ปานตะวันเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธอไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรมากนัก แต่คำพูดของโลกันต์วันนี้กลับยิ่งย้ำเตือนถึงสถานะของเธอในสายตาของเขา เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ให้ได้ แต่เมื่อถึงบ้าน เธอก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาได้
"เธอไม่ใช่คนหรือไงปานตะวัน ต่ำต้อยจนไม่สามารถยืนอยู่บนดินเหมือนพวกเขาได้เลยหรือ อึกๆ"
เธอทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู สายตาเหม่อลอยไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว หากเธอมีทางเลือก เธออยากจะไปให้ไกลจากที่นี่ แต่เธอกลับถูกพันธนาการไว้ด้วยคำว่า "บุญคุณ" และความรัก
ในอีกด้านหนึ่ง โลกันต์กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา พลางขบคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้เขาจะบอกตัวเองว่าทุกอย่างที่เขาทำไปนั้นถูกต้อง แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดพลาด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อของ "กรุงโรม" ปรากฏอยู่บนหน้าจอ โลกันต์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะกดรับสาย
"มึงมีอะไร?" โลกันต์พูดเสียงเรียบ
"กูมีอะไรจะถามมึง" เสียงของกรุงโรมเต็มไปด้วยความจริงจัง "มึงคิดยังไงกับปานตะวันกันแน่วะ?"
คำถามนั้นทำให้โลกันต์นิ่งไปชั่วขณะ เขาไม่เคยถูกถามตรงๆ แบบนี้มาก่อน และเขาเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง
"เธอเป็นแค่เด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านกู แค่นั้น" โลกันต์ตอบเสียงแข็ง
"แค่นั้นจริงๆ เหรอ? กูว่าไม่ใช่ว่ะ มึงทำตัวเหมือนเจ้าข้าวเจ้าของ แต่กลับดูถูกเธอในเวลาเดียวกัน มึงแน่ใจเหรอว่ามึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย?"
"เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้วไอ้โรม กูไม่มีเวลามาเล่นกับมึง" โลกันต์พูดจบก็ตัดสายทิ้ง เขาโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
ในคืนนั้น เขาพลิกตัวไปมาบนเตียงกว้าง ความรู้สึกผิดแปลกในใจหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงวนเวียนอยู่ เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาถึงต้องใส่ใจปานตะวันมากขนาดนี้ ทั้งที่เธอควรเป็นเพียง "เด็กรับใช้" ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะมองเป็นคนสำคัญ
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตีสอง โลกันต์ตัดสินใจลุกขึ้น เขาเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องของปานตะวัน เธอควรได้รับบทเรียนว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามสำหรับคนแบบเธอ แต่เมื่อมือของเขาเอื้อมไปผลักประตูที่ไม่ได้ล็อก เสียงหายใจแผ่วเบาของเธอที่กำลังหลับสนิทกลับทำให้เขาใจหายเธอดูสงบและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน ภาพของเธอในตอนกลางวันที่พยายามกลั้นน้ำตา ทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
โลกันต์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่มีเธอนอนหลับอยู่ข้างกัน เขากอดเธอเอาไว้ลวมๆ ปลายจมูกคมคลอเคลียสูดดมไปตามลำคอขาว ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว
"ขะ..คุณ!
"อย่าเสียงดัง ถ้าไม่อยากให้คนอื่นตื่นมาได้ยิน" เขากระซิบข้างหูเธอเบาๆ ก่อนจะคลอเคลียที่ลำคอขาวของเธอไม่หยุด
"ปล่อยปานเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้อีกเลย"
"ทำไมล่ะ หรือเธอโกรธเรื่องเมื่อตอนกลางวัน"
"ปานไม่มีสิทธิ์นั้นหรอกค่ะ"
"ใช่ เธอไม่มีสิทธิ์ อย่าโกรธฉันเลย ฉันแค่หวังดี ไม่อยากให้เธอต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ระหว่างเธอกับมันไม่มีทางเป็นไปได้"
"ปานรู้ค่ะ และปานก็ไม่เคยคิดที่จะปีนขึ้นไปในที่ของพวกคุณ"
"รู้ก็ดี จำเอาไว้นะปานตะวัน อย่าไฝ่สูงจนเกินตัว เพราะสุดท้ายคนที่จะเจ็บก็คือตัวเธอเอง"
"ค่ะ"
ปานตะวันรู้สึกเจ็บกับคำพูดของเขา เพราะนั่นมันหมายถึงระหว่างเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมานานกว่าครึ่งปี แต่สุดท้ายเขาก็มองเธอเป็นแค่ "คนต่ำต้อย" เด็กในบ้านที่ไม่อาจเป็นเมียตัวจริงของเขาได้
"ฉันยาก คืนนี้ฉันนอนที่นี่นะ"
"แต่ว่าปานเป็นประจำเดือนนะคะ"
"เธอเป็นมาสี่วันแล้ว วันนี้คงมาไม่เยอะ"
"แต่ปาน...." เธอพยายามพูด แต่เสียงของเธอแผ่วเบาเกินกว่าจะหยุดเขาได้
"ให้ฉันเช็คดู เดี๋ยวก็รู้ว่าได้หรือไม่ได้" โลกันต์กระซิบข้างหู ก่อนจะกดจูบที่ซอกคอของเธอ ความร้อนจากลมหายใจของเขาทำให้เธอสั่นไหวเขาใช้ปลายจมูกคมและริมฝีปากหนาดูดเม้มคลอเคลียไปทุกส่วนของร่างกายเธอ มือหนาล่วงเข้าไปใต้ร่มผ้า ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้สำรวจปริมาณของรอบเดือนเธอ
"คุณกันต์ ปะ..ปาน.."
"นิดเดียวเองปาน ฉันไม่ติด"
เขาดึงเธอเข้ามากอดแน่น ริมฝีปากของเขาทาบลงบนริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน สัมผัสแรกนั้นเต็มไปด้วยความอุ่นวาบและความอ่อนหวาน ราวกับเขากำลังสำรวจความรู้สึกของตัวเอง แต่เพียงไม่นาน ความอ่อนโยนกลับถูกแทนที่ด้วยความเร่าร้อน ริมฝีปากของเขากดแน่นขึ้น ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของเธอเพื่อค้นหาความลึกซึ้ง เธอพยายามหายใจ แต่กลับถูกดึงดูดเข้าสู่แรงปรารถนาที่เขามอบให้
เมื่อเขาผละริมฝีปากออก เธอหอบหายใจหนัก ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาคู่งามจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
"อย่าไปใช้สายตาแบบนี้กับใคร นอกจากฉัน เข้าใจไหม"
ปานตะวันพยักหนารับ ลมหายใจของทั้งคู่ประสานกันในความเงียบยามค่ำคืน ร่างหนาโหมแรงกระแทกไม่หยุดหย่อน เสียงครางทุ่มสลับกับเสียงหวาน ทุกสัมผัสที่เขามอบให้ทำให้เธอหลอมละลายไปในอ้อมแขนของเขา
แสงแดดอ่อนของเช้าวันใหม่
ปานตะวันลุกจากเตียงด้วยร่างกายที่ยังคงรู้สึกเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดจากร่างกายไม่ได้เทียบเท่ากับความรู้สึกในหัวใจที่เหมือนถูกบีบจนแทบแตกสลาย สายตาของเธอสะดุดกับกระดาษโน้ตใบหนึ่งบนโต๊ะข้างเตียง ใกล้กันมีเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาทวางไว้เรียงอย่างเป็นระเบียบ ตัวหนังสือบนกระดาษเขียนด้วยลายมือคุ้นตาของเขา
"ค่าตัวเธอ ถ้าไม่พอค่อยมาขอเพิ่ม"
เธออ่านจบ หัวใจเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ มือสั่นเทาขณะที่หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้กลับร่วงหล่นไม่หยุด
"ค่าตัวงั้นเหรอ?"
น้ำเสียงสั่นไหว รู้สึกเหมือนถูกกรีดลึกลงไปในจิตวิญญาณ เธอเดินไปที่ประตู ร่างสูงของโลกันต์เดินออกไปพร้อมกับใบหน้าที่ดูสงบนิ่ง ไม่มีแม้แต่การหันกลับมามองเธออีกครั้ง ราวกับว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขา
"เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นอะไรมากกว่านี้เลยใช่ไหม?"
เธอพึมพำเสียงสั่นคลอน มองตัวเองในเงาสะท้อน ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ ผิวที่ยังมีร่องรอยจากค่ำคืนที่ผ่านมา เธอรู้สึกเหมือนเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่ถูกใช้แล้วทิ้ง
ปานตะวันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ความรัก ความหวัง และความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เธอไม่รู้ว่าเธอจะยังรักเขาได้อีกนานแค่ไหน หรือจะต้องใช้เวลานานเพียงใดในการหลุดพ้นจากความทรมานนี้ แต่ตอนนี้ เธอทำได้เพียงก้มหน้ารับความจริงที่ว่า ในสายตาของโลกันต์ เธออาจเป็นเพียงของเล่นชั่วคราว ที่ไม่มีวันได้รับความรักหรือคุณค่าใดๆจากเขาเลย
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”