หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ตั้งแต่คืนนั้น โลกันต์ก็ไม่เคยพูดหรือส่งข้อความหาปานตะวันอีกเลย เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ลึกๆ ในใจของเขากลับรู้สึกไม่สงบเลยสักนิด
โลกันต์เดินผ่านสวนที่จัดไว้อย่างเรียบหรู แสงแดดยามเย็นสาดส่องผ่านต้นไม้สูงใหญ่ ทอดเงาลงบนทางเดินหินที่สะอาดสะอ้าน เขาก้าวเท้าหนักแน่นไปตามทาง ด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัว
ในจังหวะนั้นเอง เขาเห็นร่างของปานตะวันเดินมาในทิศทางตรงกันข้าม เธอสวมชุดเรียบง่าย มือถือถาดอาหารเอาไว้แน่น ใบหน้าของเธอดูอ่อนล้า แต่ก็ยังมีความเข้มแข็งที่พยายามปกปิดความเจ็บปวด
เมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน โลกันต์กลับไม่ได้หยุดหรือแสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงแค่ก้าวต่อไปอย่างเฉยชา ราวกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญ
ปานตะวันหยุดเดินชั่วขณะ เธอมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวดในใจ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธออีกครั้ง
ความเย็นชาของโลกันต์ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกำแพงหนาที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นทุกอย่างจากเธอ และเธอก็รู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป
หัวใจของปานตะวันเหมือนถูกบีบรัด เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกในใจ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินต่อไปเช่นกัน เธอบอกตัวเองว่า
"ถ้าเขาไม่สนใจ ก็ไม่ควรสนใจเขาอีกต่อไป" แต่ลึกๆ แล้ว เธอรู้ดีว่าการลืมผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจเป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันทำได้เลย
@ตกดึก
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าโลกันต์กับปานตะวันห่างเหินกันในตอนกลางวัน แต่ในยามค่ำคืน ทุกอย่างกลับแตกต่างออกไป ราวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสองโลก โลกหนึ่งคือเจ้านายและลูกจ้างที่เคร่งขรึม เย็นชา และไร้หัวใจ อีกโลกหนึ่งคือความสัมพันธ์ที่ไม่มีคำจำกัดความชัดเจน เป็นเพียงร่างกายสองร่างที่มาพบกันในความเงียบ
โลกันต์ยังคงแอบเข้ามาในห้องของปานตะวันทุกคืน เงาของเขาปรากฏที่ปลายเตียงในเวลาที่เธอเกือบจะหลับสนิท กลิ่นหอมจางๆ ของน้ำหอมเขาและเสียงฝีเท้าเบาๆ เป็นสิ่งที่ปานตะวันเริ่มคุ้นชิน
เขาไม่พูดอะไร และเธอก็ไม่ถามอะไร ความเงียบระหว่างพวกเขาเหมือนข้อตกลงที่ไม่มีใครเอ่ยปาก แต่ทั้งคู่ก็ยังปล่อยให้มันดำเนินไป
"สถานะของพวกเขายังคงเหมือนเดิม—เจ้านายและลูกจ้างบนเตียง"
หลังจบกิจกรรมบนเตียง ปานตะวันนอนมองเพดานในความมืด เธอได้ยินเสียงลมหายใจของโลกันต์ที่อยู่ใกล้ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเขาอยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หรือว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่
"ปานเป็นอะไรสำหรับคุณกันแน่?" คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเธอทุกคืน แต่เธอไม่กล้าพูดออกไป
ส่วนโลกันต์เอง แม้จะนอนอยู่ข้างเธอ แต่สายตาของเขากลับมองออกไปในความมืด เขาไม่เคยพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง และดูเหมือนจะไม่ยอมให้ตัวเองแสดงออกถึงความอ่อนแอ
ทั้งคู่ยังคงอยู่ในวงจรเดิม ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเป็นคนจบมันจนกระทั่ง
เช้าวันถัดมา
บรรยากาศในบ้านใหญ่ของตระกูลกฤษณะโยธินเต็มไปด้วยความคึกคัก ใบม่อน เพื่อนสนิทที่เติบโตมาพร้อมกับเขา เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับครอบครัวของเธอ ทุกคนดูสนิทสนมราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เสียงหัวเราะและบทสนทนาเป็นกันเองทำให้บ้านดูอบอุ่น แต่กลับสร้างความอึดอัดในใจให้กับปานตะวัน
ปานตะวันกำลังยืนอยู่ที่มุมห้อง เธอคอยรับใช้แขกตามหน้าที่ พลางแอบมองโลกันต์ที่นั่งอยู่ตรงกลางวงสนทนา เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สายตาและสีหน้าเรียบนิ่งของเขาทำให้เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ
“ถ้าหลานทั้งสองหมั้นกัน ก็ดีเลยนะ” เสียงผู้ใหญ่ฝ่ายใบม่อนพูดขึ้น “ครอบครัวเรารู้จักกันมานาน เป็นทองแผ่นเดียวกันก็คงจะดี”
“ใช่แล้ว” คุณย่าของโลกันต์เสริมด้วยรอยยิ้ม “ย่าก็เห็นด้วย ถ้าโลกันต์กับใบม่อนหมั้นกัน มันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก”
ปานตะวันรู้สึกเหมือนถูกตีด้วยคำพูดนั้น เธอหยุดมือที่กำลังถือแก้วน้ำอย่างไม่รู้ตัว หันไปมองโลกันต์อย่างไม่ตั้งใจ
"โลกันต์ว่าไงล่ะ?" คุณย่าถามเสียงนุ่ม แต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
โลกันต์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "ครับ... ถ้าทุกคนเห็นว่าเหมาะสม ผมก็ไม่มีปัญหา"
ใบม่อนยิ้มกว้างออกมาทันที ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความดีใจที่เกินจะเก็บไว้ได้ "โลกันต์พูดแบบนี้ ม่อนก็ดีใจค่ะ"
ปานตะวันที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกล เผลอกำแก้วน้ำในมือแน่นจนเธอไม่ทันระวัง และเสียง เพล้ง! ดังขึ้น แก้วในมือของเธอตกลงพื้นแตกกระจาย ทุกคนหันมามองเธอทันที
“ปานตะวัน!” คุณย่ามองเธอด้วยความไม่พอใจ “ทำไมถึงซุ่มซ่ามแบบนี้?”
“ขอโทษค่ะ... ปานไม่ได้ตั้งใจ” ปานตะวันรีบก้มลงเก็บเศษแก้วด้วยมือที่สั่นเทา
โลกันต์หันมามองเธอเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไป ไม่มีคำพูดใดจากเขา
ความเงียบในห้องเหมือนกดดันปานตะวัน เธอก้มหน้าทำงานของตัวเองโดยไม่กล้าเงยขึ้นมามองใครอีก แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เธอไม่สามารถอธิบายได้
"เขาไม่มีปัญหาอะไรกับการหมั้นหมายงั้นเหรอ?" คำถามนี้สะท้อนอยู่ในหัวเธอ ขณะที่หัวใจของเธอเหมือนถูกบดขยี้จนแทบไม่เหลือชิ้นดี
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”