อัศราและกฤติกาไปถึงโรงแรมที่ใช้เป็นที่สัมมนาในตัวเมืองเชียงใหม่บ่ายวันรุ่งขึ้น การประชุมจะเริ่มในวันต่อไป ก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องพักเจ้านายหนุ่มบอกเธอว่า
“ผมต้องไปธุระ เย็นนี้ลูกไก่หาอะไรทานเลยนะจะลงไปข้างล่างหรือสั่งมาข้างบนก็ได้ลงบัญชีได้เลยเดี๋ยวผมมาเคลียร์เอง หรือว่าอยากทานอะไรพิเศษเก็บบิลไว้เบิกได้”
ท่าทางเขารีบร้อนจนเธอไม่กล้าถามมาก กฤติกาได้แต่รับปากแล้วมองตามอัศราที่แยกเข้าห้องพักตัวเองไป
คืนนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับที่ทางสมาคมฯ จัดไว้ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนลงไปร่วมสังสรรค์ได้ กฤติกาแต่งตัวด้วยชุดเดรสแบบกึ่งทางการลงไปร่วมงาน จุดประสงค์ของเธอเพียงแค่ต้องการลงไปหาอะไรทานและตั้งใจจะรีบกลับขึ้นห้องมาพักผ่อน
“ลูกไก่ทางนี้” ญาณินโบกมือเรียกเพื่อน เธอมาในฐานะตัวแทนบริษัทของบิดามารดาจึงได้พบกันโดยบังเอิญ
กฤติกาเดินเร็วๆ มาหาเพื่อน เธออุ่นใจขึ้นที่พบญาณินในงาน
“โชคดีจังที่เจอนิน เรานึกว่าจะไม่เจอใคร”
“มีโต๊ะนั่งรึยังลูกไก่ นั่งกับเราไหมเราก็มาคนเดียว” ญาณินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
สองสาวพากันไปตักอาหาร ในงานจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์เมื่อได้อาหารพอแล้วจึงพากันกลับมานั่งคุยกันที่โต๊ะ พวกเธอแทบไม่ได้สนใจใครในงาน จนกระทั่งพิธีกรในงานพูดขึ้นว่า
“ขอเชิญคุณสมิติประธานบริษัทเอสเอ็มคอนสตรัคชั่นขึ้นมากล่าวเปิดงานด้วยครับ”
กฤติกาหันขวับไปมองเธอไม่คิดว่าจะเจอสมิติที่นี่ เขาดูสูงสง่าในชุดสูททางการ แสงไฟจับที่ร่างเขาจนดูเหมือนออร่าเปล่งประกาย สมิติคนที่อยู่บนเวทีไม่เหมือนคนที่เคยอยู่กับเธอมาหลายปี และยิ่งดูห่างไกลตอกย้ำคำว่าคนละชั้นให้เธอรู้สึก
“เฮียหมิงนี่ วันนี้หล่อจัง”
เสียงญาณินทำให้เธอหันมามอง เพื่อนสาวจึงพูดต่อ
“เฮียหมิงเป็นชื่อที่เพื่อนๆ รุ่นน้องของเขาเรียกน่ะ เพื่อนในคลาสป.โทของเราเป็นรุ่นน้องของเขา” ญาณินพูดตามที่รู้มาเธอเองก็เคยพบสมิติแค่ผ่านๆ ตามงานสังคม แต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัว เธอรู้แต่ว่าเขาสนิทกับชานนท์ลูกชายเพื่อนแม่และเป็นเพื่อนในคลาสเดียวกับเธอ
กฤติกาหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า
“แล้วเรียนป.โทสนุกไหม เผื่อฉันอยากไปเรียนมั่ง” เธอเปลี่ยนเรื่องคุยกับเพื่อนสาว
“ฮื่อ ไปสิถ้าลูกไก่ไปเรียนต้องได้เกียรตินิยมแน่ๆ เรารับรอง” ญาณินกระตือรือร้น หากชวนกฤติกาไปเรียนได้ถึงจะคนละปีการศึกษาแต่ก็ยังดี เผื่อมีโอกาสเจอกันบ้างที่คณะ
เธอทั้งสองคนคุยกันจนอิ่มจึงชวนกันแยกย้าย ญาณินถูกผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งเรียกคุย กฤติกาจึงขอตัวขึ้นห้องพักเธอกำลังจะเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง แต่หางตาเห็นร่างชายหญิงคู่หนึ่งคุยกันอยู่ในมุมอับสายตา ท่าทางเหมือนกำลังโอบกอด กฤติกาไม่อยากเสียมารยาทแต่เธอหันหน้ากลับไม่ทัน
หญิงสาวตัวแข็งเมื่อเห็นว่าคนคู่นั้นคือสมิติกับหญิงสาวสวยจัดคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการ กฤติกาจำได้ว่าเธอเป็นประธานบริษัทหนึ่งในเครือของเอสเอ็มกรุ๊ปนั่นเอง
สมิติและเธอคนนั้นหันมาเห็นเธอ เขาทำหน้าตกใจแต่กฤติกาพึมพำขอโทษก่อนจะรีบเดินเร็วจนกลายเป็นวิ่งมากดลิฟท์ขึ้นห้องพัก
เมื่อเข้าห้องได้หญิงสาวกดล็อกห้องและใส่กลอนยืนพิงหลังบานประตู น้ำตาไหลรินช้าๆ เธอถามตัวเองว่าร้องไห้ทำไม
เพราะเธอไม่ใช่คนสำคัญอีกแล้ว หรือว่าเยื่อใยที่เคยคิดว่ายังมีเหลือมันถูกหั่นจนขาดสะบั้นไปหมดแล้วจริงๆ
เธอไม่รู้ว่าด้านหน้าห้อง สมิติยืนอยู่ตรงนั้นเขากำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่สุดท้ายเขาเปลี่ยนใจเดินกลับไปตามทางที่เดินมาเงียบๆ
#############
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งกฤติกาและอัศราต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนแทบไม่ได้คุยกัน กฤติกาบังคับตัวเองให้สนใจอยู่กับเนื้อหาการสัมมนา ส่วนอัศราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ได้เขาได้รู้เมื่อวานบ่าย
ในตอนเช้าวานนี้ตอนที่เขาไปรับกฤติกาที่บ้านเพื่อมาสนามบิน ในช่วงที่รอเธอลงมาจากชั้นบนเขาพบเกศราที่กำลังทำข้าวบดให้น้องเชอรี่ ชายหนุ่มจึงทดสอบเธอด้วยการเอาสร้อยทองเส้นนั้นให้เธอดู มันมีจี้พระจันทร์ติดอยู่เขาแกล้งถามว่าหากซื้อสร้อยนี้เป็นของขวัญให้น้องสาว ผู้หญิงสาวๆ จะชอบไหม
ชายหนุ่มเห็นเกศราหน้าถอดสีเมื่อเห็นสร้อยเส้นนั้น เขาจึงแน่ใจว่าเธอจำได้ว่าเป็นของตัวเองที่ทำตกไว้บนที่นอน เมื่อมาถึงเชียงใหม่ส่งกฤติกาเข้าที่พักแล้ว อัศราขับรถที่เช่ามาไปลำปาง เขาตรงไปที่ร้านเหล้าที่เขาไปมาเมื่อปีก่อน เค้นเจ้าของร้านให้ตามเด็กเชียร์เบียร์คนนั้นมาพบเขาให้ได้ จนได้คำตอบจากเพื่อนของเกศราว่าคนที่อยู่กับเขาในคืนนั้นคือน้องสาวของกฤติกาจริงๆ และเขามั่นใจมากว่าน้องเชอรี่คือลูกสาวของเขาเอง
เพื่อนของเกศราสารภาพสิ้นว่าเกศราไม่ได้รับงานพิเศษ เธอแค่มาทำงานแทนคนที่ขาดตามคำเกลี้ยกล่อมของเพื่อนและเจ้าของร้าน และเจ้เจ้าของร้านรับสารภาพว่าไม่ได้เอาค่าตัวแบ่งให้เด็กสาวเลย เงินสองหมื่นที่เขาจ่ายเจ้าของร้านเอาไปแบ่งกับเพื่อนของเธอคนละครึ่ง
อัศรายอมรับว่าโมโหแต่เขาไม่รู้จะเอาผิดพวกนี้ได้อย่างไร เพราะคนที่ผิดที่สุดในเหตุการณ์นี้คือตัวเขาเอง
ชายหนุ่มไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ไม่รู้จะบอกพ่อแม่ตัวเองอย่างไรว่าไปทำเด็กสาวคนนึงท้องและเธอต้องเผชิญปัญหาต่างๆ มากับครอบครัวของเธอเอง โดยที่เขาไม่ได้มีส่วนดูแลอะไรเลย
เขาเองที่เป็นคนทำลายอนาคตของเกศรา เด็กสาวอายุสิบเก้าที่กำลังเรียนปวส.ปีที่สองต้องลาออกกลางคันเพื่อมาอุ้มท้องลูกของเขา ความรู้สึกผิดนี้ทำให้เขาแทบไม่กล้ามองหน้ากฤติกาเต็มตา
เย็นนั้นเมื่อทานอาหารแล้วกฤติกาตัดสินใจบอกอัศราว่า
“นายคะไก่รู้สึกไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ ถ้าจะขอกลับกรุงเทพฯ ก่อนจะเป็นไรไหมคะ”
เขามองหน้าเธอก่อนจะพูดว่า
“ไม่ว่าหรอก ผมก็อยากกลับเหมือนกันเอกสารการประชุมเราได้แล้ว ไปอ่านเองทีหลังก็คงได้”
อัศรายอมเสียเงินทิ้งค่าตั๋วขากลับที่จองไว้ก่อนหน้านี้และจองตั๋วใหม่ในเที่ยวบินพรุ่งนี้เช้า เมื่อถึงตอนเช้าทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างอยู่ในความเงียบ เมื่อถึงดอนเมืองหญิงสาวขอแยกตัวกลับบ้านเงียบๆ ตามลำพังและเธอต้องช็อกซ้ำสองเมื่อเกศราตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังในเย็นวันนั้น
เธอมองน้องสาวที่ร้องไห้เงียบๆ เมื่อพูดถึงเหตุการณ์คืนนั้นอีกครั้ง
“ทำไมหน่อยไม่บอกพี่เราจะได้หาทางแก้ไข” เธอพลอยร้องไห้ไปกับน้องด้วย กฤติกาไม่คิดว่าสิ่งที่น้องเจอมามันเลวร้ายถึงขั้นนั้น เธอเคยเข้าใจแค่ว่าเกศราอาจจะมีความรักในวัยเรียนที่ไม่ได้จริงจังต่อกัน แต่ไม่ใช่การเข้าไปเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์แบบนี้และลูกค้าคนนั้นก็คือเจ้านายของเธอเอง
“หน่อยไม่แน่ใจ หน่อยไม่มีหลักฐานอะไรว่าเป็นเขา แต่พอเห็นสร้อยเส้นนั้นที่พี่ซื้อให้หน่อยก็เลยแน่ใจ” เกศราทั้งกลัวทั้งกังวล เธอกลัวว่าอัศราอาจจะมาแย่งลูกไปจากเธอ
“ถ้าเราไม่ยอมรับเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเราไม่ยินยอมให้ตรวจดีเอ็นเอเขาก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์ทำอะไร เด็กนอกสมรสเป็นสิทธิ์ของแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์” กฤติกาพูดดวงตาเธอวาวโรจน์ ทำไมผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายที่เสียใจอยู่ร่ำไปเธอจับมือน้องสาวไว้
“ไม่เป็นไรนะหน่อยไม่ต้องกลัว พี่จะลาออกจากงานจะขายบ้านหลังนี้ เราจะย้ายบ้านกัน”
สีหน้าเกศราไม่ดีนักในตอนที่อัศรามารับตอนบ่าย แต่เธอยิ้มออกเมื่อเห็นแม่หนูเชอรี่นั่งอยู่ในคาร์ซีตด้วย“ไปรับเชอรี่มาด้วยเหรอคะพี่ฮาน จริงๆ ให้หน่อยกลับเองก็ได้นะคะ มาส่งตอนเช้าก็พอ” “ครับวันนี้แม่มีธุระช่วงเย็นพี่เลยไปรับลูกมาอยู่ที่ทำงานแล้วเลยมารับหน่อย” “อ่อ... ค่ะ จริงๆ ไม่น่าต้องลำบากเลย พี่เลี้ยงจากบ้านโน้นก็พอดูเชอรี่ให้ได้ค่ะถ้าไม่นานมาก” “ไม่เป็นไร พี่อยากเลี้ยงลูกเองบ้างเดี๋ยวห้องที่ทำไว้ที่ทำงานจะไม่ได้ใช้ ถ้าหน่อยไม่อยากให้พี่มารับก็เอารถไว้ขับเองไหมสักคัน เอาคันไหนก็ได้หรืออยากได้ใหม่ก็ได้พี่จะซื้อให้” ชายหนุ่มยังไม่ละความพยายาม“ไม่ต้องหรอกค่ะ เอามาหน่อยก็ขับไม่เป็น” เธอปฎิเสธเพราะไม่อยากรับอะไรจากอัศรามากเกินเส้นความเป็นพ่อแม่ของลูก“พี่สอนได้ เรื่องขับรถไม่มีปัญหาหรอก”“ไม่เอาค่ะพี่ฮาน มันมากไป” เกศราพูดจริงจัง“ไม่เอาก็ไม่เอา” เดี๋ยวถึงเวลาจะทำให้เอาเอง เขาคิดในใจ“แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าไม่ค่อยดี” ชายหนุ่มถามต่อ อัศราเป็นคนช่างสังเกตแม้ว่าใครจะผิดปกติไปเพียงนิดเดียวเขาก็รู้สึกได้ชัดเจน“เปล่าค่ะ” เธอตอบซึ่งไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเ
คืนนั้นนางอัมพรอยู่ค้างที่บ้าน นอกจากนั้นยังมีกฤติกามาอยู่เป็นเพื่อนน้องและหลานสาวอีกคน ส่วนอัศราถูกมารดาไล่กลับตั้งแต่หัวค่ำชายหนุ่มกลับไปแบบไม่เต็มใจนัก“แม่ทำไมรีบไล่ผมล่ะ ให้ผมนอนค้างกับลูกไม่ได้เหรอครับ” เขาอ้อนมารดาในยามที่สองสาวพี่น้องขอไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องนอนชั้นบนโดยที่พาเชอรี่ขึ้นไปด้วย “ลูกจะมาค้างได้ยังไงมันน่าเกลียดมาก หนูหน่อยกับลูกไม่ได้เป็นอะไรกันนะ” นางอัมพรพูดตามความจริง“แล้วถ้าแม่ไม่ให้โอกาสผมกับหน่อยจะเป็นอะไรกันได้ยังไงล่ะ” “มะเหงกแน่ะ” นางอัมพรใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากบุตรชาย “แม่เป็นผู้ใหญ่จะทำแบบนั้นได้ยังไง จีบเขาดีๆ น่ะเป็นไหม แล้วให้หน่อยตัดสินใจเอง ไม่ใช่ว่าเขาพลาดมีลูกแล้วจะต้องเอาทั้งชีวิตมาจมอยู่กับเรานะ” อัศราเงียบนางจึงพูดต่อ“ความเป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กร่วมกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันนะฮาน พ่อแม่แยกกันอยู่ก็ช่วยกันเลี้ยงเด็กให้โตมาอย่างดีได้ ดีกว่าทนอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้รักกันเลย ถ้าเราอยากได้ทั้งแม่ทั้งลูกมาเป็นครอบครัวก็เอาชนะใจผู้หญิงให้ได้” วันต่อมาอัศรามาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มมาถึงพอดีกับที่เกศรากำลังจะออกไปตลาดด้วย
“พี่ฮานคะ เพื่อนหน่อยชื่อเมนี่เรียนคณะเดียวกัน ส่วนเมนี่นี่พี่ฮานน่ะ” เกศราแนะนำให้อัศรากับเพื่อนใหม่รู้จักกันตามมารยาท จงใจไม่บอกว่าอัศราเป็นใครเพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะแนะนำสถานะใดจึงข้ามไปเสีย“สวัสดีค่ะพี่ฮาน หน่อยให้เราลงข้างหน้านี่ก็ได้ห้องเราอยู่ฝั่งตรงข้ามเดี๋ยวเราเดินข้ามสะพานลอยไปเอง” “ไปเองได้แน่นะเมนี่” อัศราจอดรถที่หน้าสะพานลอยตามที่มาลีรินทร์บอก ชายหนุ่มรับไหว้เพื่อนของเกศราก่อนที่เธอจะลงจากรถไป “พี่ไก่ล่ะคะ” เกศราถามถึงพี่สาวทันที “ไก่ไปธุระ พี่ไปรอรับแม่มาเมื่อเช้าตอนนี้แม่มาอยู่ที่บ้านเราแล้ว ยายหนูเชอรี่ก็อยู่กับแม่ด้วย พี่เลยบอกว่าจะมารับหน่อยเอง” อัศราอธิบาย บ้านเราที่เขาพูดถึงคือบ้านหลังที่เขาซื้อต่อจากกฤติกาตั้งใจจะยกให้เกศราและลูกแต่เธอไม่ยอมรับมันสักที เกศรานั่งนิ่ง เธอไม่รู้จะพูดอะไรจะว่าเขามารับลูกไปโดยไม่บอกก็ไม่ได้เพราะเขาบอกไว้แล้วอัศราเลี้ยวรถไปทางบ้านที่เขาซื้อให้หญิงสาว ตอนนี้เขาทำห้องเด็กและตกแต่งห้องนอนข้างบนหมดแล้ว ด้านล่างเหลือส่วนในสวนและที่ต้องต่อเติมที่อยากรอถามเจ้าของบ้านก่อนเกศรามองบ้านที่ครอบครัวเธอย้ายออก
พวกเขาไปถึงกรุงเทพฯ ในเวลาเย็น อัศรายกผลไม้ลงมาไว้ที่บ้านของกฤติกาจนเกือบหมด อีกส่วนแบ่งให้คนขับรถไป“ทำไมไม่แบ่งไปกินบ้างคะพี่ฮาน” “พี่เอาไปก็กินไม่ทัน เอาไว้พี่มากินที่นี่ก็ได้ครับ ต้องมาทุกวันอยู่แล้ว” “งั้นนัทแบ่งไปให้แม่บ้างสิ เยอะขนาดนี้กินกันไม่หมดหรอก” เกศราพูดขึ้นบ้าง ทำให้กฤติกาและก้องเกียรติมองหน้ากัน“ได้ๆ ดีเลย แม่ชอบเงาะกับทุเรียนนัทจำได้ พรุ่งนี้นัทเอาไปให้แม่เอง” ก้องเกียรติดีใจที่เกศรามีทีท่าอ่อนลงต่อมารดา เขารู้ว่าบาดแผลระหว่างพี่สาวกับแม่มันกว้างและลึกจนเข้าใจพี่สาวดี อาจจะเพราะว่าตอนนี้เธอเองก็เป็นแม่กระมัง เด็กหนุ่มคิดในใจเกศราอุ้มลูกเดินกลับห้องนอนที่อยู่ชั้นล่าง อัศราช่วยถือของเดินตามไปให้ เขามองไปรอบห้องอย่างพิจารณา ถ้าใครรู้ว่าลูกเมียเขาอยู่ในห้องธรรมดาแบบนี้เสียชื่อแย่ บริษัทอัศราดูโฮมงานไม่ได้น้อยหน้าใคร เกศราและเชอรี่ควรมีที่อยู่ที่สะดวกกว่านี้“พี่ว่าตอนนี้หน่อยย้ายไปอยู่ข้างบนได้แล้วมั้ง” “ข้างล่างสะดวกกว่าค่ะ เวลาทำงานบ้านจะได้มาดูลูกได้ง่าย สะดวกเวลาพี่เลี้ยงมาช่วยเลี้ยงลูกด้วย” “ก็ทำห้องเด็กข้างล่างไว้ให้เวลาพาเชอรี่ลงมาตอนกลางวั
“ข้างบนไม่มีห้องน้ำนะครับ ใครอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าเล่นน้ำก็เปลี่ยนที่ห้องน้ำด้านล่างเลย” บูรพาแจ้งสมาชิกปุ๊บปั๊บทัวร์ของเขาให้รู้กันว่าด้านบนไม่มีห้องน้ำ โดยเฉพาะสาวสวยสองคนที่น่าจะต้องมีธุระกับห้องน้ำมากกว่าหนุ่มๆ แบบพวกตน“เอาไงดีเรา จะเล่นน้ำไหมหน่อย” กฤติกามองหน้าน้องสาว เกศรามองไปที่น้องเชอรี่ทันทีว่าถ้าลงเล่นน้ำลูกสาวจะทำอย่างไร“ถ้าหน่อยกับลูกไก่อยากลงพี่จะดูเชอรี่เอง” อัศรารีบตอบ“ยังไม่แน่ใจค่ะว่าอยากลงไหม แต่อยากไปห้องน้ำเปลี่ยนชุดก่อนก็ดี” เกศราพูดกฤติกาเองก็เห็นด้วย สองสาวจึงขอเวลาครู่หนึ่งไปห้องน้ำทำธุระส่วนตัวประสาผู้หญิง ปล่อยให้สามหนุ่มกับหนึ่งเด็กหญิงนั่งเล่นที่ซุ้มม้านั่งรอท่ามกลางบรรยากาศที่สดชื่น รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่มีมากกว่าข้างนอกอุทยานไม่นานนักสองสาวกลับมาในชุดใหม่ที่คล่องตัวขึ้นคือเสื้อยืดแขนกุดกับกางเกงยีนขาสั้นสามส่วนเหนือเข่าเล็กน้อย กฤติกามีกล้องดิจิทัลมาด้วยเผื่อถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้“เฮียจ้องอะไรน่ะ” บูรพาถามเขาเห็นอัศราจ้องขาของเกศราเหมือนไม่เคยเห็น“ว่าแต่เมียกับพี่สาวเมียเฮียเขาสวยกันดีจังนะ สูงยาวเข่าดี ขาวดีด้วย” บูรพาเอ่ยชมโดยไม่คิดอะไร
เกศราลงมาพอดี คุณอัมพรกวักมือเรียกแม่ของหลานสาวมาหา “มาหาแม่จ้ะหนูหน่อย” “คะคุณแม่” เธอไปหาผู้ใหญ่อย่างงงๆ คุณอัมพรส่งสร้อยทองมีพระองค์เล็กซึ่งเป็นพระเครื่องดังของจ.ระยอง ส่งให้เกศรานางตั้งใจเลือกเส้นไม่ใหญ่มากเพื่อให้เกศราไม่ปฏิเสธ“แม่กับพ่อให้รับขวัญนะลูก จะได้เป็นสิริมงคลกับชีวิตไปไหนแคล้วคลาดปลอดภัยนะ” เหตุผลของผู้ใหญ่ทำให้หญิงสาวพนมมือไหว้รับ “ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากค่ะ” “ตาฮานส่งลูกมาให้แม่แล้วใส่สร้อยให้น้อง” นางชูสร้อยข้อมือเมื่อครู่ให้หลานสาวดู เด็กหญิงโผเข้าหาคุณย่าทันทีเพราะชอบเสียงกรุ๊งกริ๊งของมัน ชายหนุ่มรวบผมของเกศราไปทาง เขาแบมือขอสร้อยจากเธอแต่หญิงสาวเอียงศีรษะหลบ“ไม่เป็นไรค่ะพี่ฮาน หน่อยทำเองได้”“เอามาพี่ใส่ให้จะได้ไปกินมื้อเช้ากันเร็วๆ” อัศราทำเสียงดุ ทำให้เธอยอมส่งสร้อยให้ลมหายใจที่ปัดผ่านต้นคอทำให้เกศราตัวเกร็ง หญิงสาวออกห่างเขาทันทีเมื่อเขาสวมสร้อยให้เสร็จแล้ว “ขอบคุณค่ะ” เธอเดินตรงไปนั่งข้างน้องชายแต่ก้องเกียรติลุกขึ้นย้ายไปนั่งข้างกฤติกา“พี่ฮานนั่งตรงนี้เลยครับ นัทอยากชิมขนมครกกับพี่ไก่” อัศรานั่งลงข้างเกศรา เขารินกาแฟจากเหยือกใส่ถ้วยเลื่