ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีหกเดือนก่อน
ร่างสมส่วนท่าทางทะมัดทะแมงสวมเสื้อยืดสีชมพูอ่อนทับในกางเกงยีนทรงเดฟสวมรองเท้าผ้าใบ เส้นผมยาวดัดเป็นลอนใหญ่ช่วงปลายผมถูกรวบมัดเป็นหางม้าสูงกว่าท้ายทอยเล็กน้อยก้าวลงมาจากรถบขส. เมื่อนำเธอมาถึงท่ารถอย่างปลอดภัย เธอกระชับเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง ก่อนเดินไปยังหน้าสถานีขนส่ง
ระหว่างเดินเสียงมือถือได้ดังขึ้น กัญญาภรณ์ไม่ได้หยุดเดิน เธอก้าวเดินไปด้วยก้มหน้าหยิบมือถือในกระเป๋าสะพายข้าง จึงไม่ทันระวังคนที่วิ่งหน้าตั้งราวกับหนีใครมา ชนตัวเธอมือถือเกือบหลุดมือ ส่วนคนชนล้มลงไปนั่งกับพื้น ก่อนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเผ่น
“เฮ้ย! อะไรวะ” กัญญาภรณ์หัวเสียเล็กน้อยที่ไม่ได้รับคำขอโทษจากคนชน วินาทีต่อมาเธอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคนชนจึงไม่มีคำขอโทษให้
“จับมันให้ที มันกระชากสร้อยทองฉัน”
เจ้าของเสียเป็นสตรีวัยห้าสิบกว่าปีร้องตะโกนไปด้วยวิ่งไปด้วย ทว่าไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ คนที่ได้ยินเพียงแค่มองดูชายหนุ่มที่บอกว่าเป็นคนร้ายกระชากทองวิ่งผ่านไปเท่านั้น จะมีเพียงคนเดียวที่พร้อมช่วยเหลือ เมื่อได้ยินเสียงพูด กัญญาภรณ์รีบวิ่งตามคนกระชากทองทันที เป็นความโชคดีของเธอที่คนร้ายวิ่งชนคนอื่นจนล้มลง ทำให้เธอวิ่งมาถึงตัวคนร้ายได้ทัน แล้วสิ่งที่คนร้ายเจอคือ
“มีมือมีเท้าไม่ทำมาหากิน อย่างนี้สมควรโดน”
กัญญาภรณ์กระชากคอเสื้อคนร้ายที่กำลังยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนปล่อยหมัดเข้าไปกึ่งปากกึ่งจมูกสองครั้ง คนร้ายเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งก็ไม่ได้ให้สาวหมัดหนักทำร้ายตนฝ่ายเดียว มีปล่อยหมัดและเตะไปที่ขาของกัญญาภรณ์ หมัดพลาดเป้าเนื่องจากเธอหลบทัน แต่การเตะโดนเต็มๆ
“มึงเตะกูเหรอ มึงเจอกูแน่” กัญญาภรณ์โมโห ชกหน้าอีกฝ่ายหนึ่งครั้ง ยกเท้าขึ้นถีบไปตรงท้องของคนร้ายเต็มแรง คนร้ายถอยร่นไปสองสามก้าว กัญญาภรณ์ใช้โอกาสนี้ปล่อยหมัดเสยปลายคางชนิดที่ว่า ครั้งเดียวน็อกกลางอากาศ “ไม่รู้จักอีแพรซะแล้ว”
เหล่าไทยมุงต่างมองวีรกรรมของสาวหน้าหวาน แต่หมัดหนักอย่างทึ่ง ไม่คิดว่าร่างบอบบางจะซัดคนร้ายเสียอยู่หมัด หนึ่งในหลายคนที่มุงดูคือ ชุติมาลูกพี่ลูกน้องของกัญญาภรณ์ที่รีบมายืนข้างพี่สาว
“ขอบคุณมากค่ะน้อง ขอบคุณค่ะ” เจ้าของสร้อยคอกล่าวของคุณกัญญาภรณ์ที่ส่งยิ้มให้ มองดูเด็กหนุ่มที่คิดว่าคงเป็นลูกไปล้วงหยิบสร้อยคอทองคำในกระเป๋ากางเกงของคนร้ายนำมาให้มารดา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานีขนส่งวิ่งมาสมทบเป็นกลุ่มสุดท้าย ช่วยกันรวบตัวคนร้ายไปส่งสถานีตำรวจละแวกนั้น “พี่ขอบคุณน้องอีกครั้งนะคะ น้องเก่งจังเลยค่ะ”
เจ้าของสร้อยหันมาพูดกับกัญญาภรณ์อีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ เห็นแบบนี้ไม่ช่วยไม่ได้ค่ะ” กัญญาภรณ์ตอบกลับ “หนูขอตัวก่อนนะคะ โชคดีนะคะน้า”
“จ้ะ ขอให้หนูโชคดีนะ ขอให้เจอแต่สิ่งดีดี” เจ้าของสร้อยทองอวยพร กัญญาภรณ์ยิ้มให้ก่อนเดินจากไปพร้อมชุติมา
“พี่แพรยังห้าวเหมือนเดิมนะ ซัดมันซะสลบเลย” ชุติมาพูดขึ้น
“ก็มันสมควรโดนไหมล่ะ มีมือมีเท้าแถมยังหนุ่มอยู่แต่ดันไม่ทำมาหากิน ริเป็นขโมยเป็นตัวเหี้ยก็ต้องเจอแบบนี้แหละ”
เหตุผลที่กัญญาภรณ์มีฝีมือทางด้านการต่อสู้เป็นเพราะ กว่าห้าปีที่เธอเป็นบอดี้การ์ดให้ชาวอาหรับผู้ร่ำรวย แต่เมื่อหนึ่งปีหกเดือนก่อนเกิดเหตุหนึ่งขึ้น เมื่อลูกชายเจ้านายพยายามจะข่มเหงเธอ กัญญาภรณ์เลยวางหมัดมวยเข้าใส่จนกรามหัก ม้ามแตกและหัวแตก เจ้านายไม่กล้าเอาเรื่องเพราะรู้จักนิสัยลูกชายดี ส่วนกัญญาภรณ์ไม่ขอทนทำอยู่จึงขอลาออกในวันนั้นและกลับเมืองไทย มาทำงานกับเพื่อนสนิทที่เปิดโรงเรียนสอนการต่อสู้จนมาถึงวันนี้
“รีบไปเถอะพี่ ลุงกับป้ารอพี่อยู่”
“ที่บ้านมีเรื่องอะไร ทำไมต้องเรียกฉันมาด่วนขนาดนี้ ถามใครก็ไม่มีใครตอบสักคน บอกแค่ว่ามาถึงก็รู้เอง” กัญญาภรณ์ยังติดใจเรื่องนี้ไม่หาย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ แต่ละคนเหมือนมีลับลมคมในทั้งนั้น” ชุติมาตอบตามจริง “รีบกลับบ้านดีกว่าพี่แพร ฉันเองก็อยากรู้เหตุผลที่เรียกตัวพี่กลับบ้านเหมือนกัน”
สองสาวพากันเดินไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดอยู่ลานจอดรถหน้าขนส่ง ชุติมาขับรถพากัญญาภรณ์กลับบ้านที่อยู่ห่างจากสถานีขนส่งยี่สิบห้ากิโลเมตร
บ้านกัญญาภรณ์เป็นบ้านไม้สองชั้นเนื้อที่ของบ้านราวๆ สี่สิบตารางวา อยู่ท่ามกลางสวนยางของครอบครัวจำนวนยี่สิบไร่ และที่ดินทำประโยชน์อย่างอื่นอีกสิบไร่ แน่นอนว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากการกรีดยางที่เวลานี้ยางราคาตกต่ำมาก ทำให้ต้องหารายได้จากส่วนอื่นมายังชีพ ความที่มีเนื้อที่เยอะจึงปลูกสัปปะรดเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ยังมีมังคุดที่ให้ผลผลิตปีละหนึ่งครั้งอีกหนึ่งไร่กว่า เมื่อสามปีก่อนพจน์ผู้เป็นบิดาปลูกข้าวแต่ไม่ใช่ไว้ขาย นำข้าวที่ได้ไว้กินทั้งปี ประหยัดเงินค่าข้าวได้มากทีเดียว
“สวัสดีจ้ะพ่อ แม่” เมื่อกัญญาภรณ์มาถึงบ้านก็พบกับบิดามารดานั่งอยู่บนเก้าอี้หวายกลางบ้าน เธอพนมมือไหว้ทั้งคู่ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวายอีกตัว “พ่อกับแม่มีอะไร เรียกหนูกลับมาบ้านด่วนทำไม”
“เอ็งมาเหนื่อยๆ อาบน้ำก่อนดีไหมหรือว่าจะนอนพักเอาแรงก็ได้ พักก่อนเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” พจน์บอกลูกสาว
Chapter76สามพ่อแม่ลูกมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะรับปากดีหรือไม่ ก่อนที่เถ้าแก่สันต์จะเป็นคนพูด“เอาตามนี้ก็ได้”“คุณสิงห์ไปจัดกระเป๋านะคะ แพรจะโทรจองตั๋วเครื่องบินเข้ากรุงเทพให้ แล้วจะจองตั๋วไปฮ่องกงให้ด้วยค่ะ”กัญญาภรณ์บอกสามี ที่พยักหน้ารับรู้แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน หน้าที่จองตั๋วเครื่องบินเป็นหน้าที่ของคนกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งก็แล้วเสร็จภายในสิบนาทียี่สิบนาทีต่อมาสิงหนาทมาหยุดยืนหน้าบ้าน ข้างกายเขาแน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นใด กัญญาภรณ์ที่ตั้งครรภ์ใกล้คลอด เธอส่งยิ้มให้สิงหนาทที่ทำตาละห้อย ทำราวกับว่าไม่อยากจากเธอไป“ฉันไปแค่สองสามวัน แต่ทำไมรู้สึกว่ามันนานเหลือเกินกว่าจะได้เห็นหน้าเธออีก ฉันไม่อยากไปเลยถ้าไม่จำเป็น” สิงหนาทพูดจากใจ กัญญาภรณ์ตีแขนเขาเบาๆ“พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ดีนะคะ อย่าพูดแบบนี้” เธอปราม “แพรรอคุณอยู่ที่นี่ค่ะ ไม่ไปไหน รีบกลับมานะคะ”“อยากจูบเธอก่อนไปจัง” เขาพูดจากใจ“จะบ้าเหรอ ถ้าคุณจูบฉันจริง ฉันต่อยหน้าคุณแน่”กัญญาภรณ์เขิน จุดที่ทั้งคู่ยืนไม่ได้อยู่กันตามลำพัง เถ้าแก่สันต์กับปานวาดก็อยู่ด้วย ส้มฉุนก็ยืนอยู่ตรงท้ายรถ ทว่าคนอย่างสิงหนาทอยากจูบเมียก็ต้องได้จูบ เขาคว้าตัวเธอ
Chapter75ใครพูดอะไรให้ไม่สบายใจ...กัญญาภรณ์อยากตะโกนบอกเขาดังๆ ว่า ก็คุณนั่นแหละ แต่ก็เก็บคำพูดนั้นไว้ พรางนึกถึงประโยคที่เขาคุยกับเพื่อน มันยังฝังอยู่ในหู ดังก้องตลอดเวลาสิงหนาทอยากได้ลูก แต่ไม่ต้องการเธอ...กัญญาภรณ์เชื่อคำพูดของสิงหนาททุกคำ เพราะคิดว่าการสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนทั้งสามมาจากความรู้สึกจริง หากคุยกับคนอื่นคงไม่พูดอย่างนี้แน่ฝันไปเถอะว่าจะได้ลูก ปากหมาอย่างนี้ต้องเจอดีซะบ้าง“ไม่มีอะไรหรอก ฮอร์โมนมันว้าวุ่น” เธอตอบ เขาถึงกับงง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจริงๆ “ฉันง่วงแล้ว อยากนอน”พูดจบก็ดันร่างเขาให้ออกห่าง ก่อนล้มตัวลงนอนดื้อๆ สิงหนาทถึงกับเกาหัวกับอารมณ์แปรปรวนของกัญญาภรณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีตอนนี้แหละที่ปั่นหัวเขาได้ดีทีเดียวสิงหนาทขยับตัวเข้ามาซ้อนด้านหลังกัญญาภรณ์ พาดแขนบนเอวสาว ฝ่ามือใหญ่ลูบท้องนูนใกล้คลอดของเธอเบาๆ ดังเช่นทุกคืน หอมแก้มเธอก่อนนอน ก่อนหลับด้วยท่านี้เช่นราตรีที่ผ่านมากัญญาภรณ์นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืดสลัว ส่วนคนข้างกายเธอนอนหลับสนิทได้ยินเสียงกรนเบาๆ เธอกำลังใช้ความคิดเรื่องที่ตนได้ยินเมื่อเย็นนี้ มันไม่หลุดไปจากความรู้สึกเลย ชีวิตคู่ของเธอกับเ
Chapter74 “ทำไม มึงจะทำอะไรตอนนั้น” กรรชัยรีบถาม “กูก็เอาลูกไว้ แล้วเฉดหัวแพรออกจากบ้านไงล่ะ ใครจะอยากมีเมียแบบนี้วะ ห้าวก็ห้าว ไม่มีความเป็นผู้หญิงเอาซะเลย กูทนมาได้หลายเดือนถือว่ากูเก่งแล้วนะ ถ้าให้ทนตลอดชีวิต กูบาย”สิงหนาทพูดไม่ทันคิด เขาคิดว่าพูดในกลุ่มเพื่อนเอาฮา ทว่าคนที่แอบได้ยินคำพูดของสิงหนาทกับเพื่อนทุกคำอย่างกัญญาภรณ์ไม่ฮาไปด้วย น้ำตาเธอหยดไหลลงมาทันใด มือที่ถือจานผลไม้สั่นจนเกือบทำจานหล่น เธอรีบเดินหนีห่างประตูตรงระเบียงทันที เพราะไม่อาจข่มใจ ข่มอารมณ์และความรู้สึกตอนนี้ได้ หัวใจเธออาบไปด้วยความเสียใจกับคำพูดไม่ทันคิดของสิงหนาท ซึ่งเธอคิดว่า เขาคงรู้สึกตามที่พูดออกมาจริง“กูจะคอยดูว่ามึงจะทำตามที่พูดได้ไหม แต่กูบอกตอนนี้เลยว่า ไม่” ณรงค์เดชดักคอเพื่อนอย่างรู้นิสัย “มึงอย่าพูดแบบนี้อีกนะ พวกกูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไงกับแพร พวกกูสามคนได้ยินไม่เท่าไหร่หรอกก็แค่ฮา แต่ถ้าคนอื่นมาได้ยินมันจะขำไม่ออกนะ โดยเฉพาะแพร”“กูรู้หรอกน่า กูก็พูดกับพวกมึงนี่แหละ ขืนพูดให้แพรได้ยิน แพรเสียใจแน่ พาลโกรธกูอีก” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เพื่อนทั้งสามพากันงง“แล้วมึงจะไปไหน” ธรรมศักดิ์
Chapter73 เก้าเดือนต่อมา ทุกอย่างเป็นไปตามเถ้าแก่สันต์ต้องการ อริยะกับพวกไม่ยุ่งกับกัญญาภรณ์อีกเลย ไม่มีแผนชั่วใดๆ ทั้งสิ้น พรรณนาราก็เหมือนกับหายไปจากชีวิตสิงหนาท เธอโทรมาสิงหนาทในวันต่อมาเพื่อบอกว่า จะเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อทำงานให้กับอริยะ หลังจากวางสายสิงหนาทไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เธอต้องไกลห่าง เขารู้สึกโล่งใจสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ความสัมพันธ์ระหว่างสิงหนาทกับกัญญาภรณ์ก็ราบรื่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสิงหนาทเอาใจคนท้องเก่งมาก ทำอาหารให้กินทุกวัน อยากกินอะไรจัดให้ทุกอย่าง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่งและเวียดนาม แต่ที่ขาดไม่ได้คือ เมนูที่ทำจากปลาร้า เธอกินไม่เบื่อแล้วคิดว่าคงกินไปจนกว่าจะคลอดไม่เพียงแค่นี้สิงหนาทยังทาครีมบำรุงผิวสำหรับสาวตั้งครรภ์เพื่อไม่ให้ท้องลายทุกเช้าและก่อนนอน จัดเตรียมแคลเซียมแบบเม็ดฟู่ให้เธอกินทุกวัน บีบนวดให้ทุกครั้งที่เธอบ่นว่าปวดเมื่อย ยิ่งตอนนี้ใกล้คลอดเข้าไปทุกขณะ สิงหนาทเป็นหมอนวดประจำตัวเธอ ทั้งเช้าสายบ่ายเย็นและก่อนนอน พาไปหาหมอตามกำหนดไม่ขาด และอีกหนึ่งอย่างที่ทั้งคู่ทำพร้อมกันคือ ออกกำลังกาย ส
Chapter72อริยะเอ่ยขึ้นอย่างคนจนมุม มองชายสูงวัยที่มีอำนาจมากกว่าตนอย่างกริ่งเกรง “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่คุณทุกคนอย่ายุ่งกับแพร ลูกสะใภ้ของผมอีก ถ้าแพรกับหลานของผมเป็นอะไรไป ผมจะโทษพวกคุณแล้วจะสั่งสอนให้พวกคุณรู้ว่า ใครแตะแพร...มันต้องไม่ตายดี” เถ้าแก่สันต์เสียงเย็นเยียบทว่าหนักแน่น แววตาจริงจังจนคนฟังรับรู้ได้ว่า เขาเอาจริง “ส่วนเธอ...ปริม เธอต้องเลิกติดต่อกับสิงห์อย่างถาวร ห้ามติดต่อกันทุกทาง แล้วไปให้ไกลจากสิงห์ ถ้าฉันรู้ว่าเธอไม่ทำตามที่ฉันบอก เตรียมตัวไปเยี่ยมพ่อเธอที่คุกได้เลย ฉันไม่ปล่อย ไม่ช่วยเหมือนครั้งก่อนแน่ แต่จะกระทืบให้จมดิน” เป็นอีกครั้งที่พรรณนาราถูกเถ้าแก่สันต์บีบคั้น บีบให้ทำในเรื่องที่ไม่อยากทำ ทว่าก็ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทำ ความชั่ว ความเลวที่ประดิษฐ์ทำไว้ก็จะถูกเปิดเผย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ชะตาชีวิตของประดิษฐ์จะเป็นเช่นไร รวมถึงอนาคตทางการเมืองของอริยะก็ต้องดับวูบลง เลิกล้มความตั้งใจทำเรื่องดังกล่าว เพื่องานใหญ่และเงินจำนวนมากที่จะเข้ากระเป๋าดีกว่า “ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าเถ้าแก่จะไม่ผิดคำพูด” อริยะถาม “ผมบอก
Chapter71“ถ้ามึงไม่อยากตายก็อยู่แต่ในห้อง อย่าคิดหนีไปไหน จะมีคนเอาข้าวเอาน้ำมาให้กินสามมื้อ รอจนกว่าเถ้าแก่สันต์จะจัดการเรื่องนี้เสร็จ มึงสองตัวก็จะไปจากที่นี่ได้ แต่ถ้ามึงคิดหนี กูไม่รับรองความปลอดภัยมึงนะ”สุชาติย้ำบอกโย่งกับดำ ที่พร้อมทำตามอย่างคนกลัวตาย เมื่อจัดการทางนี้เรียบร้อย สุชาติเดินไปนั่งรถยนต์คันเดียวกับเถ้าแก่สันต์ ก่อนที่เขาจะขับรถพาเถ้าแก่สันต์กลับบ้านงานวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว งานวันพรุ่งนี้คืองานใหญ่ที่เถ้าแก่สันต์ต้องรีบเร่งจัดการ ก่อนที่พวกนั้นจะคิดแผนชั่วทำลายทายาทตัวน้อยๆ ในท้องกัญญาภรณ์ทำใครทำได้ แต่อย่าคิดทำลูกสะใภ้ของเถ้าแก่สันต์...ใครคิดแตะ...ตายอริยะทำหน้าแปลกใจและตกใจเมื่อรู้จากลูกน้องว่า เถ้าแก่สันต์มาหาถึงบ้าน เขามองหน้าประดิษฐ์ พี่ชายที่มาค้างบ้านตนตั้งแต่เมื่อวาน สงสัยว่าเถ้าแก่สันต์มาหาตนทำไม “หรือว่ามันจะรู้เรื่องเมื่อวานนี้” ประดิษฐ์คาดเดา “คงไม่รู้หรอก ไอ้สองตัวมันทำงานกับฉันมานาน มันรู้ดีว่าต้องทำยังไง อีกอย่างมันหนีออกจากโรงบาลตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ป่านนี้ไปไกลแล้วมั้ง”อริยะได้ข่าวมาว่า โย่งกับดำสองลูกน้องที่ให้ไปทำงานเมื่อวาน