ดวงตาคมกริบจดจ้องเอกสารคำร้องขอยื่นฟ้องผู้กระทำผิด ก่อนเหลือบใบหน้าสวยของคนตรงข้าม มือหนาขยับแว่นสายตาเล็กน้อยให้เข้าที่ แล้ววางเอกสารลงบนโต๊ะทำงานมองคนตรงข้ามที่กำลังจ้องมองเขาอย่างมีความหวัง
“พอมีทางไหมคะคุณทนาย”
หญิงสาวตัวเล็กสอบถามถึงความเป็นไปได้ว่าเธอสามารถจะทำอะไรฝ่ายนั้นบ้าง
“มันเป็นคดีแพ่งถ้าจะฟ้องร้องกันก็คงอีกนาน แถมคนที่เธอจะยื่นฟ้องไม่ใช่ชื่อของบุคคลปลายทางอีกต่างหาก”
ปริม หรือ ปวริศ ธีวลิตสุคนธ์ ทนายหนุ่มเอ่ยกับหญิงสาว ภายใต้กรอบแว่นสีเงินมีใบหน้าหล่อคมสัน จมูกโด่ง ผิวขาว สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซ็น ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแลกสีดำกำลังจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ก่อนหน้านี้เขากำลังจะให้เลขาปิดสำนักงานเร็วกว่าทุกที วันนี้เขามีนัดกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นคนอังกฤษที่บินมาเที่ยวไทยเมื่อวันก่อน แน่ใจแล้วว่าไม่มีลูกค้าหลงเหลือ จู่ๆ หญิงสาวใบหน้าสวยก็เดินเข้ามาในชุดนักศึกษาพร้อมกับขอความช่วยเหลือเรื่องคดีที่ตนถูกลูกค้าหลอกสั่งของออนไลน์ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นเจ้าตัวกลับไม่สนใจฟ้องคนที่ระบุอยู่ในปลายทาง แต่กลับยื่นฟ้องบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ
สืบสาวเล่าความว่าคนที่กลั่นแกล้งมิใช่ใครอื่นแต่เป็นพี่สาวต่างมารดาของเธอเอง ปริมที่เปิดสำนักทนายความมาหลายปีก็พอจะเห็นจุดจบของคดีนี้ได้ เขาจึงบอกกับเธอไปตามตรง
“พี่ว่าเราลองไปไกล่เกลี่ยกับพี่สาวเราไม่ดีกว่าเหรอ”
ปริมบอกให้จารวีลองไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีดูเผื่อว่าจะหาข้อตกลงระหว่างกันได้
“จี้ลองพูดแล้วค่ะ แต่ฝั่งนั้นไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายแน่นอน”
“ขอโทษนะที่ต้องบอกเราตามตรง คดีนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะฟ้องบุคคลที่สามโดยที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าฝ่ายนั้นจงใจจะแกล้งเรา อีกอย่างเกิดเราแพ้คดีขึ้นมาฝ่ายนั้นฟ้องกลับเรื่องมันจะบานปลายไปอีก”
“...”
“ถ้าจะให้พี่แนะนำ ของที่ตีกลับมาไม่ได้เสียหายอะไร พี่ว่ารีบหาลูกค้าคนใหม่เพื่อมาซื้อของล็อตนี้ให้หมดดีกว่านะ”
คำพูดของปริมที่พูดออกมาทำให้เจ้าของดวงตากลมถึงกับนิ่งงัน ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น คิดหาวิธีแก้เผ็ดอีกฝ่ายให้ได้ ทว่ากฎหมายที่บอกไว้อย่างชัดเจนมันก็มีเหตุผล เธอไม่สามารถทำอะไรฝ่ายนั้นได้เลยหากไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าฝั่งนั้นมีเจตนาที่จะโกงไม่รับสินค้าเธอตั้งแต่แรก
“ขอบคุณพี่ทนายนะคะที่ให้คำปรึกษา งั้นจี้ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
พูดพร้อมพนมมือไหว้ ยอมรับว่าไม่สามารถที่จะเล่นงานฟ้าใสได้เลย ยังไงซะเธอก็ต้องรีบหาเงินมาชดใช้ให้ป้าวันทันวันที่ตกลงกันไว้
ขณะที่จารวีเดินออกมาจากห้องของปริม มัวแต่คิดถึงเรื่องหาเงินมาใช้หนีจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินสวนเข้ามา ชายหนุ่มหันมองร่างเล็กที่คล้อยหลังออกไปด้วยความรู้สึกสนใจ
“เด็กใหม่เหรอ เด็กนักศึกษาซะด้วย ระวังทนายจะติดคุกเองนะมึง”
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาภวินท์ก็เอ่ยทักเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งเคลียร์งานอยู่ ใบหน้าหล่อเอามือล้วงกระเป๋าเดินสำรวจห้องของปริมอย่างถือวิสาสะ ดวงตาคมกวาดมองห้องกว้างจนทั่วหาความผิดปกติ
“ถุ๊ย ลูกค้ากู อีกอย่างน้องมันยี่สิบแล้วเถอะ ถึงกูกินจริงก็ไม่เข้าคุกหรอกเว้ย” ปริมตอบ
“หึหึ ว่าแต่น้องมาหามึงทำไม นักศึกษาอะไรจำเป็นต้องปรึกษาทนายด้วยวะ”
ภวินท์เอ่ยถามอย่างสงสัยพลันเอามือกอดอกยืนเอาหลังชิดกำแพง
“ก็น้องมันถูกพี่สาวต่างแม่แกล้งสั่งของล็อตใหญ่แล้วไม่จ่ายเงิน ที่สำคัญดันระบุชื่อปลายทางเป็นใครก็ไม่รู้ เลยเอาผิดไม่ได้”
ปริมเล่าเรื่องของจารวีให้ภวินท์ฟังทั้งหมด ทั้งเรื่องความบาดหมางไม่ลงรอยกันจนนำมาเป็นสาเหตุของการกลั่นแกล้งครั้งนี้ ถึงจะฟังแล้วดูเหมือนละครน้ำเน่า แต่มันก็เกิดขึ้นจริงกับเด็กคนหนึ่ง ซึ่งปริมทำได้เพียงแค่ให้คำปรึกษาแบบไม่คิดเงินกับหญิงสาวเท่านั้น
“ใจเด็ดดี”
ภวินท์พึมพำเบาๆ ดวงตาสีควันบุหรี่คิดอะไรบางอย่างที่ยากจะคาดเดาได้
“เด็กคนนั้นเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ มึงพอจะรู้ไหม”
ภวินท์เอ่ยถามปริมคาดว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ตัวเลขที่เสียหาย
“อยากรู้ไปทำไมวะ”
คิ้วหนาเลิกขึ้นถามด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีคนอย่างหมอวินไม่เคยสนใจใคร แต่กลับถามเรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่พึ่งเจอหน้ากันเพียงแวบเดียวมันน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยเลย
“เท่าไหร่ของทั้งมด เดี๋ยวกูโอนให้ตอนนี้เลย”
เอ่ยถามราคากับเพื่อนสนิท ทำเอาปริมยิ่งรู้สึกสงสัยกว่าเดิม
“มึงชอบเด็กตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้วิน” คิ้วหนาเลิกขึ้นเอ่ยถาม
“กูยืนยันว่ายังไงกูก็ไม่ชอบเด็ก”
ภวินท์พูดชัดยังไงสเป็คของเขาก็ยังชอบผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่ดี
“...”
“แต่ใช่ว่ากูจะไม่แดกเสียหน่อย”
“พี่พูดจริงเหรอคะ ไม่ได้อำจี้ใช่ไหม”
จารวีไม่อยากจะเชื่อเลย หลังจากที่ไปปรึกษาทนายปริมกลับมาอีกฝ่ายก็ติดต่อมาพร้อมกับบอกข่าวดีว่ามีคนสนใจซื้อสินค้าของเธอทั้งหมด ด้วยความตกใจบวกกับความตื่นเต้นทำให้เธอเกือบจะพลาดทำโทรศัพท์หล่นลงพื้น โชคดีที่ว่ามือบางยังคว้าไว้ทัน
(พี่จะอำจี้ทำไม ถ้าเราไม่เชื่อก็ส่งเลขบัญชีมาทิ้งไว้ได้เลย ของทั้งหมดห้าหมื่นใช่ไหมครับ)
ปลายสายเอ่ยถามมูลค่าของที่เสียไป ขณะที่เจ้าของดวงหน้าหวานกำลังแปลกใจว่าใครกันแน่ที่ช่วยเหลือเธอ ชั่งใจว่าเธอควรจะรับน้ำใจนี้ไว้หรือไม่ ทว่ากำหนดวันที่จะต้องจ่ายค่าตัดเย็บเสื้อผ้าก็ใกล้จะมาถึง กดดันให้จารวีไม่มีทางเลยมากนัก
“ตกลงค่ะ แต่ว่าจี้ขอคอนแท็กติดต่อลูกค้าคนนั้นได้ไหมคะ จี้อยากขอบคุณเขาด้วยตัวเองค่ะ”
จารวีบอกเจตนาออกไปซึ่งปลายสายก็เงียบไปสักพักหนึ่ง ขณะปริมกำลังชั่งใจว่าควรจะให้ช่องทางติดต่อกับหญิงสาวดีหรือไม่
(ก็ได้ เดี๋ยวพี่ให้เบอร์เพื่อนพี่ไว้ให้แล้วกัน)
“ขอบคุณพี่มากนะคะที่ช่วยจี้ ถ้ามีโอกาสจี้จะเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนนะคะ”
หลังจากวางสายได้ไม่นานเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันธนาคารก็ดังขึ้น นิ้วเรียวกดเข้าไปดูจำนวนยอดเงินที่เด้งเข้ามา ทว่าเมื่อเปิดดูตัวเลขทำให้หญิงสาวถึงกับนิ่งงันไป เพราะจำนวนเงินที่มากกว่าเท่าตัวถูกโอนเข้ามาในบัญชีของจารวี
ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็กดตัวเลขที่ทนายปริมให้มาเมื่อครู่ไม่รอช้า ไม่นานปลายสายก็รับสายเธอ
“สวัสดีค่ะ คุณวินหรือเปล่าคะ”
เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ นานพอควรปลายสายยังคงเงียบไม่ยอมเอ่ยปากพูด
“หนูจี้นะคะ เจ้าของร้าน Jaravee ที่คุณสั่งเสื้อผ้าของหนูไป”
(อืม เลขาฉันน่าจะโอนเงินไปแล้วไม่ใช่หรือไง)
เสียงทุ้มเอ่ยเสียงเรียบ โทนเสียงติดดุของภวินท์ทำให้คนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
“คะ คือจี้ได้รับเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ว่าน่าจะเกิดความเข้าใจผิดกัน เงินค่าของที่โอนมามันเกินมาตั้งห้าหมื่น จี้จะรบกวนขอเลขบัญชีคุณหน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวจี้โอนเงินคืนให้”
คนตัวเล็กเอ่ยเจตนาออกไป ปลายสายเงียบไปอีกแล้ว
(ถ้าอยากคืนขนาดนั้น งั้นวันนี้มาคืนด้วยตัวเองสิ)
“คะ”
(ฉันจะให้คนไปรับเธอหลังเลิกเรียนแล้วกัน)
พูดจบภวินท์ก็วางสายโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ถามต่อ เล่นเอาคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ พูดเองเออเองโดยที่ไม่ถามไถ่เธอก่อนว่าสะดวกไปเจอเขาหรือไม่แบบนี้เสียมารยาทสิ้นดี อย่างนี้มันสมควรที่จะคืนเงินให้ไหมเนี่ย เกาหัวด้วยความอารมณ์เสียเดินเข้าห้องเรียนด้วยอารมณ์หงุดหงิด
ทางด้านฝั่งของภวินท์ หลังจากวางสายเขาก็เดินเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมผ่าตัดเคสด่วน ชายหนุ่มเดินออกมาในชุดสีเขียวพร้อมกับสวมหมวกคลุมผมสีเดียวกัน ภายใต้ใบหน้าหล่อสวมแมสสีขาวปิดใบหน้าก่อนจะสวมถุงมือยางเดินเข้าห้องผ่าตัดไป
“คนไข้ถูกยิงเข้าที่กลางหลัง และดูเหมือนจะเสียเลือดมากด้วยค่ะ”
พยาบาลสาวในชุดสีเขียวเช่นเดียวกันเดินมารายงานผลการตรวจเบื้องต้น หมอวินพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินไปดูแผลคนไข้เพื่อประเมินอาการอย่างคร่าวๆ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นอนคว่ำหน้าไม่ได้สติ แผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยสักรูปผู้หญิงใส่ชุดกิมโมโนสักเต็มแผ่นหลัง ใครมองใครก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นมาเฟียหรือไม่ก็พวกยากุซ่าอย่างแน่นอน
“ระหว่างที่ผมผ่าตัด ฝากไปบอกญาติคนไข้ข้างนอกด้วยนะครับว่าถ้าไม่อยากให้หัวหน้าพวกมันตาย ก็อย่าได้บุกเข้ามาเด็ดขาด”
ภวินท์เอ่ยเสียงเรียบ พยาบาลสาวพยักหน้ารับคำสั่งรีบเดินออกไปจากห้องเพื่อไปบอกคนที่อยู่ด้านนอกตามที่หมอวินได้สั่งไว้
นอกจากจะเป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนที่รวยระดับประเทศแล้ว สิ่งหนึ่งที่ครอบครัวของภวินท์ทำมานานแล้วนั่นคือการที่เปิดรักษาผู้มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง มาเฟีย ยากุซ่า สร้างรายได้มหาศาล จนเป็นกิจการครอบครัวสู่รุ่นต่อรุ่น และอีกไม่นานหมอวินก็จะเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับช่วงต่อ ซึ่งหลายๆ แก๊งก็ให้เกียรติทายาทตระกูลพิพัฒน์ชานนท์ซึ่งเป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพลที่ใครๆ ก็ให้ความนับถือ
กว่าที่จารวีจะเลิกเรียนก็ปาเข้าไปห้าโมงครึ่ง เธอชั่งใจว่าสมควรที่จะไปพบกับภวินท์ดีหรือไม่ดี จนเธอไม่มีกระจิดกระใจตั้งใจเรียนเลยด้วยซ้ำ ปวันรัตน์และจีรภาลอบสังเกตความผิดปกติของเพื่อนสาวอยู่ห่างๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามรอให้จารวีเล่าเองเสียดีกว่า
สุดท้ายแล้วจารวีก็ตัดสินใจที่จะไปพบกับหมอวินเพื่อคืนเงินด้วยตัวเอง เธอขอโลเคชั่นกับคนขับรถที่มารอรับและเลือกที่จะนั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่าเพื่อความปลอดภัย อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดและบอกสถานที่นัดเจอกันไป ซึ่งสถานที่ก็คือร้านอาหารไทยที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก พอมาถึงจารวีก็เจอกับคนของภวินท์ออกมาต้อนรับ ก่อนจะเดินนำหน้าเธอเข้าไปในร้าน
แอร์เย็นฉ่ำกับเพลงสากลที่เปิดเบาๆ ทำให้คลายความตึงเครียดไปได้บ้าง ขณะที่นักศึกษาสาวเดินตามร่างสูงไปยังโต๊ะอาหาร สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับดวงตาคู่คมที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจดวงน้อยถึงเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่ออีกฝ่ายจ้องตาไม่กะพริบ ใบหน้ารู้สึกร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ จนเป็นจารวีเองต้องหลบสายตาคู่นั้นด้วยความประหม่า
“นั่งสิ”
“จี้แค่จะเอาเงินมาคืนคุณ และอยากจะขอบคุณที่คุณช่วยซื้อเสื้อผ้าของจี้”
หญิงสาวพูดบอกเจตนาก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลที่มีเงินสดอยู่ในนั้นส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ ทว่าคนตรงข้ามกับนิ่งก่อนจะเอานิ้วชี้เคาะโต๊ะจนเกิดเสียง
“จารวี จันทร์จิระสกุลกาล”
“คะ”
“เธอคือลูกสาวคนรองของคุณพฤกษ์ที่เกิดจากภรรยาน้อย”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อภวินท์เอ่ยออกมา ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้ประวัติเธอได้
“คุณรู้ได้ไงคะ พี่ทนายบอกคุณมาเหรอ”
“เปล่าหรอกไม่มีใครบอกฉันทั้งนั้น และที่ฉันอยากเจอเธอไม่ใช่เพราะฉันอยากได้เงินหรอกนะ....แต่ที่ฉันอยากเจอเธอก็เพราะว่าฉันสนใจเธอต่างหาก”
“สนใจหนูเหรอคะ”
“ใช่...ฉันสนใจให้เธอมาเป็นภรรยาของฉัน”