ในขณะที่กรุงโรมพยายามหว่านล้อมให้เธอยอมตกลงไปทานข้าวกับเขา แต่ดูเหมือนเธอจะกลัวเขาอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนชีวิตเริ่มมีความท้าทาย ผู้หญิงคนแรกที่แสดงท่าทีลังเลที่จะไปกับเขา แตกต่างจากคนอื่นที่เขาเคยพบเจอ
“ยังไงครับ ไปทานข้าวกับพี่สักมื้อได้ไหม?” กรุงโรมถามอีกครั้งด้วยความหวังในใจ
“คือ...ปาน...” เธอพูดไม่ออก เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับโลกันต์อาจทำให้เธอไม่สามารถตอบตกลงได้ และเขาก็เป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งจะเข้ามา คงไม่ดีที่เธอจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ในช่วงเวลาที่กำลังลังเล ปานตะวันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาคนที่เธอกำลังกลัวเดินเข้ามาใกล้
“เกิดอะไรขึ้น?” โลกันต์ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเมื่อเห็นกรุงโรมอยู่ใกล้ปานตะวัน
กรุงโรมหันไปมองโลกันต์ทันที “ไอ้กันต์ มึงมาก็ดีแล้ว กูกำลังจะ......”
“มีอะไรให้คุยมากมายขนาดนั้น?” โลกันต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ในตาของเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่รอให้กรุงโรมพูดจบเขา เขาหันไปมองปานตะวัน
"คุณย่าโทรมาบอกให้เธอรีบกลับบ้าน"
“แต่ปานยังไม่เสร็จ...”
“กลับบ้าน!” โลกันต์พูดเสียงแข็ง เขาจับมือเธอไว้และดึงให้ลุกขึ้น
“..ค่ะ” ปานตะวันตอบอย่างไม่เต็มใจ เธอหันไปมองกรุงโรมที่ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกสับสน พรางมองไปที่โลกันต์ที่กำลังทำสีหน้าขึงขังไม่พอใจ เขาเคยย้ำกับเธอว่าห้ามบอกใคร หรือทำอะไรให้คนอื่นสงสัยว่าเขากับเธอรู้จักกัน แต่ทำไมตอนนี้กลับเป็นเขาเองที่เปิดเผยมัน
กรุงโรมมองตามปานตะวันที่ถูกโลกันต์ดึงออกไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม อะไร ยังไง สองคนนั้นรู้จักกัน?
"มึงรู้จักน้องปานใช่ไหม มึงถึงได้กล้าดึงเธอไปแบบนั้น!" กรุงโรมตะโกนตามหลังก่อนที่ฝีเท้าหนาของโลกันต์จะหยุดลง
โลกันต์ยิ้มเยาะ “รู้จักหรือไม่มันสำคัญตรงไหน?"
"ไอ้กันต์ ที่มึงห้ามไอ้โรมไม่ให้เข้าหาน้องปาน ที่แท้เป็นเพราะมึงกับน้องรู้จักกันใช่ไหม" ยูโรแทรกขึ้น
"ถ้ามึงรู้จักน้องเขา แล้วมึงจะห้ามทำไมวะ ก็เห็นกันอยู่ว่าไอ้โรมมันสนใจ" ใบม่อนเอ่ยเสริมขึ้น เธอมองไปที่มือของโลกันต์เขายังคงจับข้อมือเล็กของปานตะวันเอาไว้อย่างลืมตัว
"ถ้าพวกมึงอยากรู้กูจะบอกให้ก็ได้"
"คุณกันต์!" ปานตะวันตกใจไม่น้อยกับคำพูดของเขา
"ปานตะวันเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านของกู มึงคิดว่าเธอเหมาะสมกับมึงเหรอไอ้โรม” เขายังคงยืนขวางอยู่ข้างปานตะวัน ไม่ได้สนใจอารมณ์ที่แสดงออกมาจากสีหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเด็กรับใช้แล้วยังไงวะ" กรุงโรมพูดอย่างจริงจัง ไม่ได้สนใจสถานะของเธอเลยสักนิด
“เด็กรับใช้ไม่มีสิทธิ์ที่จะชอบหรือคุยกับใครเหรอ?"
"มีสิ เธอจะคบหรือคุยกับใครก็ได้ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ไม่ใช่คนอย่างพวกเรา มันแตกต่างกันเกินไป"
ปานตะวันรู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้าไปในหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดของโลกันต์ เธอพยายามกลั้นน้ำตาและไม่ให้เสียงสั่น
"ไอ้กันต์ ทำไมมึงถึงมองคนแค่เปลือกนอกแบบนี้วะ" กรุงโรมได้แต่มองไปที่ปานตะวัน รู้สึกสงสารเธออย่างยิ่งที่โลกันต์เปิดเผยสถานะของเธอต่อหน้าทุกคน นักศึกษาระแวกนั้นต่างซุบซิบนินทากันปากต่อปาก
“ไม่เป็นไรค่ะ... ปานเข้าใจดี” เสียงของเธอสั่นไม่น้อย เธอพูดออกมาเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
โลกันต์มองปานตะวันด้วยความเย็นชา “ถ้าเธอเข้าใจ ก็กลับบ้านกับฉัน กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
"ค่ะ"
"น้องปาน" กรุงโรมเอ่ยเรียกชื่อเธอ เห็นสีหน้าเธอที่หม่นหมอง ยิ่งรู้สึกสงสารและเห็นใจ
"มึงก็เหมือนกันไอ้โรม ล้มเลิกความคิดที่จะจีบยัยนี่สักที" เขาเปลี่ยนโฟกัสกลับไปที่กรุงโรม โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของปานตะวัน
กรุงโรมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม เขาไม่อยากให้ปานตะวันรู้สึกต่ำต้อยแบบนี้
“แต่ปานตะวันก็มีสิทธิ์ที่จะเลือก ถ้าน้องเขาอยากไปทานข้าวกับกู ก็ไม่มีเหตุผลที่มึงจะต้องห้าม”
โลกันต์ขมวดคิ้ว "มีสิทธิ์ที่จะเลือกงั้นเหรอ? ” เสียงของเขาดูเครียดขึ้น
“เธอเป็นคนรับใช้ และที่ที่เธอควรจะอยู่คือบ้านของกู ควรกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่ไปนั่งทานข้าวเป็นลูกคุณหนูอยู่กับมึง"
ปานตะวันรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน โลกันต์กลับทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่มีค่า ไม่มีแม้แต่ที่ให้เธอยืน
“ปานจะกลับบ้านค่ะ พวกคุณไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” ปานตะวันพูดเสียงแข็งขึ้น แม้จะยังรู้สึกสับสนในใจ เธอจึงหันหลังให้ทั้งสองคน พยายามปัดความรู้สึกที่เจ็บปวดออกไป
“ปาน!” กรุงโรมเรียกเธอ แต่โลกันต์กลับเอ่ยขัดขึ้น
“มึงปล่อยเธอไปเถอะ อย่าทำให้เธอลำบากเพราะมึง”
เมื่อปานตะวันเดินออกไป โลกันต์รู้สึกถึงความสำเร็จที่ทำให้เธอหลีกหนีจากกรุงโรม แต่ในใจเขากลับรู้สึกไม่แน่ใจว่าการพูดแบบนั้นออกไปมันถูกต้องหรือไม่
กรุงโรมยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกถึงความโกรธและความผิดหวังที่เกิดขึ้นในใจ
“ทำไมมึงต้องพูดแรงขนาดนั้นด้วยวะ มึงไม่ใช่คนแบบนี้นิไอ้กันต์"
"นั่นดิ สงสารน้องชิบหาย ดูเหมือนจะร้องไห้ด้วย" ยูโร
"แต่กันต์ก็พูดถูกนะ เด็กรับใช้คู่ควรอะไรจะมารู้จักกับลูกเศรษฐีอย่างพวกเรา" ใบม่อนเอ่ยขึ้น ในใจลึกๆเธอเองก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับปานตะวัน
"ถ้ามึงทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยแบบนี้อีกครั้ง กูจะไม่เป็นเพื่อนกับมึงแล้วนะไอ้กันต์ ไอ้เชี้ยเอ่ย!”
โลกันต์ไม่ได้ตอบอะไร แค่ยืนมองตามหลังปานตะวันที่เดินจากไป ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา หรือครั้งนี้เขาจะทำเกินไปจริงๆ เป็นคนบอกเองแท้ๆว่าให้ปิดบัง แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่เปิดเผยเรื่องราวทุกอย่าง
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”