Masukบ่ายนี้อากาศดูไม่ค่อยดีนัก ท้องฟ้าหม่นหมองมืดครึ้มคล้ายกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามา ไม่ทันไรเสียงฟ้าร้องครืนคำรามลั่นก็ดังขึ้นประกอบความคิด ดารินญารีบกระวีกระวาดเปิดประตูออกมาข้างนอก เก็บเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ตากอยู่บนราวลงในตะกร้าใบใหญ่ แล้วยกมันกลับเข้าไปในบ้านก่อนที่ฝนจะเทลงมาอย่างหวุดหวิด
“ฝนตกอีกแล้วเหรอดา” เสียงทุ้มสั่นเครือนั่นดังขึ้นข้างหลัง ดารินญาที่ยืนกอดอกมองสายฝนอยู่ตรงประตูกระจกแบบบานเลื่อน รีบหันกลับไปมองคนต้นเสียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“พ่อ! ลุกขึ้นมาจากเตียงทำไมคะ” หญิงสาวรีบปราดเข้าไปประคอง พาบิดานั่งลงบนโซฟาตัวยาวด้วยความระมัดระวัง
“พ่อเบื่อ นอนทั้งวัน”
“แต่หมอบอกให้พ่อพักผ่อนมากๆ นะคะ หลังให้คีโมร่างกายต้องพักฟื้นมากกว่าปกติ นี่พ่อหายคลื่นไส้เวียนหัวหรือยังคะ” คนเป็นลูกถามอย่างห่วงใย
เด่นยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาว ดารินญาอายุครบยี่สิบปีไปเมื่อเดือนก่อน ไม่มีงานเลี้ยงวันเกิด ไม่มีเค้กหรือการขอพรพร้อมเป่าเทียน มีเพียงคำอวยพรที่เขามอบให้ลูกสาว ก่อนเข้ารับคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็งที่กว่าจะตรวจพบก็แพร่กระจายไปแล้วหลายจุด
ดารินญาถูกผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ ทอดทิ้งไปตั้งแต่อายุได้เพียงไม่กี่วัน เด่นจึงเป็นทั้งพ่อและแม่ เลี้ยงดูบุตรีมาจนเติบใหญ่ในสภาพชีวิตที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก มีฐานะปานกลาง แต่ก็สุขสบายกันตามอัตภาพ จนกระทั่งตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายนี่แหละ ดารินญาจึงต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย หางานทำเพื่อหวังจะนำเงินมารักษาพ่อ เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เงินที่ได้กลับน้อยนิดจนบางครั้งต้องอดมื้อกินมื้อ
“ดีขึ้นแล้วลูก แล้วนี่ผ้าแห้งดีหรือเปล่า”
“แห้งหมดแล้วค่ะ โชคดีมากเลย คืนนี้ดาจะได้รีดผ้า เตรียมส่งให้ลูกค้าพรุ่งนี้เช้า” หญิงสาวยิ้ม แม้จะเหนื่อยที่ต้องวิ่งวุ่นดูแลพ่อไปพร้อมกับการทำงานซักรีด แต่เธอยอม ขอแค่ให้พ่อแข็งแรงขึ้นและมีชีวิตอยู่เป็นหลักยึดให้เธอต่อไปก็พอ
“เหนื่อยแย่เลยนะดา ไหนจะต้องดูแลพ่อ ไหนจะทำงานอีก” เด่นมองสบกับดวงตากลมโตหวานซึ้งของลูกสาว แม้ใบหน้าจะซีดเซียวดูอิดโรย แต่ดวงตาของดารินญายังคงสุกสกาวสดใสเสมอ
“ไม่เหนื่อยอะไรหรอกค่ะ ดาอายุยังน้อยอยู่ ทำอะไรได้อีกเยอะแยะ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องดูแลพ่อ ดาเต็มใจมาก จะมีลูกสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้ดูแลพ่อแบบนี้”
“เด็กดีของพ่อ” เด่นยิ้ม ยกมือขึ้นโคลงศีรษะลูกสาวเบาๆ
“ถ้าพ่อไม่อยากให้ดาเหนื่อย พ่อต้องกินเยอะๆ พักผ่อนให้มากๆ นะคะ” เธอกำชับแล้วดึงมือซูบผอมของบิดามาแนบแก้ม หมอบอกว่าการรักษาไม่คืบหน้านัก คนป่วยน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ความจริงข้อนี้กรีดหัวใจของเธอจนย่อยยับ ทว่าไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ เธอมีความหวังเสมอ
“พ่อจะพยายามนะ อืม...จริงสิ เย็นนี้ลุงชาติจะมาเยี่ยมพ่อที่บ้าน บอกว่าอยากกินข้าวเย็นด้วยกันสักมื้อ แต่จะเป็นคนซื้อกับข้าวเข้ามาเอง ดาแต่งตัวสวยๆ หน่อยนะลูก” เด่นบอกเรื่องที่เพิ่งนึกขึ้นได้ สายตากวาดมองดวงหน้ารูปไข่ของลูกสาวด้วยความชื่นชม
“ทำไมต้องแต่งตัวสวยด้วยละคะ?” เธอขมวดคิ้วมุ่น
“ชาติชายเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่พ่อมี ลูกก็รู้นี่นา เขามากินข้าวที่บ้านเราทั้งที พ่อก็เลยอยากให้เราสองพ่อลูกดูดีหน่อย ดาช่วยเลือกเสื้อผ้าให้พ่อด้วยนะ เอาที่หล่อๆ เลย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะพ่อ วันนี้พ่อจะต้องหล่อที่สุดแน่นอน” ดารินญายิ้มเต็มใบหน้า มองบิดาที่ดูมีชีวิตชีวากว่าทุกวันด้วยความสุขใจ มีเพื่อนมาหาพ่อบ้างก็ดีเหมือนกัน ท่านจะได้ไม่เหงาอย่างทุกวัน
งานสีดำผ่านพ้นไปแล้วโดยไร้เงาของภูริ ดารินญายังจมอยู่กับความโศกเศร้าไม่จางหาย แม้จะมีเวลาทำใจมาก่อนแล้ว แต่ใครเล่าจะอยากสูญเสียคนที่รักไป แล้วต้องระหกระเหินย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคนอื่นอย่างนี้ ชาติชายกับภรรยาดีต่อเธอมาก จนเธอสัญญากับตัวเองว่าจะตอบแทนและกตัญญูต่อผู้ใหญ่ทั้งสองให้สมกับที่ได้รับความเมตตา คนในบ้านต่างก็ดีและเป็นมิตร เธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านอาภาชนะโชติได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ก็แปลกที่ยังไม่เคยได้พบกับลูกชายคนเดียวของผู้มีพระคุณเลยผู้ชายที่เธอจะต้องแต่งงานกับเขา...ชาติชายบอกเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ว่าการแต่งงานกับภูริจะทำให้ชีวิตของเธอมั่นคง แต่ก็ขอร้องด้วยเช่นกันว่าให้อดทนต่อความดื้อรั้นของชายหนุ่ม เนื่องด้วยเป็นพวกหัวแข็ง ไม่ฟังใคร แล้วก็มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองมาก ได้ยินแบบนั้นดารินญาก็ชักไม่แน่ใจว่าการมีเขาเป็นคู่ชีวิต นั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริงหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความเป็นห่วงของพ่อที่อุตส่าห์ฝากฝังเธอไว้กับเพื่อนรัก เธอจึงบอกตัวเองว่าคงต้องลองสู้ดูสักตั้ง หากไม่เป็นดั่งใจคิด เธอก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวได้ทุกเมื่อ“คุณดาครับ” เสียงของเอกราชดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดารินญา
ราวกับถูกราดรดด้วยน้ำเย็นเฉียบ...ภูริลุกพรวดขึ้นจากโซฟาทันทีที่ได้ยินบิดาเอ่ยจบประโยค แต่งงานอย่างนั้นหรือ!? คนโสดที่กำลังใช้ชีวิตประชดรักเก่าอย่างสนุกสนาน มองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกลายเป็นผู้ชายมีเจ้าของเลยสักนิด เขาหลับนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า มีสุรานารีข้างกายทุกวัน แล้วทำไมเขาจะต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยการมีเมียเดียวด้วยเล่า“จะให้ผมแต่งงานกับใครนะครับ? ลูกสาวของเพื่อนคุณพ่อเหรอ...โธ่! คุณพ่อครับ นี่มันยุคไหนแล้ว ไม่มีใครเขาใช้วิธีคลุมถุงชนกันแล้วนะครับ” ชายหนุ่มทำเสียงยียวน“พ่อแค่ช่วยแกเลือกผู้หญิงดีๆ จะได้เลิกทำตัวสำมะเลเทเมา แล้วกลับมาเป็นผู้เป็นคนขึ้นกว่านี้บ้าง”“คุณพ่อหวังดีกับภูนะลูก หนูดาเธอน่ารัก นิสัยดี เพียบพร้อมทุกอย่าง แม่ว่าถ้าภูลองเปิดใจคบหากับน้อง ภูจะต้องชอบน้องแน่” อัมพิกาสนับสนุนความคิดของชาติชายผู้เป็นสามี ด้วยไม่อยากทนเห็นลูกชายคนเดียวทำตัวไร้หลักอีกแล้ว“นี่คุณแม่ก็เอากับคุณพ่อด้วยเหรอครับ”“อะไรที่มันดีสำหรับภู แม่ก็เห็นด้วยทุกอย่าง”“ถ้าชอบผู้หญิงคนนั้นนัก คุณพ่อก็รับเธอมาเป็นเมียอีกคนสิ ผมว่าคุณแม่คงไม่ถือ เพราะคุณแม่เองก็ดูจะชอบลูกสาวของเพื่อนคุณพ่ออยู่
เสีงเอะอะจากห้องทำงานชั้นล่างของคฤหาสน์อาภาชนะโชติ ดึงให้อัมพิการีบก้าวเท้ายาวๆ เพื่อหวังจะเข้าไปห้ามศึกระหว่างสามีกับลูกชายเพียงคนเดียว ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง เพราะบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้มของภูริผู้เป็นลูกชาย มีเลือดไหลซึมออกจากบาดแผลที่ปริแตกเล็กน้อย เมื่อหันไปมองทางฝ่ายสามี พบว่าเขากำลังโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า สังเกตไม่ยากเลยจากทรวงอกที่หอบสะท้านและมือที่กำแน่นอยู่ข้างตัว“คุณชาติ! นี่ถึงกับต้องทำร้ายลูกเลยหรือคะ”อัมพิกาถามเสียงสั่น ปราดเข้าไปหาลูกชายและย่นจมูกทันทีที่ได้กลิ่นเหล้าโชยมา“ผมไม่ได้ทำ! ลูกชายคุณเมาแล้วล้มไปฟาดกับเหลี่ยมโต๊ะเองต่างหากล่ะ ถึงผมจะโกรธเจ้าภูแค่ไหน แต่ผมไม่มีทางทำร้ายลูกหรอกนะคุณอัม” ชาติชายมองคนที่ยืนแทบไม่อยู่ด้วยสายตาเอือมระอาเกินทน ตั้งแต่ภูริกลับมาเมืองไทย ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่ทำตัวให้ปวดหัว มีเรื่องชกต่อยบ้าง หิ้วผู้หญิงเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้าบ้าง เมาหัวราน้ำบ้าง แต่ละวันทำเอาต้องรับมือจนเหนื่อย อายุสามสิบปีแล้ว ยังทำตัวเหมือนพวกวัยรุ่นสิ้นคิดขาดการอบรมอยู่ได้“โธ่! ตาภู!” อัมพิกาถลันเข้าไปประคองได้ทันพอดี“คุณจัดการต่อแล้วกัน ผมจะไป
บ่ายนี้อากาศดูไม่ค่อยดีนัก ท้องฟ้าหม่นหมองมืดครึ้มคล้ายกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามา ไม่ทันไรเสียงฟ้าร้องครืนคำรามลั่นก็ดังขึ้นประกอบความคิด ดารินญารีบกระวีกระวาดเปิดประตูออกมาข้างนอก เก็บเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ตากอยู่บนราวลงในตะกร้าใบใหญ่ แล้วยกมันกลับเข้าไปในบ้านก่อนที่ฝนจะเทลงมาอย่างหวุดหวิด“ฝนตกอีกแล้วเหรอดา” เสียงทุ้มสั่นเครือนั่นดังขึ้นข้างหลัง ดารินญาที่ยืนกอดอกมองสายฝนอยู่ตรงประตูกระจกแบบบานเลื่อน รีบหันกลับไปมองคนต้นเสียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ“พ่อ! ลุกขึ้นมาจากเตียงทำไมคะ” หญิงสาวรีบปราดเข้าไปประคอง พาบิดานั่งลงบนโซฟาตัวยาวด้วยความระมัดระวัง“พ่อเบื่อ นอนทั้งวัน”“แต่หมอบอกให้พ่อพักผ่อนมากๆ นะคะ หลังให้คีโมร่างกายต้องพักฟื้นมากกว่าปกติ นี่พ่อหายคลื่นไส้เวียนหัวหรือยังคะ” คนเป็นลูกถามอย่างห่วงใยเด่นยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาว ดารินญาอายุครบยี่สิบปีไปเมื่อเดือนก่อน ไม่มีงานเลี้ยงวันเกิด ไม่มีเค้กหรือการขอพรพร้อมเป่าเทียน มีเพียงคำอวยพรที่เขามอบให้ลูกสาว ก่อนเข้ารับคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็งที่กว่าจะตรวจพบก็แพร่กระจายไปแล้วหลายจุดดารินญาถูกผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ ทอดทิ้งไปตั้งแต่
“เป็นอะไรนักหนาฮะ! โดนเอาแค่นี้ทำเหมือนจะเป็นจะตาย ผู้หญิงแรดร่านอย่างเธอน่ะ อีกหลายครั้งก็น่าจะไหวนี่” ภูริจ้องมองคนที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงด้วยสายตาเหยียดหยัน“ฉันเป็นคนนะคะคุณภู ฉัน...ฮึก...ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาที่คุณจะจับรวบแขนถ่างขาข่มขืนได้ตามอำเภอใจ” ดารินญาตัดพ้อเสียงขุ่น เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย หลังจากทำหน้าที่ในคืนเข้าหอไปตามความพอใจของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีครั้งแล้วครั้งเล่า“สมควรแล้วนี่ อยากเป็นเมียฉันนักไม่ใช่เหรอ ก็นี่ไง...หน้าที่ที่คนเป็นเมียต้องทำ โดยเฉพาะเมียที่กล้าเพ้อถึงผู้ชายคนอื่นให้ผัวได้ยิน!” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ แต่ท้ายประโยคตวาดลั่นจนหญิงสาวสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ“ถ้าเกลียดกันนัก เราควรหย่ากันเลยจะดีกว่านะคะ ถึงเราจะเพิ่งจดทะเบียนกันได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม ฉันจะอธิบายทุกอย่างกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณเอง”“หย่าเหรอ? โอ้...ไม่หรอกคนดี ขืนทำแบบนั้น เธอก็ต้องลำบากไปถ่างขาให้ผู้ชายคนอื่นน่ะสิ ลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองทั้งร่านทั้งเห็นแก่เงิน ถ้าไม่มีขุมสมบัติอย่างฉันให้ถลุง คนอย่างเธอก็คงทำได้แค่ขายตัว!”“ก็อาจจะใช่ค่ะ บางทีการเป็นผู้หญิงขายตัว อาจจะมีความสุขกว่าการเป็น







