“นุ่นค่ะนุ่นค่ะหนูชื่อนุ่นมากับเจนและก็มากับโบว์”
ท่อนนี้กัญญาภรณ์เป็นคนร้อง เธอสะบัดเอวพลิ้วไหวอย่างสวยงาม ราวกับว่าเป็นนักเต้นมืออาชีพ
“โบว์ค่ะโบว์ค่ะหนูชื่อโบว์มากับนุ่นและก็มากับเจน” เจ้าของท่อนนี้คือชุติมา ก่อนที่ทั้งสามจะร้องเพลงพร้อมกัน เต้นท่วงท่าเหมือนกัน จนกระทั่งจบเพลง
“น้าขอไปดูก่อน” ชุติมาเดินไปหยิบมือถือมาเปิดดูคลิปที่อัดไว้ “โห...เพอร์เฟ็กสุดๆ”
“ไหนๆ ขอดูหน่อย” กัญญาภรณ์มายืนข้างชุติมา ก้มหน้าดูคลิปที่อัดไว้เมื่อครู่ “เพอร์เฟ็กจริงด้วย”
“แม่จ๋า น้อนขนมหิวข้าว” มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เข้าไปดูคลิป เนื่องจากท้องร้องประท้วงหิว กัญญาพัชรมีปัญหาเรื่องออกเสียง ง.งู ซึ่งออกเสียงไม่ได้ คำว่าน้องจึงเป็นคำว่าน้อน เวลาเรียกแทนตัวเสียงที่ออกมาคือ น้อนขนม
“น้าทำไข่พะโล้ไว้ เดี๋ยวน้าไปตักให้นะ” ชุติมาบอกหลาน
“น้อนขนมไปเอากะมังให้ค่ะ” กัญญาพัชรรีบวิ่งเข้าไปในครัว โดยมีชุติมาเดินตามไป เด็กหญิงหยิบชามข้าวใบโตที่ใหญ่กว่าชามปกติและทำจากสแตนเลสที่ตัวเองเรียกว่า กะมังที่ย่อมาจากกะละมังมาวางไว้ใกล้หม้อหุงข้าว
“เมื่อไหร่จะเลิกกินในชามใบนี้สักที รู้ไหมว่ามันใหญ่มาก” ชุติมาถามหลาน
“น้อนขนมชอบ เหมือนไอ้ด่านไงคะ มันก็กินในกะมังใบใหญ่”
คนเป็นน้าส่ายหัวและยิ้มกับคำพูดของหลานสาว เป็นเพราะเธอแท้ๆ กัญญาพัชรถึงได้ยึดชามสแตนเลสใบนี้เป็นชามข้าวประจำตัว วันนั้นเธอนั่งกินข้าวอยู่หน้าบ้านกับหลานสาว ป้ายุ่งข้างบ้านนำข้าวมาให้ไอ้ด่างหมาบ้านฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของบ้านไว้วานให้ป้ายุ่งเอาข้าวมาให้หมาตัวเอง เป็นเพราะเจ้าของบ้านกลับบ้านไม่เป็นเวลาจึงห่วงหมาของตน กัญญาพัชรเมื่อเห็นกะละมังข้าวที่ป้ายุ่งวางไว้ก็พูดตามประสาเด็ก
“ไอ้ด่านกินข้าวเยอะจัง กินชามเบ้อเริ่ม”
“ไอ้ด่างมันกินจุไง กินจุเหมือนขนมน่ะ แต่มันกินทีเดียวใส่กะละมัง ไม่เหมือนขนมที่กินหลายชามก็ต้องตักหลายครั้ง”
“ถ้างั้นน้อนขนมก็กินทีเดียวเหมือนไอ้ด่าน น้ายูจะได้ไม่ต้อนเหนื่อยตักหลายครั้น” พูดจบเด็กหญิงก็วิ่งเข้าไปในบ้านกลับมาพร้อมกับชามสแตนเลสที่เอาไว้สำหรับทำยำ ทำขนมและแช่ผักมาให้ชุติมา “น้ายูเทข้าวใส่กะมังให้น้อนขนมหน่อย”
“ใส่ทำไมคะ” ชุติมาถามหลาน
“น้อนขนมจะกินเหมือนไอ้ด่านค่ะ กินในกะมัง กินจุกินทีเดียว” ชุติมาอมยิ้มกับคำพูดช่างจ้อของหลานสาว และนับตั้งแต่นั้นกัญญาพัชรก็มีชามข้าวประจำตัว
“กินจุแบบนี้ระวังอ้วนนะ อ้วนแล้วไม่สวยนะจะบอกให้”
“น้อนขนมไม่กลัวอ้วน น้อนขนมกลัวอดตาย” เด็กหญิงพูดไปเรื่อย ชุติมาส่ายหัวก่อนส่งชามข้าวให้หลานสาวที่รีบวิ่งไปนั่งกินตรงโต๊ะหน้าทีวี ชุติมามองหลานสาวแล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้หลายรูป ทั้งหน้าตรง ด้านข้างทั้งข้างซ้ายและขวา ยืนยิ้มกับภาพที่อยู่ในมือถือ
“ยืนยิ้มแบบนี้จะส่งไปให้เขาอีกล่ะสิ” กัญญาภรณ์ถามอย่างรู้ทัน
“ก็ใช่น่ะสิ นี่ก็ไม่ได้ส่งให้ดูปีกว่าแล้วนะ กระตุ้นให้นายหัวสิงห์ดิ้นพล่านซะหน่อย สะใจพี่ไม่ใช่เหรอ”
“ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ส่งไปนานแล้ว ป่านนี้คงดูแต่รูปเก่าๆ ส่งไปครั้งนี้เอารูปนี้นะ ไม่ต้องให้เห็นหน้า เห็นแต่ข้างๆ เหมือนครั้งก่อน จะได้ดิ้นเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวก”
ตั้งแต่ส่งไปครั้งแรกตอนกัญญาพัชรได้สามวัน กัญญาภรณ์ได้ส่งภาพลูกสาวไปให้สิงหนาททุกสามเดือน แต่มาห่างตอนลูกสาวได้ขวบกว่า มาส่งให้ดูหน้าลูกสาวอีกครั้งตอนสองขวบสามเดือน จากนั้นอีกสี่เดือนก็ส่งให้ดูอีกหนึ่งภาพ ห่างอีกเจ็ดเดือนก็ส่งอีกภาพหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นก็ไม่ได้ส่งอีกเลย
ทุกครั้งที่กัญญาภรณ์ส่งรูปน้องขนมให้สิงหนาทดู สิงหนาทจะมาบ้านพจน์ทุกครั้งเพื่อถามหาตน ทว่าพจน์ไม่รู้ว่ากัญญาภรณ์อยู่ไหน คุยกันแต่ละครั้งลูกสาวคนโตจะเป็นฝ่ายโทรหาด้วยเบอร์ใหม่ พอคุยเสร็จก็หักซิมทิ้ง ทำอย่างกับว่าไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด หายเข้ากลีบเมฆพร้อมลูกสาวและชุติมา
ความรู้สึกของสิงหนาทตอนนี้เหมือนปลากำลังว่ายอยู่ในคลองเกือบแล้งน้ำ จะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็อยู่แบบทรมาน เห็นหน้าลูกแต่ไม่ได้ชิดใกล้และอุ้มชู มันคือความทรมานอันเจ็บปวด กัญญาภรณ์รู้เรื่องนี้ดี เธอไม่สงสารสิงหนาท กลับสะใจที่เขาเป็นเช่นนี้
คิดพรากลูกไปจากตนเหรอ...ไม่มีทาง
ขณะที่ชุติมากำลังส่งภาพไปให้สิงหนาทด้วยวิธีเดิม คือสร้างแอปโคลนขึ้นมาในมือถือ ก่อนสมัครไลน์ใช้เข้าระบบด้วยเฟสบุ๊กที่สร้างขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ใช้วิธีนี้เขาไม่มีทางสืบหาคนส่งได้ พอส่งเสร็จก็ทำการบล็อกทันที สิงหนาทเปิดอ่านข้อความได้แต่ไม่สามารถโต้ตอบกลับมาจนกว่าชุติมาจะปลดบล็อก ซึ่งชุติมาจะปลดบล็อกก็ต่อเมื่อส่งภาพให้พ่อของน้องขนมดู แล้วที่รู้ว่าสิงหนาทคลั่งยามได้ดูหน้าลูกเป็นเพราะ กัญญาภรณ์มีสายสืบคอยดูความเคลื่อนไหวของสิงหนาท ที่รายงานทั้งเสียงและส่งภาพให้ดู ระหว่างที่ชุติมากำลังส่งภาพให้สิงหนาทดู กัญญาภรณ์เดินมานั่งใกล้บุตรสาวที่กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย พรางนึกถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องที่ทำให้ตนต้องพบเจอกับสิงหนาท
Chapter8 ชุติมามีความคิดว่า หากกัญญาภรณ์เป็นเมียนายหัวสิงห์จริง คงได้ฆ่ากันตายแน่นอน เพราะคนหนึ่งก็ร้าย อีกคนหนึ่งก็ไม่ยอม เธอไม่อยากคิดภาพเลย “ไม่มีทางยอมหรอก ใครจะไปยอมเป็นเมียคนที่ไม่รู้จัก แล้วที่หาเมียไม่ได้จนต้องให้พ่อหาให้ หน้าตาอีตานายหัวสิงห์คงดูไม่ได้ สิวเขรอะเต็มหน้า อ้วนลงพุง ตัวดำแน่ๆ เถ้าแก่เลยใช้วิธีนี้หาเมียให้ลูกตัวเอง”ชุติมาหันมามองหน้ากัญญาภรณ์ เธออยากพูดออกไปเหลือเกินว่า นายหัวสิงห์คนนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวมา ทุกอย่างตรงกันข้าม แต่ก็เลือกจะไม่พูดขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน“ถ้าพี่ยืนกรานว่าไม่ยอมก็ต้องหาเงินหกแสนมาให้เถ้าแก่สันต์วันมะรืนนะพี่” ชุติมาย้ำพูด“เออรู้แล้ว แกจะย้ำทำไมเนี่ย คนยิ่งกลุ้มๆ อยู่”คราวนี้กัญญาภรณ์เหวี่ยงใส่ชุติมา“ฉันไม่ได้ตอกย้ำให้พี่คิดมากหรือกลุ้มใจนะ ฉันเป็นห่วงพี่ เป็นห่วงลุงพจน์ ป้าหยุดแล้วก็แม่ด้วย เพราะทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบกับหนี้ก้อนนี้ทั้งนั้น” ชุติมาให้เหตุผล “ถ้าฉันมีใครให้หยิบยืมเงินหรือว่ากู้ได้ล่ะก็ ฉันทำทันทีเลยพี่ แต่ถ้าเงินสูงขนาดนี้ฉันก็จนปัญญา”ชุติมาก็เหมือนกัญญาภรณ์ ให้ยืมเงินหลักพันหรือหลักหมื่นต้นๆ
Chapter7กัญญาภรณ์กับชุติมาก้าวลงมาจากรถกระบะ ทั้งคู่มาหยุดยืนหน้ารั้วบ้านหลังงามที่ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมีบ้านหรูๆ แพงๆ อย่างนี้หรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของบ้านหลังนี้จะร่ำรวย เพราะรากฐานของต้นตระกูลมั่นคงส่งผลต่อลูกหลานที่พลอยสบายตามไปด้วย ไม่มีใครไม่รู้จักเถ้าแก่สันต์ ผู้กว้างขวางในจังหวัดตรัง กระบี่และภูเก็ต เขาเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง มีคนนับหน้าถือตามาก ขนาดนักการเมืองท้องถิ่นยังต้องนอบน้อม กัญญาภรณ์ไม่รู้จักเถ้าแก่สันต์เป็นการส่วนตัว เคยเจอเพียงแค่สองครั้ง แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของเขามาตั้งแต่เด็ก และไม่คิดว่าวันนี้ตนจะเข้ามาหาคนใหญ่คนโตของจังหวัดด้วยเรื่องหนี้สินของบิดา หนี้ก้อนโตเสียด้วย “สวัสดีค่ะเถ้าแก่สันต์ เถ้าแก่เนี้ย” กัญญาภรณ์พนมมือไหว้เจ้าของบ้าน “นั่งสิ” เถ้าแก่สันต์รับไหว้ ก่อนเชิญให้นั่ง “หนูชื่อแพรค่ะ เป็นลูกพ่อพจน์ ลูกหนี้ของเถ้าแก่ค่ะ”กัญญาภรณ์แนะนำตัว “ฉันรู้แล้วว่าหนูคือใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ตั้งเงื่อนไขให้มาเป็นเมียลูกชายฉันหรอก” สันต์ตอบกลับว่าที่ลูกสะใภ้ที่ตนหมายปองให้สิงหนาท “ว่าแต่หนูมาหาฉันทำ
Chapter6 “ก็กว่าจะรอแกมีเมียเองอีกกี่ปีกว่าจะมีหลานให้ฉันอุ้มอีก ฉันก็แก่ขึ้นไปทุกปี ฉันรอแกอย่างไม่มีกำหนดไม่ได้หรอก แกต้องมีเมียตามที่ฉันบอก แกจะได้มีหลานให้ฉันกับแม่แกเลี้ยง”เถ้าแก่สันต์ไม่เคยบังคับลูกชาย เขาปล่อยให้ทำตามใจอิสระมาตลอด แต่คราวนี้เขารอต่อไปไม่ได้จึงต้องบังคับให้ทำตามความต้องการของตนบ้าง“ไม่ ผมไม่ทำตามที่พ่อบอกแน่นอน ยังไงผมก็ไม่มีเมีย ถ้าเมียคนนั้นผมไม่ได้เป็นคนเลือกเอง”น้ำเสียงสิงหนาทแข็งขึงไม่ต่างกับบิดา ตามองตาอย่างไม่มีใครยอมใคร“สิงห์ลูก ทำเพื่อแม่สักครั้งไม่ได้เหรอลูก แม่ไม่เคยขอร้องอะไรสิงห์เลยนะ ตามใจมาตลอด แต่ครั้งนี้แม่ขอนะลูก แม่อยากมีหลาน แม่อยากเลี้ยงหลาน...ฮือ” ปานวาดที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นบ้าง พูดไปน้ำตาไหลไป สิงหนาทใจอ่อนยวบเมื่อเห็นมารดาร้องไห้ และยิ่งได้ยินคำขอร้องของมารดาด้วยแล้ว เขาใจไม่ดีเอาเสียเลย “แล้วหลานที่แม่อยากได้ก็ต้องเกิดกับผู้หญิงที่พ่อหาให้ด้วย แกก็รู้นี่ว่า ถ้าพ่อไม่เลือกเองผลจะเป็นยังไง”ประโยคนี้เองที่ทำให้สิงหนาทสะอึกไปคำโต“ดูสิดู แม่แกเคยร้องไห้ไหม แต่ต้องมาร้องไห้ขอร้องแกเนี่ยนะ” เถ้าแก่สันต์เห็นเมียร้องไห้ก็โวยใส่
Chapter5“พ่อทำแบบนั้นไม่ได้นะ เดือนหน้าไหมจะแต่งงานแล้ว ทำอย่างนี้ทำร้ายจิตใจไหมมากเลยนะ” กัญญาภรณ์รีบค้านความคิดบิดา“แล้วจะให้ทำยังไง เอ็งก็ไม่ยอมทำตามที่เถ้าแก่บอกก็ต้องให้ไหมไปเป็นเมียนายหัวสิงห์แทน ไม่งั้นเราไม่เหลืออะไรแน่”พจน์กลัดกลุ้มไม่น้อย นึกโทษตัวเองที่ไม่น่าหวังรวยทางลัดและเชื่อคำพูดของป๋าจิตมากเกินไป หลงลมจนตั้งบ่อนขึ้นมา“เรื่องหนี้เจรจาไม่ได้เหรอพ่อ ขอผ่อนผันเขาไปก่อน”ผู้พูดพยายามทำใจเย็นและทำให้ตัวเองมีสติมากที่สุดมีความคิดที่ว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้“ถ้าเจรจาได้จะเรียกเอ็งกลับมาบ้านทำไม ไม่จนปัญญาก็คงไม่กวนเอ็งหรอก” พจน์ทำหน้าเครียดจัด “เถ้าแก่เป็นคนดีมาก ผัดผ่อนให้หลายครั้งแล้ว ให้จ่ายแต่ดอก แต่ที่ต้องยึดเพราะสัญญาระบุไว้ว่า ภายในหนึ่งปีครึ่งถ้าหาเงินต้นมาให้ไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่ดินทั้งหมดจะถูกยึด แล้วก็ถึงกำหนดแล้วด้วย”น้ำเสียงพจน์เศร้าหนักขึ้นไปอีก“พ่อเอ็งก็กลุ้มนะ ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหน ไปหยิบยืมใครจะมีเงินตั้งสิบล้าน พอดีเถ้าแก่เสนอวิธีนี้ แม่ก็เลยเรียกเอ็งกลับบ้านไง” สายหยุดรู้นิสัยลูกสาวคนโตดีว่าดื้อรั้นมากแค่ไหน ไม่ยอมคนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ยิ่งเรื่องที่ให
Chapter4 “หนูไม่เหนื่อย พ่อพูดมาเถอะ” ความอยากรู้มันแน่นอก นอนพักก็คงไม่หลับ “แต่แม่ว่า เอ็งพักก่อนก็ได้นะ” สายหยุดทำเหมือนกับว่ายังไม่อยากพูดเรื่องนี้ตอนนี้ และนั่นยิ่งทำให้กัญญาภรณ์อยากรู้มากขึ้น “พูดมาเถอะแม่ ไม่ว่าจะพูดตอนนี้หรือตอนไหนก็พูดเหมือนกัน” “ลุงกับป้าก็รีบๆ พูดมาเถอะน่า อยากรู้จะแย่อยู่แล้วเนี่ย”ชุติมาพูดขึ้นหลังจากทนไม่ไหว “มันเกี่ยวอะไรกับเอ็งฮะไอ้ยู นี่มันเรื่องในครอบครัวฉันนะ เอ็งกลับบ้านไปได้แล้ว หมดหน้าที่เอ็งแล้ว” พจน์ไล่ตะเพิดชุติมา “ไม่กลับหรอก อยากรู้จนอกจะแตกอยู่แล้ว กลับบ้านไปก็ไม่รู้เรื่องน่ะสิ กลับให้โง่ทำไม” ชุติมาเถียงกลับนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน “เอ็งนี่มันสอดรู้เหมือนแม่เอ็งไม่มีผิด” สายหยุดเป็นพี่สาวสายใจ มารดาของชุติมา “แหม เชื้อมันก็มาเป็นทอดๆ นั่นแหละ อย่างกับป้าไม่ชอบสอดรู้เรื่องคนอื่นงั้นแหละ” เจอย้อนเข้าไปสายหยุดจึงคว้าห่อกระดาษทิชชู่เขวี้ยงใส่ชุติมาที่รับมันไว้อย่างแม่นยำ “ปากเอ็งนี่นะ เอาไม้ตีหัวดีไหมเนี่ย” “เอาน่าแม่ ปล่อยๆ ยูไปเถอะ มาพูดเรื่อง
Chapter3 ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีหกเดือนก่อน ร่างสมส่วนท่าทางทะมัดทะแมงสวมเสื้อยืดสีชมพูอ่อนทับในกางเกงยีนทรงเดฟสวมรองเท้าผ้าใบ เส้นผมยาวดัดเป็นลอนใหญ่ช่วงปลายผมถูกรวบมัดเป็นหางม้าสูงกว่าท้ายทอยเล็กน้อยก้าวลงมาจากรถบขส. เมื่อนำเธอมาถึงท่ารถอย่างปลอดภัย เธอกระชับเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง ก่อนเดินไปยังหน้าสถานีขนส่งระหว่างเดินเสียงมือถือได้ดังขึ้น กัญญาภรณ์ไม่ได้หยุดเดิน เธอก้าวเดินไปด้วยก้มหน้าหยิบมือถือในกระเป๋าสะพายข้าง จึงไม่ทันระวังคนที่วิ่งหน้าตั้งราวกับหนีใครมา ชนตัวเธอมือถือเกือบหลุดมือ ส่วนคนชนล้มลงไปนั่งกับพื้น ก่อนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเผ่น “เฮ้ย! อะไรวะ” กัญญาภรณ์หัวเสียเล็กน้อยที่ไม่ได้รับคำขอโทษจากคนชน วินาทีต่อมาเธอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคนชนจึงไม่มีคำขอโทษให้ “จับมันให้ที มันกระชากสร้อยทองฉัน”เจ้าของเสียเป็นสตรีวัยห้าสิบกว่าปีร้องตะโกนไปด้วยวิ่งไปด้วย ทว่าไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ คนที่ได้ยินเพียงแค่มองดูชายหนุ่มที่บอกว่าเป็นคนร้ายกระชากทองวิ่งผ่านไปเท่านั้น จะมีเพียงคนเดียวที่พร้อมช่วยเหลือ เมื่อได้ยินเสียงพูด กัญญาภรณ์รีบวิ่งตามคนกระชากทองทันท