความจริงเป็นคนที่ใจดีมาก พี่ปรัชญ์จะออกโผงผางหน่อยแต่รักภรรยามาก ส่วนน้องเล็กทั้งสวยทั้งจิตใจดี เรียบร้อย และเป็นแม่บ้านแม่เรือน เราเห็นยังอดทึ่งไม่ได้เลยว่าสมัยนี้ยังมีผู้หญิงแบบนี้หลงเหลืออยู่อีกเหรอ”
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย เรานี่เกร็งแทบแย่ตอนที่คุณปราณต์บอกจะพาเข้าบ้าน เอ้อ...อีกอย่างหนึ่ง วันเสาร์อาทิตย์นี้คุณปราณต์ชวนไปค้างที่ดอยอ่างขาง กะว่าจะเอาเต็นท์ไปกางนอนรับลมหนาวกัน ไปด้วยกันนะนัส” พินทุสรเอ่ยชวนเหมือนกับอยากให้นัสรินไปด้วยจริงๆ
“ออยไปกันเถอะ เราไปด้วยก็เท่ากับไปเป็นก้างขวางคอเปล่าๆ” นัสรินปฏิเสธพร้อมกับฝืนยิ้มเหมือนไม่ได้คิดอะไร จากนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำ และแอบร้องไห้อยู่ในนั้นเงียบๆ
บทที่ 57ภาพคู่ของปราณต์กับพินทุสรท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสวยงามของดอยอ่างขาง ที่ถูกโพสต์รูปแล้วรูปเล่าในตอนเช้าของวันจันทร์ ยิ่งทำให้คนที่อยู่ในฐานะเมียเก็บอย่างนัสรินต้องเจ็บปวด จนต้องรีบปิดหน้าจอจากหน้าต่างนั้น แล้วรวบรวมสมาธิทำงาน หากกระนั้นชั่วขณะหนึ่งสมองก็ยังแวบคิดไปถึงตอนที่ปราณต์มาส่งพินทุสรในช่วงเย็นของเมื่อวาน ทั้งคู่ล่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์คล้ายไม่อยากจาก จนยากที่คนมองอย่างเธอจะทนเห็นได้ นัสรินพยายามจะไม่คิดถึงเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับปราณต์อีก โชคยังดีที่วันนี้เธอต้องออกไปพบลูกค้าในช่วงสายๆ กลับมาอีกทีก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ทำให้เวลาของวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วมือบางเอื้อมไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าสะพาย เพื่อเตรียมตัวกลับอพาร์ตเมนต์ แต่ยังไม่ทันจะลุกไปไหน ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ และคนที่ก้าวเข้ามาก็คือคนที่นัสรินไม่อยากจะเจอหน้ามากที่สุดในเวลานี้ “คุณปราณต์!” เสียงหวานอุทานชื่อนั้นออกมาและจ้องมองเขาด้วยสายตาเคืองขุ่นแกมระวังตัว “ดีใจมากขนาดนั้นเลยเหรอที่เจอผม” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างจงใจยวนอารมณ์ และไม่มีทีท่าว
บทที่ 58นัสรินเข้าไปนั่งในรถคันนั้นเงียบๆ เช่นเดียวกับคนขับที่ก้าวตามขึ้นมาแล้วออกรถไปโดยไม่ได้พูดจาพาทีอะไรกับเธออีก นัสรินหันไปมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองข้างทางอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตาที่กำลังเล่นตลกอยู่กับตัวเอง ขณะที่รถเริ่มแล่นออกไป ร่างบางนั่งจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งเห็นว่าตอนนี้รถของปราณต์ไม่ได้แล่นไปยังบ้านของเขา แต่กำลังแล่นออกนอกเมือง ไปตามถนนที่เธอไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ถึงแม้เธอจะเคยอยู่ที่นี่มาก่อนก็จริง แต่ไม่เคยย่างกรายออกไปไหนนอกพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว “คุณจะพานัสไปไหนคะ” นัสรินหันขวับไปถามอย่างอดไม่ได้ “พาไปฆ่าทิ้งหมกป่ามั้ง” ปราณต์ตอบแค่นั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อ ซึ่งนัสรินก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก หากเขาอยากฆ่าเธอจริงๆ เธอก็ไม่คิดจะอุทธรณ์ใดๆ ดีซะอีกจะได้หนีปัญหารักหลายเส้าของเขา จะห่วงก็แต่พ่อแม่ที่มีตนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ถ้าเธอเป็นอะไรไปพ่อกับแม่คงจะเสียใจมาก รถยนต์สมรรถนะสูงสมราคายังคงแล่นไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงทางเข้าไร่ที่มีป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ไร่เดชาธร’ ปรา
บทที่ 59“นึกยังไงถึงจะมาค้างที่นี่ แถมมาแบบไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้าอีกต่างหาก” ศาสตราถามพลางเดินนำไปนั่งลงที่โซฟาราคาแพงซึ่งสั่งตรงมาจากต่างประเทศ“พอดีได้ข่าวว่าแม่แกไปปฏิบัติธรรมกับแม่ฉัน ฉันก็เลยต้องมาวันนี้”“แล้วถ้าแม่ฉันอยู่มันเป็นยังไง กลัวอะไรนักหนา หรือกลัวแม่เลี้ยงแสงหล้าจะเอาข่าวที่แกกลับไปคืนดีกับเมียเก่าไปฟ้องแม่แกหรือไง” “ไม่ได้กลัว แค่ไม่อยากหูชา” ปราณต์ปฏิเสธและเกลียดสายตารู้ทันของศาสตรายิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะพยายามปกปิดไว้เท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าศาสตราจะอ่านเกมได้ทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด“แล้วตกลงคืนดีกันแล้วเหรอ”“ก็ไม่เชิง...” ปราณต์ปฏิเสธสั้นๆ“แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้คืออะไร ทำไปทำไม”“ไม่รู้สิ คงเหมือนที่แกทำกับเมียแกละมั้ง ไม่รักเขาก็ยังบังคับให้เขาแต่งงานด้วย เอ๊ะ! หรือว่ารักแต่แกล้งฟอร์ม” ปราณต์ดักคอคืนให้บ้าง เพราะรู้ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของการแต่งงานระหว่างศาสตรากับภรรยาดี“สู่รู้! เดี๋ยวฟาดปากหมอปากหมาซักหมัดดีมั้ย”“รู้ทันก็ทำเป็นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง” ปราณต์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ตัวเองสามารถตอบโต้ศาสตราให้โกรธได้บ้าง เขาไม่ชอบการถูกใครต้อน และรู้ดีว่าศาสตราเองก็ไม่ช
บทที่ 60 เสียงขิมบรรเลงในท่วงทำนองเพลงไทยเดิมชวนสบายหูที่ดังขึ้นในเวลาเกือบสามทุ่มนั้น ช่างแสนไพเราะเพราะพริ้ง จนนัสรินนึกอยากรู้ว่าคนที่กำลังเล่นเครื่องดนตรีชนิดนั้นคือใคร ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงวอร์มเนื้อนุ่ม ก้าวออกจากห้องราวกับต้องมนตร์สะกด โดยไม่มีใครเหนี่ยวรั้งเอาไว้ เพราะตอนนี้ปราณต์ยังอาบน้ำอยู่ นัสรินมาหยุดอยู่ที่มุมห้องห้องหนึ่ง ซึ่งมุมนั้นสามารถมองเห็นคนบรรเลงขิมได้อย่างถนัดตา ทันทีที่มองเห็นหญิงสาวผู้นั้นเธอก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ เพราะนอกจากธรินดาแล้ว นัสรินก็ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ดูเรียบร้อยสวยหวานและสง่าสมเป็นผู้หญิงไทยแท้ได้เท่านี้อีกแล้ว เธอผู้นั้นใส่ชุดแบบคนพื้นเมือง นั่งพับเพียบเรียบร้อยทว่าดูสง่างาม หน้าตาสะสวยคมคาย ผมดำขลับมวยเป็นทรงสูงแล้วปักด้วยปิ่น ดูงดงามสะกดสายตาคนมองราวกับภาพวาดของนางในวรรณคดีก็ไม่ปาน หรือว่านี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ปราณต์พาเธอมาที่นี่ ผู้หญิงตรงหน้าสวยงามเกินกว่าที่ผู้ชายคนไหนจะมองข้ามไปได้ง่ายๆ เขาต้องการให้เธอมาเห็นว่าเขายังมีผู้หญิงที่เพียบพร้อมรออยู่อีกคนอย่างนั้นหรือ และไม่แน่
บทที่ 61“แล้วไม่เหมือนยังไงล่ะ”“ก็เท่าที่นัสดู นัสรู้สึกว่าคุณศาสตรารักคุณภัคธีมา และคุณภัคธีมาเองก็แอบมีใจให้คุณศาสตราเหมือนกันค่ะ” นัสรินพูดออกไปตามสิ่งที่ตัวเองเห็นและได้ยิน“เที่ยวรู้ใจคนอื่นไปทั่ว แล้วรู้ใจตัวเองบ้างไหม”“ทำไมจะไม่รู้คะ รู้มาตั้งนานแล้วด้วย”เมื่อถูกยั่วถูกแหย่นัสรินก็หลุดคำพูดนั้นออกมาอย่างลืมตัวอีกครา“รู้ว่ายังไง”“นัสไม่จำเป็นต้องบอกคุณค่ะ”“เห็นปรัชญ์บอกว่าที่คุณยอมร่วมมือกับปรัชญ์วางแผนให้ผมแต่งงานด้วย ก็เพราะคุณรักผม” คราวนี้ปราณต์พูดแบบไม่คิดจะไล่ต้อนไปต้อนมาเหมือนเดิม แต่ถามออกมาตรงๆ แทน“ไม่ใช่เสียหน่อยค่ะ ที่นัสยอมร่วมมือกับพี่ปรัชญ์ก็เพราะเห็นแก่เงิน เห็นแก่พ่อแม่ และอยากล้างหนี้ให้ครอบครัวต่างหาก” นัสรินพูดประชด เขาจะมาถามหาความรักอะไรในตอนนี้ มันไม่มีความหมายใดๆ หรอก ในเมื่อเขามีคนที่เลือกแล้ว“งั้นก็แสดงว่าปรัชญ์โกหกผมสินะ” ปราณต์ทำเสียงเยาะๆ“ไม่ใช่ความผิดของพี่ปรัชญ์หรอกค่ะ พี่ปรัชญ์เข้าใจไปเอง นัสไม่เคยพูดแบบนั้น”“ฮึ...ผมก็หลงดีใจอยู่ตั้งนาน แต่ก็ดี...ระหว่างผมกับคุณจะได้มีแต่การชำระหนี้ ไม่ต้องมีความรู้สึกอย่างอื่นมาแทรกให้ต้องคิดมากอะไร”อ้
บทที่ 62แสงอรุณของวันใหม่ทาทาบขอบฟ้าในตอนรุ่งสาง ความหนาวเย็นของบรรยากาศอันแท้จริงพร่างพรมมากระทบผิวกายของร่างบางที่สอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเจ้าของร่างเปลือยเปล่ากำยำ ทำให้นัสรินเผลอขยับตัวเข้าหาไออุ่นที่อยู่ใกล้แสนใกล้นั้นอย่างเป็นอัตโนมัติทันที ความอบอุ่นนั้นช่างลึกซึ้งและละมุนละไมชวนให้อยากหลับใหลต่อไปอีกนานแสนนาน จนแทบไม่อยากตื่นมารับรู้ความจริงใดๆ ระหว่างเขาและเธอ หากสุดท้ายนัสรินก็ตื่น เมื่อตระหนักได้ว่าที่ตนต้องมานอนอยู่บนเตียงเดียวกับปราณต์อยู่ตอนนี้นั้นเป็นเพราะอะไรตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมคร้ามของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายตัวเองมาตลอดตั้งแต่ได้พบเขาครั้งแรก ด้วยสายตาของคนที่เจียมเนื้อเจียมตัว รู้ดีว่าตัวเองมีค่ามีความหมายต่อปราณต์น้อยแค่ไหน เขาไม่เคยรักเธอ ไม่เคยสงสาร มีแต่รังเกียจและอยากแก้แค้นเท่านั้น หากเป็นไปได้เธออยากให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนี้ เธอจะได้มีสิทธิ์มอง มีสิทธิ์ครอบครองเขาอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องตระหนักถึงความจริงใดๆ อีกแต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้...อีกไม่นานเมื่อแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว ปราณต์ก็คงตื่นมาและพาเธอกลับไปสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
บทที่ 63จบวาจาประชดประชันนั้น นัสรินก็ต้องร้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อปราณต์ละมือจากเอวแต่ยกขึ้นมาตะปบบนหัวไหล่ของเธอแล้วหมุนร่างบางให้หันมาเผชิญหน้า พร้อมกับดันเธอไปติดกับผนังหลังห้อง กดร่างเล็กแนบไปกับแผ่นไม้สัก ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่บดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องลงมายังเธอได้จนหมดมิดเขาเบียดแนบเข้ามาติดชิดจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกับเธอ ผิดก็เพียงมีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่เท่านั้น นัสรินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่เพิ่งตื่นนอน ซึ่งตอนนี้ชวนมองยิ่งนัก และเธอคงเผลอมองไปอีกนาน หากว่าเขาจะไม่โน้มหน้าคมคร้ามนั้นลงมาจนปากเกือบจะแตะปากอิ่ม“อย่านะคะ นัสยังไม่ได้แปรงฟัน” นั่นเป็นข้ออ้างเดียวที่นัสรินคิดออกในเวลานั้น นึกก่นด่าตัวเองที่เผลอประชดประชันเขาจนได้เรื่อง“ผมก็ยังไม่ได้แปรง เพราะฉะนั้นเราเสมอกัน”ปราณต์รวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างตรึงติดกับผนังเหนือศีรษะของเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงซุกไซ้ กดจมูกขยี้พวงแก้มแดงระเรื่อ นัสรินสะบัดหน้าหลบเป็นพัลวัน แต่หลบซ้ายเขาก็จูบแก้มขวา หลบขวาก็ถูกจูบแก้มทางซ้าย “อย่าค่ะคุณปราณต์...”ปากอิ่มพยายามจะร้องห้าม แต่นั่นไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้ปราณต์ประกบป
บทที่ 64 หลังจากกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมปราณต์ นัสรินก็เกิดอาการหน้าร้อนซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ที่หน้าตู้มีเสื้อผ้าที่ซักรีดอย่างเรียบร้อยแขวนอยู่สองชุด ชุดหนึ่งเป็นชุดของปราณต์ อีกชุดหนึ่งคงเป็นชุดของเธอที่ปราณต์เตรียมมาให้ เธอจำได้ว่าก่อน หน้านี้ ตู้เสื้อผ้าตู้นั้นยังไม่มีอะไรแขวนอยู่แน่ๆ นั่นแสดงว่าคนที่เอาชุดนี้เข้ามาให้ คงเข้ามาตอนที่เธอกับปราณต์อยู่ในห้องน้ำ และคงได้ยินอะไรๆ ที่ดังอยู่ในนั้นหมดแล้ว นัสรินส่งค้อนอย่างเคืองๆ ไปให้คนที่ขยันทำให้เธออับอาย แต่ปราณต์ก็กลับยิ้มใส่ตาและหัวเราะเบาๆ อย่างรื่นรมย์ เธอจึงทำได้แค่ขยับไปหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วหลบเข้าไปแต่งตัวหลังฉากไม้ไผ่ที่กั้นเอาไว้เป็นส่วนแต่งตัว กลับออกมาอีกทีก็พบว่าปราณต์แต่งตัวเกือบเสร็จแล้ว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ยัดชายเข้าไปในกางเกงสแล็กเนื้อดีสีกรมท่า คาดเข็มขัดราคาแพงอย่างเรียบร้อย แต่ในมือกลับถือเนกไทและยืนรอเธออยู่“มาผูกเนกไทให้หน่อย ตั้งแต่เป็นเมียผมมา คุณยังไม่เคยทำหน้าที่นี้เลยไม่ใช่เหรอ” เขาออกคำสั่งทันทีที่เธอทำท่าว่าจะเดินผ่านหน้าไปยังโต๊ะเค
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน