อัศราและกฤติกาไปถึงโรงแรมที่ใช้เป็นที่สัมมนาในตัวเมืองเชียงใหม่บ่ายวันรุ่งขึ้น การประชุมจะเริ่มในวันต่อไป ก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องพักเจ้านายหนุ่มบอกเธอว่า
“ผมต้องไปธุระ เย็นนี้ลูกไก่หาอะไรทานเลยนะจะลงไปข้างล่างหรือสั่งมาข้างบนก็ได้ลงบัญชีได้เลยเดี๋ยวผมมาเคลียร์เอง หรือว่าอยากทานอะไรพิเศษเก็บบิลไว้เบิกได้”
ท่าทางเขารีบร้อนจนเธอไม่กล้าถามมาก กฤติกาได้แต่รับปากแล้วมองตามอัศราที่แยกเข้าห้องพักตัวเองไป
คืนนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับที่ทางสมาคมฯ จัดไว้ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนลงไปร่วมสังสรรค์ได้ กฤติกาแต่งตัวด้วยชุดเดรสแบบกึ่งทางการลงไปร่วมงาน จุดประสงค์ของเธอเพียงแค่ต้องการลงไปหาอะไรทานและตั้งใจจะรีบกลับขึ้นห้องมาพักผ่อน
“ลูกไก่ทางนี้” ญาณินโบกมือเรียกเพื่อน เธอมาในฐานะตัวแทนบริษัทของบิดามารดาจึงได้พบกันโดยบังเอิญ
กฤติกาเดินเร็วๆ มาหาเพื่อน เธออุ่นใจขึ้นที่พบญาณินในงาน
“โชคดีจังที่เจอนิน เรานึกว่าจะไม่เจอใคร”
“มีโต๊ะนั่งรึยังลูกไก่ นั่งกับเราไหมเราก็มาคนเดียว” ญาณินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
สองสาวพากันไปตักอาหาร ในงานจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์เมื่อได้อาหารพอแล้วจึงพากันกลับมานั่งคุยกันที่โต๊ะ พวกเธอแทบไม่ได้สนใจใครในงาน จนกระทั่งพิธีกรในงานพูดขึ้นว่า
“ขอเชิญคุณสมิติประธานบริษัทเอสเอ็มคอนสตรัคชั่นขึ้นมากล่าวเปิดงานด้วยครับ”
กฤติกาหันขวับไปมองเธอไม่คิดว่าจะเจอสมิติที่นี่ เขาดูสูงสง่าในชุดสูททางการ แสงไฟจับที่ร่างเขาจนดูเหมือนออร่าเปล่งประกาย สมิติคนที่อยู่บนเวทีไม่เหมือนคนที่เคยอยู่กับเธอมาหลายปี และยิ่งดูห่างไกลตอกย้ำคำว่าคนละชั้นให้เธอรู้สึก
“เฮียหมิงนี่ วันนี้หล่อจัง”
เสียงญาณินทำให้เธอหันมามอง เพื่อนสาวจึงพูดต่อ
“เฮียหมิงเป็นชื่อที่เพื่อนๆ รุ่นน้องของเขาเรียกน่ะ เพื่อนในคลาสป.โทของเราเป็นรุ่นน้องของเขา” ญาณินพูดตามที่รู้มาเธอเองก็เคยพบสมิติแค่ผ่านๆ ตามงานสังคม แต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัว เธอรู้แต่ว่าเขาสนิทกับชานนท์ลูกชายเพื่อนแม่และเป็นเพื่อนในคลาสเดียวกับเธอ
กฤติกาหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า
“แล้วเรียนป.โทสนุกไหม เผื่อฉันอยากไปเรียนมั่ง” เธอเปลี่ยนเรื่องคุยกับเพื่อนสาว
“ฮื่อ ไปสิถ้าลูกไก่ไปเรียนต้องได้เกียรตินิยมแน่ๆ เรารับรอง” ญาณินกระตือรือร้น หากชวนกฤติกาไปเรียนได้ถึงจะคนละปีการศึกษาแต่ก็ยังดี เผื่อมีโอกาสเจอกันบ้างที่คณะ
เธอทั้งสองคนคุยกันจนอิ่มจึงชวนกันแยกย้าย ญาณินถูกผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งเรียกคุย กฤติกาจึงขอตัวขึ้นห้องพักเธอกำลังจะเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง แต่หางตาเห็นร่างชายหญิงคู่หนึ่งคุยกันอยู่ในมุมอับสายตา ท่าทางเหมือนกำลังโอบกอด กฤติกาไม่อยากเสียมารยาทแต่เธอหันหน้ากลับไม่ทัน
หญิงสาวตัวแข็งเมื่อเห็นว่าคนคู่นั้นคือสมิติกับหญิงสาวสวยจัดคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการ กฤติกาจำได้ว่าเธอเป็นประธานบริษัทหนึ่งในเครือของเอสเอ็มกรุ๊ปนั่นเอง
สมิติและเธอคนนั้นหันมาเห็นเธอ เขาทำหน้าตกใจแต่กฤติกาพึมพำขอโทษก่อนจะรีบเดินเร็วจนกลายเป็นวิ่งมากดลิฟท์ขึ้นห้องพัก
เมื่อเข้าห้องได้หญิงสาวกดล็อกห้องและใส่กลอนยืนพิงหลังบานประตู น้ำตาไหลรินช้าๆ เธอถามตัวเองว่าร้องไห้ทำไม
เพราะเธอไม่ใช่คนสำคัญอีกแล้ว หรือว่าเยื่อใยที่เคยคิดว่ายังมีเหลือมันถูกหั่นจนขาดสะบั้นไปหมดแล้วจริงๆ
เธอไม่รู้ว่าด้านหน้าห้อง สมิติยืนอยู่ตรงนั้นเขากำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่สุดท้ายเขาเปลี่ยนใจเดินกลับไปตามทางที่เดินมาเงียบๆ
#############
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งกฤติกาและอัศราต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนแทบไม่ได้คุยกัน กฤติกาบังคับตัวเองให้สนใจอยู่กับเนื้อหาการสัมมนา ส่วนอัศราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ได้เขาได้รู้เมื่อวานบ่าย
ในตอนเช้าวานนี้ตอนที่เขาไปรับกฤติกาที่บ้านเพื่อมาสนามบิน ในช่วงที่รอเธอลงมาจากชั้นบนเขาพบเกศราที่กำลังทำข้าวบดให้น้องเชอรี่ ชายหนุ่มจึงทดสอบเธอด้วยการเอาสร้อยทองเส้นนั้นให้เธอดู มันมีจี้พระจันทร์ติดอยู่เขาแกล้งถามว่าหากซื้อสร้อยนี้เป็นของขวัญให้น้องสาว ผู้หญิงสาวๆ จะชอบไหม
ชายหนุ่มเห็นเกศราหน้าถอดสีเมื่อเห็นสร้อยเส้นนั้น เขาจึงแน่ใจว่าเธอจำได้ว่าเป็นของตัวเองที่ทำตกไว้บนที่นอน เมื่อมาถึงเชียงใหม่ส่งกฤติกาเข้าที่พักแล้ว อัศราขับรถที่เช่ามาไปลำปาง เขาตรงไปที่ร้านเหล้าที่เขาไปมาเมื่อปีก่อน เค้นเจ้าของร้านให้ตามเด็กเชียร์เบียร์คนนั้นมาพบเขาให้ได้ จนได้คำตอบจากเพื่อนของเกศราว่าคนที่อยู่กับเขาในคืนนั้นคือน้องสาวของกฤติกาจริงๆ และเขามั่นใจมากว่าน้องเชอรี่คือลูกสาวของเขาเอง
เพื่อนของเกศราสารภาพสิ้นว่าเกศราไม่ได้รับงานพิเศษ เธอแค่มาทำงานแทนคนที่ขาดตามคำเกลี้ยกล่อมของเพื่อนและเจ้าของร้าน และเจ้เจ้าของร้านรับสารภาพว่าไม่ได้เอาค่าตัวแบ่งให้เด็กสาวเลย เงินสองหมื่นที่เขาจ่ายเจ้าของร้านเอาไปแบ่งกับเพื่อนของเธอคนละครึ่ง
อัศรายอมรับว่าโมโหแต่เขาไม่รู้จะเอาผิดพวกนี้ได้อย่างไร เพราะคนที่ผิดที่สุดในเหตุการณ์นี้คือตัวเขาเอง
ชายหนุ่มไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ไม่รู้จะบอกพ่อแม่ตัวเองอย่างไรว่าไปทำเด็กสาวคนนึงท้องและเธอต้องเผชิญปัญหาต่างๆ มากับครอบครัวของเธอเอง โดยที่เขาไม่ได้มีส่วนดูแลอะไรเลย
เขาเองที่เป็นคนทำลายอนาคตของเกศรา เด็กสาวอายุสิบเก้าที่กำลังเรียนปวส.ปีที่สองต้องลาออกกลางคันเพื่อมาอุ้มท้องลูกของเขา ความรู้สึกผิดนี้ทำให้เขาแทบไม่กล้ามองหน้ากฤติกาเต็มตา
เย็นนั้นเมื่อทานอาหารแล้วกฤติกาตัดสินใจบอกอัศราว่า
“นายคะไก่รู้สึกไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ ถ้าจะขอกลับกรุงเทพฯ ก่อนจะเป็นไรไหมคะ”
เขามองหน้าเธอก่อนจะพูดว่า
“ไม่ว่าหรอก ผมก็อยากกลับเหมือนกันเอกสารการประชุมเราได้แล้ว ไปอ่านเองทีหลังก็คงได้”
อัศรายอมเสียเงินทิ้งค่าตั๋วขากลับที่จองไว้ก่อนหน้านี้และจองตั๋วใหม่ในเที่ยวบินพรุ่งนี้เช้า เมื่อถึงตอนเช้าทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างอยู่ในความเงียบ เมื่อถึงดอนเมืองหญิงสาวขอแยกตัวกลับบ้านเงียบๆ ตามลำพังและเธอต้องช็อกซ้ำสองเมื่อเกศราตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังในเย็นวันนั้น
เธอมองน้องสาวที่ร้องไห้เงียบๆ เมื่อพูดถึงเหตุการณ์คืนนั้นอีกครั้ง
“ทำไมหน่อยไม่บอกพี่เราจะได้หาทางแก้ไข” เธอพลอยร้องไห้ไปกับน้องด้วย กฤติกาไม่คิดว่าสิ่งที่น้องเจอมามันเลวร้ายถึงขั้นนั้น เธอเคยเข้าใจแค่ว่าเกศราอาจจะมีความรักในวัยเรียนที่ไม่ได้จริงจังต่อกัน แต่ไม่ใช่การเข้าไปเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์แบบนี้และลูกค้าคนนั้นก็คือเจ้านายของเธอเอง
“หน่อยไม่แน่ใจ หน่อยไม่มีหลักฐานอะไรว่าเป็นเขา แต่พอเห็นสร้อยเส้นนั้นที่พี่ซื้อให้หน่อยก็เลยแน่ใจ” เกศราทั้งกลัวทั้งกังวล เธอกลัวว่าอัศราอาจจะมาแย่งลูกไปจากเธอ
“ถ้าเราไม่ยอมรับเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเราไม่ยินยอมให้ตรวจดีเอ็นเอเขาก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์ทำอะไร เด็กนอกสมรสเป็นสิทธิ์ของแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์” กฤติกาพูดดวงตาเธอวาวโรจน์ ทำไมผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายที่เสียใจอยู่ร่ำไปเธอจับมือน้องสาวไว้
“ไม่เป็นไรนะหน่อยไม่ต้องกลัว พี่จะลาออกจากงานจะขายบ้านหลังนี้ เราจะย้ายบ้านกัน”
วันรุ่งขึ้นเธอเห็นสมิติเจริญอาหารเป็นพิเศษ“เมื่อวานพี่เห็นไก่ซื้อขนมมาใช่ไหม ยังมีอยู่รึเปล่า” “ขนมเหรอคะ ขนมไทยนะคะพี่จะทานเหรอ” กฤติกาไม่เคยเห็นเขาชอบของหวานเลยสักครั้ง“อืม อยากกินน่ะยังมีอยู่รึเปล่า” สมิติตอบหญิงสาวจึงเปิดตู้เย็นดูขนมที่ว่า“มีค่ะเป็นทองหยิบกับฝอยทองนะคะ” เธอซื้อมาจัดชุดถวายข้าวพระพุทธ จึงมีเหลือในกล่องไม่มากเธอนำมันมาจัดจานไปใส่คนที่นั่งรอ“อร่อย” สมิติจิ้มทองหยิบใส่ปากสีหน้าดูชื่นอกชื่นใจ ส่วนกฤติกาทำหน้าแหยง“มันหวานมากเลยนะคะ พี่หมิงว่าพอดีเหรอ” สมิติหันมาพยักหน้า ทำสีหน้าจริงจัง“พอดี ไม่เห็นหวานไปเลยจ้ะ เอาอีกนะอันนี้ไก่ซื้อร้านไหนมา”“ร้านหน้าคอนโดนี่เองค่ะ พี่หมิงไม่สบายรึเปล่าคะ” เธอมองเขาอย่างกังวล พักนี้รู้สึกว่าเขาไม่ปกติหลายๆ อย่าง เหมือนผีเด็กเข้าสิงแต่เธอแน่ใจว่าแถวนี้ไม่มีใครเลี้ยงกุมาร“ไม่นี่ พี่ปกติ” สมิติตอบ เขาไม่รู้สึกว่าเขาเป็นอะไรภรรยาคิดมากไปเองหญิงสาวป้อนโจ๊กให้น้องแมทจนหมดถ้วย 'กินเก่งทั้งพ่อทั้งลูก' เธอคิดในใจ กฤติกาลุกขึ้นจะเข้าไปในครัวแต่ก็ต้องเซเมื่อเธอรู้สึกเหมือนจะเป็นลม“ไก่..” สมิติเรียกเสียงดัง เขารีบมาป
“พี่หมิงคะ ลูกร้อง” กฤติกาตะโกนบอกสามี เด็กชายกรกันต์หรือน้องแมทวัยแปดเดือน กำลังแผดเสียงร้องจ้าเมื่อตื่นมาไม่พบใครในห้อง“จ้า พี่ไปเดี๋ยวนี้ละ” สมิติรีบวิ่งออกจากห้องน้ำไปดูลูกชาย ส่วนกฤติกากำลังเคี่ยวข้าวผักห้าสีให้ลูกในครัว“โอ๋.. ไม่ร้องนะครับ พ่อเปลี่ยนเพิสให้นะลูก” ชายหนุ่มเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จให้ลูกชายอย่างคล่องแคล่วเพราะทำมาตั้งแต่น้องแมทเกิด พ่อลูกอ่อนอุ้มลูกชายมาไว้ในคอก ตอนนี้น้องแมทคลานได้คล่องแล้ว บางครั้งไปไวมากจนพ่อแม่จับไม่ทัน“มาแล้ว” กฤติกายกถ้วยข้าวบดมาให้ลูก เธอคนๆ วางทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้คลายความร้อนลง“มาค่ะน้องแมท” เธออุ้มเด็กชายขึ้นจากคอกมานั่งที่เก้าหัดกินข้าวของเด็ก หญิงสาวหัดให้ลูกชายนั่งได้เองเพื่อที่ว่าเวลาไปไหนจะได้ไม่ต้องคอยอุ้มตลอดเวลา“พี่หมิงหิวหรือยังคะ” เธอหันไปถามสามี “หิวจ้ะ แต่ไม่รู้อยากกินอะไร” สมิติทำท่าเพลีย “นอนน้อยรึเปล่าคะ มีไข้ไหม” หญิงสาวลุกมาหาเขาเธอใช้มืออังหน้าผากพบว่าเขาตัวเย็น “พี่ไม่เป็นอะไรหรอก” สมิติจับมือเธอไว้ “คืนนี้ไม่ต้องลุกมาดูแมทนะคะ ไก่จัดการเอง” เธอเริ่มฝึกให้ลูกเลิกมื้อดึกและนอนยาวแล้วตามที่คุยกับค
สมิติไม่ทำอะไรเธอตามที่เขาพูดจริง แต่ชายหนุ่มถือโอกาสช่วงที่รอแผลเธอหายช้ำสร้างความคุ้นเคยให้เธอด้วยการสัมผัสแตะต้อง โอบบ้าง กอดบ้างจนกฤติกาเริ่มชินเช้าวันอาทิตย์เขาออกไปข้างนอกและกลับมาทานข้าวเย็นกับเธอ พบว่ากฤติกาไม่ได้ออกไปไหนเลย“ออกไปเดินเล่นบ้างก็ได้นะไก่” “ไม่เป็นไรค่ะ ไก่อยากพักพรุ่งนี้ต้องไปมหาวิทยาลัย” สมิติพยักหน้าเข้าใจ เขาขยับตัวลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับที่พัก “งั้นไก่พักพี่จะกลับก่อน เช้าวันอังคารเจอกันพี่จะมารับไปลำปาง” “ค่ะ” ###############สมิติพาเธอไปจัดการธุระเรื่องบ้านที่ลำปางในเช้าวันอังคาร โดยที่เขาไปคุยกับเจ้าหนี้ให้เองและนำโฉนดบ้านกลับคืนมา จากนั้นเขาปล่อยให้กฤติกาเข้าบ้านไปหาน้องๆ หญิงสาวซื้อของจำเป็นเข้าบ้านจำนวนหนึ่งพอใช้ไปนาน และซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ไว้ให้น้อง ๆ โทรหาตนเอง ไม่ต้องยืมโทรศัพท์เพื่อนบ้านใช้อีกทั้งคู่กลับมาถึงกรุงเทพฯ ในตอนเที่ยงคืน สมิติขึ้นมาบนห้องด้วยเขาวางของลงบนโต๊ะ ขณะที่บอกเธอให้ไปอาบน้ำกฤติกาออกมาจากห้องน้ำ ไฟในห้องนอนถูกปิดแล้วเหลือไฟเล็กหัวเตียงเท่านั้น สมิตินอนบนเตียงอยู่ในชุดนอนเขาคงไปใช้ห้องน้ำด้านนอก“พี่จะ
“พี่ว่าอะไรนะ” สมิติทวนคำหลังจากที่พีรพัทย์โทรหาเขา “ก็อย่างที่บอกไป เดียโทรมาปรึกษากูว่าเพื่อนเขาจำเป็นต้องใช้เงินแสนสองภายในสามวัน กูพอจะมีเพื่อนดีๆ ที่สนใจน้องเขาไหม น้องเขายอมทุกอย่างแต่ขอให้ชัวร์เพราะเขาเดือดร้อนมาก” พีรพัทย์ทวนอีกครั้ง“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่สนล่ะ” สมิติหยั่งเชิง“กูก็อาจจะหาคนอื่นให้น้องเขา หรือไม่กูก็อาจจะบริจาคให้น้องเขาเอง เงินแค่นี้มึงก็รู้ว่ากูไม่มีปัญหา” พีรพัทย์แกล้งพูด“พี่ว่าไงนะ พี่มีเดียอยู่แล้วไง” สมิติแย้ง“แล้วไงลูกไก่ก็เพื่อนเดีย เพื่อนสนิทกันมาก สองสาวจะได้มีเพื่อนเวลาปรนนิบัติกูไง เดียเขาอาจจะวางใจก็ได้ที่คนนั้นเป็นกู” “หยุด พี่บ้าไปแล้วไหนว่าจริงจังกับเด็กมันจะไปทำให้เดียเสียใจทำไม เอางี้ผมรับเองแต่ผมขอคุยกับลูกไก่ก่อน” สมิติรีบห้ามก่อนที่เพื่อนรุ่นพี่จะจินตนาการบรรเจิดไปมากกว่านั้น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะจึงรู้ว่าฝ่ายนั้นล้อเล่น“ก็มาสิ คืนนี้ลูกไก่ต้องมาทำงานที่ร้านอยู่แล้ว” “ไม่ต้องเลย บอกเด็กพี่นะว่าให้บอกลูกไก่เลิกทำงานที่ร้าน เดี๋ยวผมจะออกไปรับตอนนี้เขาอยู่ที่คอนโดของเดียใช่ไหม” สมิติลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน วันนี้งานเขาไม
สมิติกลับมาขึ้นรถ เขาหันมามองกฤติกาที่ยังหน้าซีดเผือดจากเหตุการณ์เมื่อครู่“เจ็บตรงไหนบ้าง เดี๋ยวพี่จะพาไปตรวจที่โรงพยาบาล” เธอส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ จุกเดี๋ยวก็คงหายถ้าจะกรุณา ไปส่งที่ห้องเดียได้ไหมคะ” “ห้องเดียนั่นมันเป็นของเฮียพีท เขาซื้อให้เดียอยู่” สมิติเปรยขึ้นมา กฤติกาเม้มปากแน่น“งั้นไปหอของไก่ก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามันไกลไปเกรงใจเดี๋ยวไปแท็กซี่เองค่ะ” “ยังไม่เข็ดเหรอ” สมิติถามเสียงเรียบ เขาออกรถพาเธอออกจากตรงนั้น ถนนที่ค่อนข้างมืดในตอนหนึ่งนาฬิกาทำให้กฤติกามองทางไม่ชัดเจน ประกอบกับเธอยังจำทางได้ไม่แม่นทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน“พี่หมิงจะไปไหนคะ” หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเส้นทางไปไกลกว่าขามา “หอที่ไก่อยู่เป็นหอพักนักศึกษาหรืออพาร์ตเมนท์” เขาย้อนถาม“เอ่อ หอพักนักศึกษาค่ะ อยู่หน้า...” เธอบอกชื่อสถาบันทำให้สมิติเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อรู้ว่าเธอเรียนที่ไหน “พี่ก็เคยเรียนที่นี่ เราเรียนคณะไหน” “สถาปัตยฯ ค่ะ” “อืมม” เขาทำเสียงในลำคอแบบที่เธอไม่เข้าใจ “เป็นรุ่นน้องพี่ คณะเดียวกันถ้าหมายถึงหอหญิงหน้าสถาบันตอนนี้ประตูคงปิดแล้ว เข้าไม่ได้หรอก” ฟังแล้ว
“ชื่ออะไรครับน้อง อายุครบสิบแปดแล้วใช่ไหม” สุธนผจก.ร้านสัมภาษณ์กฤติกา หลังจากที่นาเดียสาวตัวท็อปของร้านพาเพื่อนมาสมัครงาน“ชื่อกฤติกาค่ะ สิบแปดแล้ว” เธอส่งบัตรประชาชนให้ผจก.ร้านดู“โอเค เด็กใหม่งั้นพี่จะให้เราชงเหล้า เสริฟที่โซนวีไอพีนะฝากน้องเดียเป็นพี่เลี้ยงให้แล้วกัน มีชื่อสั้นๆ ไหมครับน้อง” สุธนส่งบัตรประชาชนคืนและยื่นใบสมัครให้กฤติกาเขียน เธอรับมากรอกรายละเอียดทันที“ลูกไก่ค่ะพี่” นาเดียตอบแทน สุธนพยักหน้าพอใจ“ปกติเด็กเราหน้าที่ชงเหล้า เสริฟก็คือทำตามนั้น เรื่องงานพิเศษร้านปล่อยฟรีสไตล์แล้วแต่ความสมัครใจ แต่ต้องไม่ใช่ทำในร้านนะครับ แล้วถ้าน้องไม่อยากไปต่อกับใครแต่มีแขกเซ้าซี้แจ้งพี่หรือการ์ดร้านได้เลย” สุธนบอกทำให้เธอสบายใจขึ้นเมื่อเสร็จธุระเรื่องเอกสารและสุธนแจ้งค่าตอบแทนแล้ว นาเดียจึงพากฤติกาไปที่ห้องพักของพนักงาน เป็นห้องรวมสำหรับเตรียมตัว แต่งหน้าหรือทำผมมีห้องน้ำสองห้อง นาเดียพาเพื่อนสาวไปที่มุมประจำของเธอ“ทำงานที่นี่ยิ้มไว้เยอะๆ กับแขก ส่วนเพื่อนร่วมงานด้วยกันคบได้พอผ่านๆ อย่าสนิทมากไม่มีใครอยากให้เราได้ดีเกินหน้าหรอกไก่” เธอกระซิบสอน พร้อมกับพาไปเบิกชุดสำ