Masukงานสีดำผ่านพ้นไปแล้วโดยไร้เงาของภูริ ดารินญายังจมอยู่กับความโศกเศร้าไม่จางหาย แม้จะมีเวลาทำใจมาก่อนแล้ว แต่ใครเล่าจะอยากสูญเสียคนที่รักไป แล้วต้องระหกระเหินย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคนอื่นอย่างนี้ ชาติชายกับภรรยาดีต่อเธอมาก จนเธอสัญญากับตัวเองว่าจะตอบแทนและกตัญญูต่อผู้ใหญ่ทั้งสองให้สมกับที่ได้รับความเมตตา คนในบ้านต่างก็ดีและเป็นมิตร เธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านอาภาชนะโชติได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ก็แปลกที่ยังไม่เคยได้พบกับลูกชายคนเดียวของผู้มีพระคุณเลย
ผู้ชายที่เธอจะต้องแต่งงานกับเขา...
ชาติชายบอกเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ว่าการแต่งงานกับภูริจะทำให้ชีวิตของเธอมั่นคง แต่ก็ขอร้องด้วยเช่นกันว่าให้อดทนต่อความดื้อรั้นของชายหนุ่ม เนื่องด้วยเป็นพวกหัวแข็ง ไม่ฟังใคร แล้วก็มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองมาก ได้ยินแบบนั้นดารินญาก็ชักไม่แน่ใจว่าการมีเขาเป็นคู่ชีวิต นั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริงหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความเป็นห่วงของพ่อที่อุตส่าห์ฝากฝังเธอไว้กับเพื่อนรัก เธอจึงบอกตัวเองว่าคงต้องลองสู้ดูสักตั้ง หากไม่เป็นดั่งใจคิด เธอก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวได้ทุกเมื่อ
“คุณดาครับ” เสียงของเอกราชดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดารินญาที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลากลางสวนรีบหันไปมอง แล้วยิ้มหวานให้หนุ่มผู้พี่ ซึ่งอยู่และโตที่นี่ในฐานะลูกชายของลุงปราดกับป้าเพิ้ง สองผัวเมียที่รับใช้ตระกูลอาภาชนะโชติมานานหลายสิบปี “คุณผู้หญิงให้มาตามน่ะครับ บอกว่าใกล้มืดแล้วเดี๋ยวอากาศเย็น เลยอยากให้กลับเข้าไปในบ้านได้แล้ว”
“ดากำลังไปเข้าไปพอดีค่ะพี่เอก”
“โธ่ ผมบอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไงครับ เรียกว่านายเอกดีกว่า” เอกราชครางเบาๆ มองซ้ายแลขวาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า ดารินญาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะว่าที่เจ้าสาวของภูริ เป็นเสมือนคุณหนูคนหนึ่ง ส่วนเขาแค่ลูกคนใช้ จึงคิดว่ามันไม่เหมาะสมนัก หากจะยอมให้เธอเรียกขานด้วยความสนิทสนมแบบนี้
“ทำไมคะ ก็พี่เอกแก่กว่าดาตั้งสิบปี ดาก็เรียกพี่เปิ้ลว่าพี่เหมือนกัน ไม่เห็นพี่เปิ้ลจะว่าอะไรดาเลย” หญิงสาวยิ้ม ปรายตามองอย่างหยอกเย้า
“แต่คนอื่น...”
“จะมองไม่ดี...” เธอแทรกขึ้นอย่างรู้ทัน แล้วส่ายหน้าน้อยๆ “พูดแบบนี้จนดาจำได้ขึ้นใจแล้ว พี่เอกลืมไปแล้วเหรอคะว่าดาเองก็เป็นแค่ผู้หญิงกำพร้า ที่คุณลุงคุณป้ารับอุปการะดูแลเท่านั้น ดาไม่ใช่เจ้านายของพี่ ไม่ใช่คุณหนูของบ้านนี้ ถึงคุณลุงจะหมายมั่นให้ดาเป็นสะใภ้ แต่ดูท่าว่ามันคงไม่ง่าย เพราะอยู่ที่นี่มาเกือบจะยี่สิบวันแล้ว ดายังไม่เคยพบหน้าคุณภูริเลย”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ พี่ เอ๊ย! ผมว่า...”
“ถ้าจะมาแบ่งชนชั้นกันแบบนี้ ดาว่าดาไม่คุยกับพี่เอกดีกว่าค่ะ” ดารินญาชักแง่งอนขึ้นมา ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เอกราชกับปนาลีซึ่งเป็นพี่น้องกันก็ดูแลเธอดีมาก จนเธอมองเห็นพวกเขาเป็นดั่งพี่น้อง แต่ก็น่าอึดอัดใจที่สถานะของเธอทำให้พวกเขาต้องคอยทำท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว มันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย คงดีกว่านี้ถ้าเธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะคนรับใช้เช่นเดียวกันบ้าง
“คุณดา!” เอกราชมองตามคนตัวเล็กที่กำลังจะเดินออกไปจากศาลาอย่างรีบร้อน จึงสะดุดขั้นบันไดเตี้ยๆ และทำท่าจะล้มคะมำไปข้างหน้า เขาเรียกเธอด้วยความตกใจแล้วรีบปรี่เข้าไปคว้าเอวไว้อย่างรวดเร็ว เธออุทานเบาๆ เมื่อจู่ๆ ก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายแบบไม่ได้ตั้งตัว
“ระวังหน่อยสิครับ” เขาบอกเสียงนุ่ม
“ขอบคุณค่ะ” เธอพึมพำ แม้ไม่ได้คิดเกินเลยกับเขา แต่อดที่จะแก้มแดงเรื่อขึ้นมาไม่ได้
เอกราชยิ้มน้อยๆ กวาดสายตามองดวงหน้าสวยหวานนั่นอย่างลืมตัว โชคไม่ดีนักที่วันนี้ภูริตัดสินใจกลับบ้านมา เพราะเงินทองที่มีอยู่ถูกใช้จ่ายไปจนหมดแล้ว รถก็โดนยึด ทรัพย์สินอื่นๆ ก็เช่นกัน แม้แต่บัตรเครดิตทุกใบก็ใช้จนวงเงินเต็มหมดแล้ว ตอนนี้นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่ทิ้งไว้ในบ้านของคู่ขา เขาก็เหลือแต่ตัวเท่านั้น
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสองร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ดวงตาคมปลาบมองอย่างพิจารณา เห็นทันทีว่าผู้ชายหน้าตาดีรูปร่างกำยำคนนั้นคือเอกราช ส่วนผู้หญิงผิวขาวราวกับงาช้างและมีรูปร่างเพรียวบาง ซึ่งสวมชุดเดรสสีครีมอ่อนนั้น กำลังยืนหันหลังให้กับเขา จึงมองไม่ออกว่าเธอเป็นใครกันแน่
‘สงสัยจะเป็นแฟนของไอ้เอก’
ภูริคิดอย่างไม่สนใจนัก เขาไม่ค่อยชอบหน้าเอกราชเท่าไร เหตุผลก็เพราะบิดาชอบชื่นชมมันเสียจนออกหน้าออกตา พูดกรอกหูเขาอยู่เรื่อยว่าแม้มันจะเป็นเพียงลูกคนใช้ แต่ก็ร่ำเรียนจนจบปริญญาและทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นตามอายุงาน การเห็นคนที่ด้อยโอกาสกว่าตัวเองได้ดี ทำให้คนพาลอย่างภูริเกิดความเกลียดชังขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
ชายหนุ่มก้าวอาดๆ เข้าไปในบ้าน การกลับมาครั้งนี้เพราะคิดดีแล้วว่าจะตอบตกลงยอมแต่งงาน หวังจะแลกกับความสุขสบายของตัวเอง ดีเสียอีก...มีผู้หญิงคนหนึ่งไว้ระบายความใคร่ตามต้องการ ไม่ต้องยกย่องเชิดชู ไม่แนะนำให้ใครรู้จัก แค่อยู่ไปวันๆ ในฐานะเมียในหน้าที่ ในเมื่อหวังสบายทางลัดด้วยการยอมถูกคลุมถุงชน เขาก็จะจัดให้ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
ทนไม่ไหวเดี๋ยวก็คืนความโสดให้เขาเอง!
ชาติชายกับอัมพิกามองสบตากัน เมื่อเห็นภูริก้าวเข้ามาในห้องโถง แม้จะถูกตัดงบทางการเงิน แต่ต้องยอมรับว่าลูกชายยังดูแลตัวเองดีมาก เสื้อผ้าและผมเผ้ายังดูดีเสมอ ไม่ต้องเดาเลยว่าคงไปขลุกอยู่กับผู้หญิงสักคนในฮาเร็ม ทว่าเมื่อเงินหมดก็เป็นธรรมดาที่จะต้องบากหน้ากลับบ้านมา
“ภู...” อัมพิกายิ้มเมื่อเห็นบุตรชาย
“กลับมาได้แล้วสินะ หลังจากหายหัวไปเป็นครึ่งเดือน” ชาติชายละสายตาจากข่าวช่วงค่ำ หันมองลูกชายด้วยสายตาเย็นชา “มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า ถ้าไม่มี...ฉันจะได้ขึ้นข้างบน” ร่างท้วมสูงใหญ่ขยับจะลุกจากโซฟา แต่ผู้เป็นลูกชายห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ว่ามาเลย ฉันรอฟังอยู่” ชาติชายนั่งกอดอก
“ผมจะแต่งงาน แต่ขอแค่จดทะเบียนสมรสได้ไหมครับ ผมไม่อยากให้มันเอิกเกริก” ชายหนุ่มเอ่ยถึงประเด็นสำคัญทันที
“นี่แกไม่คิดจะให้เกียรติหนูดาเลยเหรอภู” บิดาถามด้วยสีหน้าเครียดขรึม ก่อนที่จะอกหักกลับมาเมืองไทย ภูริไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ ตอนนี้ลูกชายคนเดียวกำลังกลายเป็นคนที่พ่อแม่ไม่รู้จักไปเสียแล้ว
“คุณคะ...หนูดามาพอดีเลยค่ะ” อัมพิกาแตะแขนสามี พยักพเยิดไปทางด้านหลังของภูริก็เห็นดารินญากำลังเดินยิ้มแก้มปริเข้ามาข้างใน เมื่อหญิงสาวเห็นแผ่นหลังกว้างของคนที่สูงกว่าเธอเกือบยี่สิบเซนติเมตร เธอก็หุบยิ้มฉับและปรับสีหน้าราบเรียบในทันที
ภูริกลอกตาเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาหมุนตัวหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด แม้จะเฝ้าสงสัยมาตลอดก็ตามว่าผู้หญิงใฝ่สูงที่อยากเป็นเมียเขาจนตัวสั่นจะรูปร่างหน้าตาจัดอยู่ในเกรดไหน แต่พอรู้ว่ากำลังจะได้เผชิญหน้ากันตรงๆ เขาก็เกิดความรำคาญใจขึ้นมาเสียดื้อๆ
ชายหนุ่มชะงัก ลมหายใจสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวเล็กบอบบางยืนอยู่ตรงนั้น ดารินญาเป็นผู้หญิงที่มีผิวพรรณขาวผุดผาด ใบหน้ารูปไข่หวานละมุนแบบที่เห็นครั้งแรกก็ตรึงตาตรึงใจ ดวงตากลมโตที่ทอประกายไร้เดียงสาจับจ้องมายังเขา ก่อนจะเสลงมองพื้นเพราะทนการมองแบบจาบจ้วงนั้นไม่ได้
เธอดึงดูดใจกว่าที่คิดไว้มาก...
งานสีดำผ่านพ้นไปแล้วโดยไร้เงาของภูริ ดารินญายังจมอยู่กับความโศกเศร้าไม่จางหาย แม้จะมีเวลาทำใจมาก่อนแล้ว แต่ใครเล่าจะอยากสูญเสียคนที่รักไป แล้วต้องระหกระเหินย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคนอื่นอย่างนี้ ชาติชายกับภรรยาดีต่อเธอมาก จนเธอสัญญากับตัวเองว่าจะตอบแทนและกตัญญูต่อผู้ใหญ่ทั้งสองให้สมกับที่ได้รับความเมตตา คนในบ้านต่างก็ดีและเป็นมิตร เธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านอาภาชนะโชติได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ก็แปลกที่ยังไม่เคยได้พบกับลูกชายคนเดียวของผู้มีพระคุณเลยผู้ชายที่เธอจะต้องแต่งงานกับเขา...ชาติชายบอกเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ว่าการแต่งงานกับภูริจะทำให้ชีวิตของเธอมั่นคง แต่ก็ขอร้องด้วยเช่นกันว่าให้อดทนต่อความดื้อรั้นของชายหนุ่ม เนื่องด้วยเป็นพวกหัวแข็ง ไม่ฟังใคร แล้วก็มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองมาก ได้ยินแบบนั้นดารินญาก็ชักไม่แน่ใจว่าการมีเขาเป็นคู่ชีวิต นั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริงหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความเป็นห่วงของพ่อที่อุตส่าห์ฝากฝังเธอไว้กับเพื่อนรัก เธอจึงบอกตัวเองว่าคงต้องลองสู้ดูสักตั้ง หากไม่เป็นดั่งใจคิด เธอก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวได้ทุกเมื่อ“คุณดาครับ” เสียงของเอกราชดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดารินญา
ราวกับถูกราดรดด้วยน้ำเย็นเฉียบ...ภูริลุกพรวดขึ้นจากโซฟาทันทีที่ได้ยินบิดาเอ่ยจบประโยค แต่งงานอย่างนั้นหรือ!? คนโสดที่กำลังใช้ชีวิตประชดรักเก่าอย่างสนุกสนาน มองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกลายเป็นผู้ชายมีเจ้าของเลยสักนิด เขาหลับนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า มีสุรานารีข้างกายทุกวัน แล้วทำไมเขาจะต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยการมีเมียเดียวด้วยเล่า“จะให้ผมแต่งงานกับใครนะครับ? ลูกสาวของเพื่อนคุณพ่อเหรอ...โธ่! คุณพ่อครับ นี่มันยุคไหนแล้ว ไม่มีใครเขาใช้วิธีคลุมถุงชนกันแล้วนะครับ” ชายหนุ่มทำเสียงยียวน“พ่อแค่ช่วยแกเลือกผู้หญิงดีๆ จะได้เลิกทำตัวสำมะเลเทเมา แล้วกลับมาเป็นผู้เป็นคนขึ้นกว่านี้บ้าง”“คุณพ่อหวังดีกับภูนะลูก หนูดาเธอน่ารัก นิสัยดี เพียบพร้อมทุกอย่าง แม่ว่าถ้าภูลองเปิดใจคบหากับน้อง ภูจะต้องชอบน้องแน่” อัมพิกาสนับสนุนความคิดของชาติชายผู้เป็นสามี ด้วยไม่อยากทนเห็นลูกชายคนเดียวทำตัวไร้หลักอีกแล้ว“นี่คุณแม่ก็เอากับคุณพ่อด้วยเหรอครับ”“อะไรที่มันดีสำหรับภู แม่ก็เห็นด้วยทุกอย่าง”“ถ้าชอบผู้หญิงคนนั้นนัก คุณพ่อก็รับเธอมาเป็นเมียอีกคนสิ ผมว่าคุณแม่คงไม่ถือ เพราะคุณแม่เองก็ดูจะชอบลูกสาวของเพื่อนคุณพ่ออยู่
เสีงเอะอะจากห้องทำงานชั้นล่างของคฤหาสน์อาภาชนะโชติ ดึงให้อัมพิการีบก้าวเท้ายาวๆ เพื่อหวังจะเข้าไปห้ามศึกระหว่างสามีกับลูกชายเพียงคนเดียว ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง เพราะบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้มของภูริผู้เป็นลูกชาย มีเลือดไหลซึมออกจากบาดแผลที่ปริแตกเล็กน้อย เมื่อหันไปมองทางฝ่ายสามี พบว่าเขากำลังโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า สังเกตไม่ยากเลยจากทรวงอกที่หอบสะท้านและมือที่กำแน่นอยู่ข้างตัว“คุณชาติ! นี่ถึงกับต้องทำร้ายลูกเลยหรือคะ”อัมพิกาถามเสียงสั่น ปราดเข้าไปหาลูกชายและย่นจมูกทันทีที่ได้กลิ่นเหล้าโชยมา“ผมไม่ได้ทำ! ลูกชายคุณเมาแล้วล้มไปฟาดกับเหลี่ยมโต๊ะเองต่างหากล่ะ ถึงผมจะโกรธเจ้าภูแค่ไหน แต่ผมไม่มีทางทำร้ายลูกหรอกนะคุณอัม” ชาติชายมองคนที่ยืนแทบไม่อยู่ด้วยสายตาเอือมระอาเกินทน ตั้งแต่ภูริกลับมาเมืองไทย ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่ทำตัวให้ปวดหัว มีเรื่องชกต่อยบ้าง หิ้วผู้หญิงเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้าบ้าง เมาหัวราน้ำบ้าง แต่ละวันทำเอาต้องรับมือจนเหนื่อย อายุสามสิบปีแล้ว ยังทำตัวเหมือนพวกวัยรุ่นสิ้นคิดขาดการอบรมอยู่ได้“โธ่! ตาภู!” อัมพิกาถลันเข้าไปประคองได้ทันพอดี“คุณจัดการต่อแล้วกัน ผมจะไป
บ่ายนี้อากาศดูไม่ค่อยดีนัก ท้องฟ้าหม่นหมองมืดครึ้มคล้ายกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามา ไม่ทันไรเสียงฟ้าร้องครืนคำรามลั่นก็ดังขึ้นประกอบความคิด ดารินญารีบกระวีกระวาดเปิดประตูออกมาข้างนอก เก็บเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ตากอยู่บนราวลงในตะกร้าใบใหญ่ แล้วยกมันกลับเข้าไปในบ้านก่อนที่ฝนจะเทลงมาอย่างหวุดหวิด“ฝนตกอีกแล้วเหรอดา” เสียงทุ้มสั่นเครือนั่นดังขึ้นข้างหลัง ดารินญาที่ยืนกอดอกมองสายฝนอยู่ตรงประตูกระจกแบบบานเลื่อน รีบหันกลับไปมองคนต้นเสียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ“พ่อ! ลุกขึ้นมาจากเตียงทำไมคะ” หญิงสาวรีบปราดเข้าไปประคอง พาบิดานั่งลงบนโซฟาตัวยาวด้วยความระมัดระวัง“พ่อเบื่อ นอนทั้งวัน”“แต่หมอบอกให้พ่อพักผ่อนมากๆ นะคะ หลังให้คีโมร่างกายต้องพักฟื้นมากกว่าปกติ นี่พ่อหายคลื่นไส้เวียนหัวหรือยังคะ” คนเป็นลูกถามอย่างห่วงใยเด่นยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาว ดารินญาอายุครบยี่สิบปีไปเมื่อเดือนก่อน ไม่มีงานเลี้ยงวันเกิด ไม่มีเค้กหรือการขอพรพร้อมเป่าเทียน มีเพียงคำอวยพรที่เขามอบให้ลูกสาว ก่อนเข้ารับคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็งที่กว่าจะตรวจพบก็แพร่กระจายไปแล้วหลายจุดดารินญาถูกผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ ทอดทิ้งไปตั้งแต่
“เป็นอะไรนักหนาฮะ! โดนเอาแค่นี้ทำเหมือนจะเป็นจะตาย ผู้หญิงแรดร่านอย่างเธอน่ะ อีกหลายครั้งก็น่าจะไหวนี่” ภูริจ้องมองคนที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงด้วยสายตาเหยียดหยัน“ฉันเป็นคนนะคะคุณภู ฉัน...ฮึก...ฉันไม่ใช่ตุ๊กตาที่คุณจะจับรวบแขนถ่างขาข่มขืนได้ตามอำเภอใจ” ดารินญาตัดพ้อเสียงขุ่น เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย หลังจากทำหน้าที่ในคืนเข้าหอไปตามความพอใจของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีครั้งแล้วครั้งเล่า“สมควรแล้วนี่ อยากเป็นเมียฉันนักไม่ใช่เหรอ ก็นี่ไง...หน้าที่ที่คนเป็นเมียต้องทำ โดยเฉพาะเมียที่กล้าเพ้อถึงผู้ชายคนอื่นให้ผัวได้ยิน!” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ แต่ท้ายประโยคตวาดลั่นจนหญิงสาวสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ“ถ้าเกลียดกันนัก เราควรหย่ากันเลยจะดีกว่านะคะ ถึงเราจะเพิ่งจดทะเบียนกันได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม ฉันจะอธิบายทุกอย่างกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณเอง”“หย่าเหรอ? โอ้...ไม่หรอกคนดี ขืนทำแบบนั้น เธอก็ต้องลำบากไปถ่างขาให้ผู้ชายคนอื่นน่ะสิ ลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองทั้งร่านทั้งเห็นแก่เงิน ถ้าไม่มีขุมสมบัติอย่างฉันให้ถลุง คนอย่างเธอก็คงทำได้แค่ขายตัว!”“ก็อาจจะใช่ค่ะ บางทีการเป็นผู้หญิงขายตัว อาจจะมีความสุขกว่าการเป็น







